วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์โลกยุคสมัยแห่งโลกาภิวัฒน์ครั้งที่หนึ่ง "กระแสโลกหนึ่งเดียวจากการล่าอาณานิคมของยุโรป"

หลายครั้ง เราศึกษาประวัติศาสตร์ทีละประเทศ แม้เราจะศึกษาประวัติศาสตร์โลก เราก็ยังแยกศึกษาทีละประเทศ ทีละยุค ทำให้ความเข้าใจต่อ "โลก" ของเรา มีมิติที่ไม่กว้างเท่าใดนัก บทความนี้ ผมจะสรุปให้สั้นๆ เพื่อให้ท่านเห็นภาพ "ทั้งโลก" ในยุคหนึ่งได้ง่ายๆ ส่วนรายละเอียดนั้น ท่านสามารถศึกษาได้เองต่อไป มันเป็นยุคสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งของโลก ผมอยากจะเรียกว่า "ปฐมยุคแห่งการรวมโลก" ดังนี้


คือ ช่วงประมาณปี ๒,๔๐๐ หรือเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีที่แล้ว เป็นยุคของการล่าอาณานิคมครั้งแรกของชาวยุโรป อันส่งผลให้ประเทศต่างๆ ในโลก ได้รู้จักกันมากขึ้น แน่นอนว่า "มันเป็นครั้งแรก" เราจะหวังให้มันเป็นไปด้วยดี โรยด้วยกลีบกุหลาบ ย่อมเป็นไปไม่ได้ มันจึงถูกขับเคลื่อนด้วย "การล่าอาณานิคม" นั่นเอง ซึ่งยุคนี้ ผู้ล่าคือ "ยุโรป" ยังไม่มีอเมริกาเข้ามาร่วมด้วย (อเมริกาเพิ่่งก่อตั้งใหม่ ยังไม่มั่นคง) ผมอยากให้ท่านมองดูโลกผ่านประเทศต่างๆ โดยมีบุคคลสำคัญ ๓ คน ดังนี้


๑. ลินคอล์นแห่งอเมริกา
๒. รัชกาลที่ ๔ แห่งไทย
๓. เรียวมะแห่งญี่ปุ่น


ทั้งสามคนนี้ เ็ป็นคนสำคัญที่เกิดในยุคเดียวกัน และเสียชีวิตในเวลาใกล้เคียงกันครับ ผมขอสรุปสั้นๆ คือ


๑. ลินคอล์น อยู่ในสถานการณ์ที่ประเทศเพิ่มเริ่มก่อตั้ง ไม่มีความมั่นคง ประเทศแตกแยกกำลังจะแบ่งเป็นประเทศใครประเทศมัน หลังชาวผิวขาวปลดอำนาจของชาวอินเดียนแดงได้ พวกเขาต่างอยากตั้งประเทศของตนขึ้น และไม่อาจรวมกันได้ ผลงานของลินคอล์นคือ ๑. รวมประเทศ ๒. เลิกทาสครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก ๓. ปลดแอกจากอังกฤษ เป็นเอกราชได้อย่างแท้จริง ไม่ถูกล่าเป็นอาณานิคม

๒. รัชกาลที่ ๔ แห่งไทย อยู่ในสถานการณ์ที่ประเทศได้รับการวางรากฐานมาอย่างดีครึ่งแรก ทำให้สามารถก้าวไปสู่ระดับโลกได้ด้วย "วิธีทางการฑูต" ซึ่งสมัยนั้น ยังไม่ค่อยมี และผ่านการล่าอาณานิคมมาได้ โดยไม่ตกเป็นเมืองขึ้นด้วยการ "ยอมเสียสละดินแดนบางส่วน" นับว่าเป็นบทบาทสำคัญมากในเรื่อง "การฑูตระดับโลก" ไม่มีการใช้กำลังทหารเข้าสู้ (ของอเมริกามีการใช้กำลังทหารรวมประเทศ)

๓. เรียวมะแห่งญี่ปุ่น อยู่ในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังย่ำแย่ถึงที่สุดจนถึงขั้นอำนาจเก่าล่มสลายลง ด้วยเพราะการปกครองที่ย่ำแย่ บวกกับการล่าอาณานิคม บีบให้ประเทศต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง เรียวมะเกิดเป็นซามูไรชั้นล่าง หรือก็คือ "คนของทางการที่มีระดับต่ำที่สุด" ไม่ได้ไต่เต้าให้สูงขึ้น แต่กระทำการณ์โดยอิสระ ไม่มีการประกาศแนวคิด "เสรีนิยม" แต่ขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนยุคสมัย ไปสู่ยุคสมัยใหม่


ผมอยากให้เราดูบทบาทของท่านทั้งสามนี้ เปรียบเทียบกันครับ แต่เราจะดู "บทบาทในระดับโลก" นะครับ เช่น ลินคอล์นเลิกทาสเป็นครั้งแรก เป็นผู้นำกระแสความคิดเรื่อง "เสรีนิยม" ของโลกทีเดียว จากนั้นมาจึงเริ่มมีประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศที่ได้รับอิทธิพลความคิดนี้ และทำการเลิกทาสตามๆ กันมา ซึ่งถ้าดูบทบาทของเรียวมะ ก็คล้ายกัน คือ เรียวมะกระทำการณ์อย่างอิสระ เพียงแต่ไม่ได้ประกาศ และยังไม่เป็นผู้นำทางความคิดของโลกเรื่อง "เสรีนิยม" ได้ แต่ทั้งสามท่านก็ผ่านวิกฤติ "การล่าอาณานิคม" มาได้ทั้งหมด ด้วยวิธีที่ต่างกัน ลินคอล์นใช้ทั้งการฑูตและการทหารคู่กัน โดยใช้การทหารภายในประเทศก่อน ให้รวมกันเป็นหนึ่ง เมื่อเป็นหนึ่งดีแล้วก็มีอำนาจมากพอที่จะใช้การฑูตได้อย่างมีพลัง ทำให้ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของพวกล่าอาณานิคม ส่วนรัชกาลที่ ๔ ของไทย จะใช้่การฑูตเป็นหลัก แทบไม่มีการใช้กำลังทหารเลย แต่ส่งผลให้ต้องเสียดินแดนบางส่วน นับว่าเป็น "ตัวอย่าง" หรือ "ผู้นำในด้านการฑูตระดับโลก" ในยุคนั้นได้ทีเดียวครับ (แต่เพราะไม่มีอำนาจทางการทหารหนุนหลัง ทำให้การฑูตไม่มีพลังเหมือนในประเทศอเมริกา) ส่วนเรียวมะ เป็นตัวอย่างของโลกในเรื่อง "การปฏิวัติ-ปฏิรูป" จากโครงสร้างรากฐานเพื่อวางระบบใหม่ สร้างอนาคตใหม่ทั้งหมดครับ ผลต่อมาคือ ประเทศญีุ่ปุ่นที่เกิดใหม่ แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ญีุ่ปุ่นที่เคยล้าหลังกว่าประเทศไทย ก็กลายเป็นทันสมัยไม่ต่างจากประเทศอเมริกา แม้แนวคิดด้านการปฏิวัติ-ปฏิรูปของเขา อาจไม่ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก เพราะเขาได้ถ่ายทอดต่อให้คนภายในประเทศที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการ แต่ผลงานของเขาก็เป็นที่ประจักษ์ชัดและเป็นแบบอย่างในการปฏิวัติและการปฏิรูปของโลกได้ดีอย่างหนึ่งในยุคสมัยนั้นเลยครับ






วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

เกษตรกรลาว ผู้มีปัญญาเหนือกว่าไทย อย่าได้ประมาท

ได้ข่าวเกษตรกรลาวบางคน ปลูกไม้กฤษณา (ซึ่งมีราคาแพงมากๆ) บางคนก็เลี้ยงกุ้งมังกรในนาข้าว (ซึ่งแพงสุดยอดอีกเช่นกัน) เห็นแล้วทึ่ง เพราะการปลูกไม้กฤษณา และเลี้ยงกุ้งมังกร ไม่ใช่ของง่ายๆ สำคัญกว่านั้นคือ "การมีวิสัยทัศน์" มองเห็นอนาึคตของสินค้าเกษตรอย่างยาวไกล แน่นอนครับ สินค้าเกษตรที่กล่าวถึงมานี้ เป็นของระดับบนมากๆ แพงมากๆ ทีเดียว ซึ่งใครสักคนจะทำอย่างนี้ได้ จะต้องมีสิ่งนี้ครับ


๑. ความกล้าหาญที่จะทำ เพราะมีความเสี่ยงที่จะไม่สำเร็จสูง
๒. วิสัยทัศน์ที่เห็นอนาคต เพราะสินค้าเกษตรเหล่านี้มีอนาคตดีมาก
๓. ปัญญาที่เข้าใจกลไกลตลาด จึงเลือกสินค้าที่มีราคาแพง ทำแล้วคุ้ม
๔. ความเพียรพยายาม ที่ค้นหาวิธีปลูกหรือเลี้ยงสิ่งที่ปลูกและเลี้ยงได้ยาก
๕. เข้าใจถึงธรรมชาติ ของสัตว์หรือพืชที่เพาะเลี้ยงได้ยาก เช่น กุ้งมังกร เป็นต้น


สุดท้ายต้องชื่นชมเกษตรกรชาวลาวอย่างยิ่งทีเดียวครับ ที่สามารถทำการเกษตรเช่นนั้นได้ หากประเทศ อื่นๆ จะทำตาม เช่น ประเทศภูฏานจะทำเกษตร คิดหาต้นแบบการเกษตรละก็ "แนะนำประเทศลาว" ครับ ไม่ใช่ประเทศไทยและประเทศเวียดนาม เพราะประเทศไทยเรา เกษตรกรเก่งการผลิตจริง แต่มีความรู้ในด้าน "การตลาด" ต่ำที่สุดระดับโลก เรียกว่า เรามีไม่ได้มากไปกว่าประเทศแอฟริกา ปาปัวนิกินี อะไรแบบนั้นเลย เพราะเขาไม่ยอมเปิดโอกาสให้ชาวนาฉลาดขึ้น เท่าทันตลาดมากขึ้น เกษตรกรไทย ถูกสอนให้โง่มาตลอด เพราะอะไร? เพราะง่ายต่อการปกครอง ง่ายต่อการทำให้ยอมเป็นขี้ข้าตลอดไป ดี อย่างไรละครับ คนระดับบนของไทย จึงไม่เคยสอนให้คนไทยรู้จักฉลาดเท่าทันโลก หรือตลาดเลย สอนแต่ให้ทำๆๆ ไป ไม่ต้องคิด แล้วผลิตข้าวออกมาล้นตลาด ผลไม้ออกมาล้นตลาด นมออกมาล้นตลาด พอล้นตลาดแล้วราคาตกแล้ว นักการเมืองก็จะใช้โอกาสนั้นในการปลุกระดมมวลชน ทำให้ออกมาล้มรัฐบาลครับ ดังนั้น คนระดับบนจึงไม่เคยสนใจที่จะสอนให้เกษตรกรไทย ฉลาดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุผลนี้ นี่เอง รู้ไหมครับ เวลาคนอื่นเขาเล่นงานตลาดการเกษตรไทย เขาไม่ไ่ด้ใช้เล่ห์กลอะไรซับซ้อนเลย เขาใช้แค่วิธีตื้นๆ เท่านั้น ก็สำเร็จแล้วครับ เช่น ปล่อยข่าวว่าทำยางพาราสิจะรวย แค่นั้นแหละ ก็แห่ทำตามๆ กัน จนราคาตกไปเลยครับ ง่ายเสียจริง ยิ่งกว่าหมูเสียอีก ดังนั้น "คนจีน" เขาจึงนอนรอครับ รอให้เราเปิดเสรีการค้า เปิดประเทศ เปิดเมื่อไร เราก็จะถูก "กิน" อย่างง่ายๆ เหมือนเสือฉลาดที่จับหมูโง่กิน นั่นเลยละ ขออภัยถ้าผมใช้คำว่าโง่ ไม่ได้ต้องการด่า หรือลบหลู่ท่านเลย แต่ผมขอร้องละ ลองดูดีๆ เกษตรกรเรานี้ มีปัญหาเรื่องนี้ จุดนี้หรือไม่? ถ้าใช่ ถึงเวลาหรือยังที่ควรแก้ไขให้ดีขึ้น? ผมติเพื่อก่อ เพื่อแก้ไขครับ ไม่ใช่ต้องการลบหลู่อะไรท่านเลย เพราะพ่อแม่ผมก็เป็นเกษตรกร และขอบอกตรงนี้เลยว่า ในประเทศไทยนี้ พ่อแม่ของผมเป็นเกษตรกรที่โง่ระดับต้นๆ เลย ผมจึงเข้าใจไงครับว่าความโง่เป็นอย่างไร? เช่น เพื่อนบ้านทำการเกษตรอย่างดีแต่ละขั้นตอนมาตลอด ผลออกมาจึงดี แม่ผมดันไปเห็นตอนแว้บเดียวว่าเขาใช้นมรด (เพราะมันเหมือนจะตาย เจ้าของเขาคิดอะไรไม่ออกเลยทดลองเอานมรด) แม่ผมจึงทำตาม ด้วยคิดว่าจะได้ผลผลิตดีอย่างเขาบ้างครับ โธ่ๆ คุณดูเอาเถิด ผมไม่ได้ลบหลู่คุณท่าน หรือแม่ของตัวเองแต่ผมกล้าเปิดเผยความจริงว่าผมอยู่กับแม่แบบนี้ ซึ่งมันมีอะไรที่งี่เง่ากว่านี้อีกมาก ดังนั้น ผมจึงไม่ได้้คิดที่จะด่าใคร เกษตรกรคนไหนเลย เพราะพ่อแม่ของผมเอง ก็เป็นเหมือนกับท่านทั้งหลาย มีกรรมทำให้เป็นคนโง่ เหมือนกัน ไม่ต่างกันเลย หัวอกเดียวกันครับ อย่าโกรธใครเลย ถ้่าเขาด่าว่าเราโง่ แล้วถ้ามันเป็นความจริงนะ ควรขอบคุณเขาที่เขาเตือนสติเรา ดีกว่าเขาไม่บอกว่าเรามีจุดอ่อนที่ความโง่ แล้วหลอกใช้เรา โดยอาศัยความโง่ของเราตลอดไป กี่สิบปีมาแล้วครับ ที่เกษตรกรไทย พบปัญหาผลผลิตล้นตลาด นี่ เกษตรกรประเทศอื่นเขาไม่ผิดซ้ำซาก เหมือนบ้านเรา ดูคนลาวสิครับ เขาไม่ได้ปลูกข้าวอย่างเดียว แต่เอากุ้งมังกรไปเลี้ยงในนาข้าว บางคนไม่้ได้ทำข้าวแต่ปลูกไม้กฤษณาครับ ราคาแพงกว่าข้าวเป็นร้อยเท่า   เกษตรกรฝรั่ง เขาเรียกว่า "นายทุนน้อย" ทำไมเขาเรียกอย่างนั้นครับ? เพราะเกษตรกรแท้แล้วคือ นายทุน ที่มีที่ดินในการลงทุนผลิตสินค้าไปขายต่อได้ มีกิจการของตัวเอง ผลิตเอง บริหารเองทั้งหมดครับ ฝรั่งก็เลยมีความฉลาด เข้าใจตัวเองว่าเขาคือนายทุนและอยู่กับความเสี่ยง จะต้องคิดให้เป็น ใช้ปัญญาให้เป็น ไม่ใช่ทำๆๆ อย่างเดียว โดยไม่คิด ใช้แต่แรง ไม่ใช้สมอง ถูกหลอก ถูกสนทะพาย ถูกแกล้งให้ขายสินค้าในราคาตกต่ำ เพื่อกำไรไปสู่พ่อค้าคนกลาง และกองกำลังประท้วงเล่นงานรัฐบาลให้ล้มลง ไปอยู่ในมือของนักการเมืองอีกฝ่ายหนึ่ง อย่างนี้เรื่อยมา เกษตรกรไทย จึงถูกกระทำอย่าง "ควาย" คือ ทำให้โง่แล้วสนทะพายหลอกใช้ อย่างนี้ซ้ำๆ ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่อาจยืนหยัดภาคภูมิใจในอาชีพของตนเองได้เลย


เลิกบ้าปลูกข้าวแข่งกับเวียดนามเถอะครับ คนจีนเขาหลอกให้เราบ้าปลูกแข่งกันเยอะๆ ราคาจะได้ตก แต่เขาหลอกเวียดนามก่อน เพราะเวียดนาม "มันบ้าอยากเอาชนะคนอื่น" จนหน้ามืดตามัว ไร้สมอง ไม่รู้จักคิดบ้างว่าขายราคาต่ำๆ แข่งกับไทย (แม้ว่าจะได้ต้นทุนต่ำกว่าไทย) สุดท้าย กลายเป็นเสียผลประโยชน์ให้คนอื่นไป แข่งกับไทยเพราะเชื่อกลยุทธ์คนจีนได้ไม่นาน คนจีนเห็นว่ามันโง่ เลยจะฮุบเอาเกาะซะเลย มันก็เลยไปบ้าทะเลาะกับจีนต่อ เออ ดูมันทำสิ ว่างๆ มันก็อยู่เบื้องหลังโยงใยให้กัมพูชา มาทะเลาะกับไทย ถามหน่อยนะ คนไทยไปทำอะไรให้มัน ตอนมันไม่มีแผ่นดินจะอยู่ มันก็หนีมากบดานในประเทศไทย เนรคุณสิ้นดี พอมาตอนนี้ รวมหัวเล่นงานไทยได้ยังไง แทนที่จะเป็นมิตรที่จริงใจต่อกันเพราัะมันบ้าอยากเอาชนะคนอื่นจนเกินไป จนลืมแบ่งแยกว่าใครควรเป็นมิตรแท้ ใครที่เป็นศัตรู ดู ดูมันทำ เอาละ ใช้คำพูดตรงๆ ด่าแหลกราญอย่างนี้ ต้องขออภัยด้วย แต่นี่คือ "ลับ ลวง พราง" บล็อกนี้ ไม่เน้นสร้างภาพลักษณ์ มีแต่แฉแหลกเท่านั้นเอง ใครทำดี เราก็ชื่นชม เช่น "ลาว" ดีมากครับ อย่าคิดว่าเขาโง่หรือล้าหลังละ คนลาวรักสงบ ไม่ได้อยากเอาชนะใครแบบไอ้บ้าเวียดนาม แต่เป็นคนเข้าใจธรรมชาติ และมีปัญญาในการทำการเกษตร ที่แม้แต่คนไทยก็ทำไม่ได้ และไปไม่ถึง ไหว้เกษตรกรลาวได้ครับ เขาเก่ง และดีจริงๆ คนดี เราไหว้ได้ครับ ไม่เสียมือ แล้วน้อมรับคำสอนเขา เอาเขาเป็นแบบอย่างได้ครับ แล้วภูฏานก็ไม่ต้องมาดูความล้มเหลวทางการเกษตรของไทยไปเป็นต้นแบบนะครับ ไปดูลาวครับ จะได้อะไรดีกว่าอย่างแน่นอน


ปล. ที่กล่าวถึงนี้ เรามองภาพรวมคือ "ส่วนใหญ่" นะครับ ไม่ได้เหมารวมทุกคน เพราะเกษตรไทยบางคน เป็น "อัจฉริยะ" ครับ เช่น คนที่ผสมพันธุ์พืชหรือสัตว์ชนิดใหม่ๆ ได้ คุณภาพดีขึ้น อย่างนี้ก็มีครับ แต่ว่า แบบนี้คือ "คนส่วนน้อยของประเทศ" ครับ