วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปลดคุณอภิสิทธิ์ ดีต่อคุณยิ่งลักษณ์หรือคุณทักษิณกันแน่?

ขณะนี้คุณอภิสิทธิ์กำลังโดนเล่นการเมืองอย่างหนัก และกำลังพ้นสภาพความเป็น ส.ส. เพราะศาลชี้มูลความผิดแล้ว คำถามก็ึคือ "การปลดคุณอภิสิทธิ์" นั้น มีผลดี ผลเสียต่อใครบ้าง อย่างไร? ผมจะแฉละครับ


สิ่งที่ึคุณอภิสิทธิ์ทำคือ "สะกัดกั้นไม่ให้คุณทักษิณกลับมาอีก" เพราะอะไร? เพราะถ้าเขากลับมา เขาก็จะกลายเป็น "หมายเลขหนึ่ง" คนเดียว ไม่มีอื่น แต่ถ้าเขาไม่กลับมา มันก็จะมีตัวเลือกอยู่แค่ ๒ ตัว เบื่อพรรคเพื่อไทย ก็กลับมาเอาคุณอภิสิทธิ์ ผลัดกันถืออำนาจไปคนละสมัย สบายตายชัก ทำงานไป ๔ ปี พักไปนั่งคิด ปล่อยให้อีกฝ่ายทำให้เหนื่อยบ้าง พอหายเหนื่อยแล้ว ก็กลับมาเป็นรัฐบาลใหม่ ว้าว ความคิดสุดยอด ใช่ไหมละ ฮ่าๆๆ (มีมากกว่านี้อีก แต่ขอไม่แฉนะจ๊ะ ในฐานะที่เขายังไม่ล่วงเกินเรา) ดังนั้น การเดินเกมของฝ่ายค้าน จึงเดินแบบสบายๆ รอให้คนเบื่อรัฐบาล (ซึ่งมันก็เบื่อกันอยู่แล้ว นิสัยคนไทยน่ะจ๊ะ) ไม่ต้องเหนื่อยอะไร เดี๋ยวมันก็แกว่งกลับมาเอง คุณยิ่งลักษณ์ก็ได้พัก ๔ ปี ผลัดกันไปมาอย่างนี้ สบายทั้งคู่ เรียกว่า "สองคนนี้ฮั้วะกันนัยๆ นะเว้ย" ทว่า "นายใหญ่" ก็รู้นะจ๊ะ ดังนั้นนายใหญ่เลยเดินเกม "ตัดหมากขุน" แม่งซะเลย อยากไม่ให้กูกลับบ้านมึงเล่นกับกูอย่างนี้เหรอ กูก็เอามึงมั่งปลดออกซะเลย (ซึ่งก็มีทางทำได้อยู่แล้ว) ดังนั้น เมื่อ "ฝ่ายเหลือง" ไร้หมากขุน มันก็เดี๊ยงทั้งกระดานนะสิ ทำไงต่อไป ทีนี้ละ มันก็จะเริ่มซัดกันนอกกระดาน เอาแบบ "นักเลงข้างถนน" แล้วโว้ย เพราะมันเป็นการ "รุกฆาต" ที่ร้ายกาจมากนั่นเอง


ผลร้ายตามมาที่แน่นอนคือ "คุณยิ่งลักษณ์" จะโดนเล่นงานไปด้วย เพราะเป็นการเดินเกม หมากต่อหมาก เอ็งเล่นงานขุนฝ่ายเหลืองเหรอ? ข้าก็เล่นงานขุนฝ่ายแดงมั่ง เอากันแบบนี้ ทีนี้ละ มันจะยุ่ง มันจะวุ่นวาย มันจะร้อนแรงขึ้นไปอีกขั้นแล้วละแต่ปัญหาก็คือ ๑. คุณทักษิณ มีชะนักปักหลังกลับมาก็นั่งตำแหน่งนายกไม่ได้แล้ว ถ้าขึ้นเมื่อไร ได้ก่อม็อบกันทุกวันแน่ ไม่มีอันได้ทำกินอะไรกันละ ๒. ฝ่ายเสื้อเหลือง ถ้ามันไม่มีหมากขุนที่เป็น "ประชาชนธรรมดา" มันจะไปเอา "ใส่ติ่ง" ที่ไหนมาเป็นนายก ประเทศอื่นใครเขาจะมายอมรับอะไรบ้าๆ แบบนั้น เดี๋ยวอเมริกาเขาตอบโต้ด้วยการกีดกันทางการค้า ข้อหา "ไทยกบฏต่อประชาธิปไตย" ไปเสียหรอก ทีนี้ นายทุนก็หงายหลังกันสิ โดนกันทั่วหน้าอีก อย่าเพ้อ เอา "ใส้ติ่ง" มาเป็นนายก มันเป็นไปไม่ได้ สรุปง่ายๆ ก็คือทั้งเหลืองและแดง ล้วนเป็น "หมากที่ใช้แล้วทิ้ง" ทั้งคู่ ไร้อนาคตสิ้นดี เป็นผมนะ ถ้าผมซื้อได้เหมือนหุ้นนะ ผมจะไม่ซื้อทั้งหุ้นเหลืองและแดงเลย เพราะอะไรละ? ฝ่ายแดง คุณทักษิณไปต่อไม่ได้แล้ว มีชะนักปักหลังขนาดนั้น กลับมาเป็นนายกอีกไม่ได้แล้ว เขาต้องหาขุนตัวใหม่มาทำหน้าที่แทน แล้วเขาก็อยู่เบื้องหลัง นั่นแหละ ถึงพอไปได้ ทว่า "หมากขุนยิ่งลักษณ์" ก็ไม่ใช่หมากที่จะเดินได้นาน ยิ่งเดินนานคนยิ่งเบื่อ ทำได้แค่รักษาสถานการณ์ไว้ระยะหนึ่ง ตรึงไว้เท่านั้น นานเกินไปไม่ได้ เดี๋ยวเสื้อเหลืองบ้าง, สลิ่มบ้าง ก่อม็อบกันไม่จบไม่สิ้น ฝ่ายเสื้อเหลือง ก็จะไม่เหลือหมากขุนแล้ว หมดคุณอภิสิทธิ์ไป มันก็ไม่เหลืออะไรให้อยากเลือกแล้วอ่า เรียกว่า ว้า ไม่เหลืออะไรดีให้เลือกแล้ว หมดกระดาน ไม่อยากเลือก ไม่อยากเล่นละ จะเอาใส้ติ่ง มาเ็ป็นนายกหรือ? เขาก็จะหาว่าบ้านเราไม่ใช่ประชาธิปไตย เป็นระบอบเผด็จการโดย ... เอานะสิ ไม่มีประชาชนคนไหนยอมรับหรอก ถ้าใส้ติ่งยังหากินอยู่ปลายลำใส้เล็ก คนไทยก็ยังรัก แต่ถ้าใส้ติ่งเสล่อมาเกินหน้าที่ รับรองคนไทยเห็นธาตุแท้แล้ว จะต้องกลับรักกลายเป็นเกลียดชังอย่างแน่นอน เพราะุรู้ใส้รู้พุงมันแล้วว่าที่มันทำมาทั้งหมดนี้เพื่ออะไร?


ดังนั้น ไอ้โง่ทั้งหลายเอ๋ย ถ้าเอ็งยังเลือกแทงแดงหรือเหลืองกันอยู่ บอกได้เลยว่าได้หุ้นไร้อนาคตเข้าแล้ว อย่าโง่อย่างไม่มีที่สุด ตาสว่างได้แล้ว "หมากสองตัวนั้น เขาใช้แล้วทิ้ง" ไม่อาจเก็บไว้ได้นาน มันไม่มีอนาคต ไร้อนาคต มืดมน ไม่มีทางไปอีกแล้ว จะไปบ้าอยากได้อะไรมันนักหนา ฮ่าๆๆ ถ้าผมเป็นนายทุนใหญ่นะ ผมเลือกลงทุนกับพรรคของ "คุณ ชูวิทย์" ดีกว่า ภาพลักษณ์เหมาะสมกับวัยรุ่นไทย คนไทยรับได้ อีกหน่อยวัยรุ่นก็เลือกตั้งกันได้เยอะแยะ ทำไมจะไม่นิยมคุณชูวิทย์ละ อนาคตไกลออก ไม่ใช่หมากที่ใช้แล้วทิ้ง ยังเดินไปได้ยาวนัก เพียงแต่ "ขาดการสนับสนุน" เท่านั้นเอง ถ้าผมลงมือก่อนนะ ผมก็จะกลายเป็น "สปอนเซอร์นัมเบอร์วัน" ของพรรคนี้ บงการเบื้องหลัง แม่งมันไปเลย ฮ่าๆๆๆ ดันให้กลายเป็นตัวเลือกใหม่ของคนไทยใน "ยุคหน้า" ลงทุนไม่มากหรอกครับ พรรคเขายังเล็ก ลงทุนต่ำ เพราะหุ้นมันยังไม่ดัง ไปซื้อห่าอะไรตอนมันดังละ มันก็แพงอะสิ ไอ้โง่เอ้ย เอามันตอนนี้ละ ถูกต้องที่สุดแล้วคร้าบ




วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"อำนาจอื่นภายนอก" ที่พลเอกประยุทธ์กล่าวถึง คืออะไร?

หนังสือพิมพ์บ้านเมือง -- พฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2555


"อยากถามกลับไปว่า ลงนามได้หรือไม่ และผิดกติกาอะไรหรือไม่ ถ้าลงนามได้ก็ลงนามไป หากไม่คิดว่าประเทศชาติเสียประโยชน์ก็ลงนามไป และประชาชนทั้งประเทศก็ดูเอาเองว่าถูกหรือไม่ และใช่หรือไม่ เพราะผมก็ไม่ทราบ ทุกคนต้องมาร่วมรับผิดชอบประเทศชาติด้วยกัน ไม่ใช่ไอ้นี่ทำอย่าง ไอ้โน่นทำอย่าง ผมว่าไม่ใช่ประเทศไทยไม่ได้อยู่แบบนี้ เพราะเราอยู่ด้วย 3 ระบบ คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ หาก 3 ระบบนี้ยุ่งมันก็ไม่ใช่ประเทศแล้ว ขณะนี้ 3 อำนาจยังอยู่หมด เพราะฉะนั้นอย่าไปหาอำนาจอื่นภายนอกให้มายุ่งวุ่นวายมากนัก แค่นี้ก็ยุ่งพออยู่แล้ว ซึ่งก็แล้วแต่ท่าน ทำก็รับผิดชอบกันไป" โดยพลเอกประยุทธ์ ............

เอาละ วันนี้ ผมจะมาขยายความหมายของคำว่า "อำนาจอื่นภายนอก" ที่ออกจากปากของพลเอกท่านนี้ ให้ท่านทั้งหลายทราบ แต่บอกไว้ก่อนนะครับ "นี่คือ ความคิดเห็นของประชาชนคนหนึ่งตามระบอบประชาธิปไตย" ผมไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินใครทั้งสิ้น เพียงสงสัย แล้วก็แสดงความคิดเห็นไปก็เท่านั้น


อำนาจอื่นภายนอกก็คือ "อำนาจของอภิมหาอำนาจ" สองขั้วครับ เพราะทำอย่างไรได้ละ ในเมื่อเสื้อแดงมี "จีนหนุนหลัง" ฝ่ายเสื้อเหลือง ก็ต้องหา "อเมริกา" หนุนหลังให้เหมือนกัน เพื่อคานอำนาจกันให้สมดุล นั่นเอง ดังนั้น ท่านก็เห็นอยู่ไม่ใ่ช่หรือว่า "โอบาม่า" มาไทย ทันทีต้องทำกิจใด? เอาละ ไม่อยากพูดมาก ทหารเขาคงเริ่มมีใจรักชาติจริงๆ ไม่ใช่เป็นควายให้ใครสนทะพายหลอกใช้งานอีกแล้ว ทหารเขาก็มีเกีรยติภูมิ หลังจากถูกหลอกใช้งานมาก็มาก ให้ปฏิวัติแล้วไม่ได้อะไร กลับต้องมานั่งรับผลร้ายในภายหลังมาก็มาก สุดท้าย เขาก็ "ตาสว่าง" ทำเพื่อชาติครับ ไม่ใช่ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง เขาเข้าใจดีว่าปัจจุบัน เรามีระบอบการปกครองประชาธิปไตย ไม่ใช่ระบบเจ้าขุนมูลนายดังกาลก่อน และไม่ใช่พวกหลงเพ้อในอดีต ฝันเฟื่องในเรื่องวันวานที่ผ่านพ้นไปแล้ว เขาต้องเดินหน้านำพาประชาธิปไตยไปต่อครับเขาก็เลยไม่ชอบ อะไรที่กบฏต่อประชาธิปไตย (อะไรที่กบฎต่อประชาธิปไตย ฝ่ายเสื้อแดงเรียกว่า "ใส้ติ่ง" แต่ผมว่ามันไม่น่าจะใช่เลยครับ เพราะตอนนี้มันเริ่มกลายเป็น "เนื้อร้าย" มากกว่าใส้่ติ่งไปแล้วละครับ) เขาเลยให้ใช้อำนาจตามระบบ ระบอบประชาธิปไตย เท่าที่มี ก็พอ มีขนาดนี้แล้วยังไม่พอกันอีก ยังไปดึงเอาอำนาจ "นอก" เข้ามาเล่นงานกันอีก ประเทศไม่แย่ไปกว่านี้หรือครับ? อย่างนี้เขาเรียกว่า "ชักศึกเข้าบ้าน" ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ ตัวดีนัก คนหนึ่งก็ดึงเอาฝ่ายซ้ายเข้ามาครอบงำบงการเบื้องหลังบ้านเรา คนหนึ่งก็ดึงเอาฝ่ายขวามาหนุนหลังคอยยุยงปั่นป่วนให้เกิดการปฏิวัติ เอามันเข้าไป ประเทศจะเป็นอย่างไร มันไม่สนใจกันแล้ว มันสนใจแต่ว่า "อำนาจจะอยู่ในมือใคร" ก็เท่านั้นเอง นี่แหละ ถึงขนาดทหารเขาออกมาประกาศชัดเจนขนาดนี้แล้ว "สำนึกบ้างหรือไม่?" ก็ลองไปคิดทบทวนกันเอาเองนะครับ เพราะประเทศไทยตอนนี้ "ถูกรุมโทรมกระทำชำเรา" อย่างหนัก จากคนที่อยากได้อำนาจ แย่งกันไปมา จนประเทศจะไม่เหลืออะไรดีอยู่แล้ว โอกาสดีๆ เข้ามาเมื่อไร ก็หมดไปเมื่อนั้น ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราหลายประเทศ เขาคว้าฉวยโอกาสนี้สร้างชาติเจริญไปถึงไหนกันแล้ว เรายังมามัว "แก่งแย่งอำนาจ" กันถึงขนาด ชักศึกเข้าบ้าน เอาต่างชาติมาหนุนหลัง เพื่อเอาชนะกันไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ต่างอะไรกับ "เด็กวัยรุ่นตีกันเลย" ผิดทั้งคู่ ไม่ต้องมาโบ้ยความผิดให้ใครหรอก ถ้าคนหนึ่งกระทำ อีกคนเป็นฝ่ายถูกกระทำแต่ข้างเดียว ก็ว่าไปอย่าง ศาลรับฟ้องขอหาทำร้ายกันได้ แ่ต่นี่ไม่ใช่แล้ว มันทำกันทั้งสองฝ่าย "ผิดทั้งคู่แหละครับ" สงสารประเทศเถิดจะทำร้ายประเทศแดนเกิืดของพวกคุณไปถึงไหน?



ลัทธิล่าแม่มดในประเทศไทย มีจริงหรือ?

ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนนะครับว่า ผมไม่ใช่ทั้งคนเสื้อแดงและคนเสื้อเหลือง และไม่เคยคิดที่จะเข้าข้างฝ่ายไหน (เพราะทุกฝ่ายก็คือคนไทยทั้งหมด ทั้งนั้น) และไม่เคยคิดทำร้ายฝ่ายใด แต่ถ้าใครทำผิดอันส่งผลกระทบต่อประชาชน ผมก็จะออกมาแจ้ง เพื่อเตือนให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของคนพวกนี้ จะได้เอาตัวรอดกันได้ โดยไม่ได้คิดทำร้ายประเทศไทยเลย (ตรงกันข้าม ผมรักประเทศมาก จึงได้มานั่งทำงานหนักอยู่ตรงนี้ เพื่อสร้างภูมิปัญญาที่แท้จริงให้แก่ประชาชนคนไทย นั่นก็คือ หัวใจของการสร้างชาติแล้วผมจะไม่รักชาติได้อย่างไร?) แต่ถ้าเมื่อใดคนเสื้อเหลืองหรือคนเสื้อแดง มาเล่นงานผม เขาก็เท่ากับ "หาเสี้ยนใส่เท้าตัวเอง" อยู่ดีไม่ว่าดี เสือกสร้างศัตรูเพิ่มขึ้นเองช่วยไม่ได้ โฮ่ๆๆ


เอาละ มาดูกันก่อนว่า "ลัทธิล่าแม่มด" มันคืออะไร และเริ่มต้นมาจากไหน? มันก็คือ กลุ่มคนที่มีจิตใจชั่วร้ายมากที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์โลกครับ พวกเขาเอาหัวโขนพระรามบังหน้า แล้วลับหลังก็ทำชั่วสารพัด ต่อหน้าผู้คนทำเป็นคนดี สร้างภาพมากมาย แต่เบื้องหลัง เล่นงาน ใส่ร้ายคนอื่น โดยไม่มีละเว้น แม้แต่ผู้ปฏิบัติธรรมครับ เช่น คนที่อยู่อย่างสงบ ไม่ทำร้ายใคร แต่มีพลังจิตพิเศษ พวกเขาก็จะมีจิต "ริษยา" และหาทางกำจัด เพราะกลัวว่าคนพวกนี้ จะโดดเด่น มีอำนาจ หรือแย่งสิ่งที่ตนมีไป ทั้งที่คนเหล่านี้ เขาสมถะจริงๆ ไม่ใช่แค่สร้างภาพ เขายากจนก็จริง แต่เขาอยู่อย่างสงบครับ ทว่า พวกเขาก็ไม่วายถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็น "พ่อมดหมอผี" เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศแล้วพวกเขาก็ยัดเยียดข้อหาว่าประชาชนผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ เป็น "แม่มด" ครับ ในสมัยโบราณแถบยุโรป แม่มดมีภาพลักษณ์ที่แย่มาก เหมือนผีปอบบ้านเรา ใครถูกใส่ร้ายก็จะถูกจับไปเผาไฟทั้งเป็น โหดเหี้ยมทารุณครับ คนที่ทำเรื่องนี้่ ก็เพื่อสนองความเห็นแก่ตัว ให้ตนเองที่มีอำนาจและเงินล้นฟ้าอยู่แล้ว ได้มีอยู่ต่อไป ใครจะมาโดดเด่นเกินตัวเกิดความริษยาขึ้นมา ก็เลยต้องหาทางกำจัดแบบแนบเนียน ผมขอเรียกคนพวกนี้ว่า "เค้าท์แดร็กคูล่า" ครับ นี่แหละคือเจ้าลัทธิล่าแม่มด จับเอาประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปฆ่า และเผาไฟทั้งเป็นข้อหาเป็นแม่มด


ในประเทศไทยเริ่มมีแล้วครับ คือ "กลุ่มสลิ่ม" นั่นเอง พวกสลิ่มเป็นคำเรียกของคนเสื้อแดงครับ พวกเสื้อแดงนี่ ส่วนใหญ่จะเป็นรากหญ้า ซื่อๆ ใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบ "ผู้ดีจอมปลอม" ไม่เป็น ดีแต่ใช้กำลัง และไม่ค่อยรู้อะไรจริงมาก ได้แต่ฟังหัวหน้าของตนแล้วก็เชื่อตามนั้น จริงบ้าง เท็จบ้าง ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้หรอก อาศัยความเชื่อเป็นตัวนำครับ ตามสไตล์ไทยๆ แต่พวกสลิ่มนี่ ก็คือ "ผู้ดีจอมปลอม" ที่เบื้องหน้าทำตัวเป็นคนดี แต่ลับหลังก่อการลับๆ เล่นงานคนอื่น เอาประชาชนไปเป็นเครื่องมือทำลายศัตรูทางการเมือง และไม่สนใจว่าจะใช้วิธีใด แม้ว่าจะเป็นวิธีสกปรกก็ทำได้ "ขอเพียงไม่ให้ใครรู้" ก็พอครับ ปากก็ตอแหลหลอกลวงประชาชนว่าตนเป็นกลาง (แท้จริงหวังเล่นงานเสื้อแดง แล้วมันจะเป็นกลางได้อย่างไร?) แล้วยังหน้าด้านไปหลอกลวงประชาชนอีกว่าตนมีสัจจะ ให้สัจจะกับนายเหนือหัวของตัวเองไปแล้ว จะโกหกใครก็ได้ ถือว่าไม่ผิดสัจจะครับ (ชั่วช้าแบบแนบเนียนเลยไหมละ) โดยมีตัวบงการเบื้องหลังคือ "ผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นลูกสาวของคนที่มีอำนาจมากในประเทศนี้ มีภาพลักษณ์เป็นคนดี คนไทยนับถือกันมากมาย แต่จิตใจต่ำช้า เลวทรามครับ" เขาคนนี้ อดีตชาติคือ "ผังเจียน" ด้วยจิตที่ริษยา "ซุนปิน" เขาก็ "ตอแหล" โกหกและใส่ร้ายซุนปินจนซุนปิน ถูกทำร้ายขาพิการ, ถูกสลักหน้าว่าเป็นคนคุกไม่อาจปรากฏตัวให้ใครเห็นได้ ตัดอนาคตทางการเมืองของซุนปิน เพราะเขารู้ว่าซุนปินเก่งกว่าเขา เขาก็ริษยาครับ สุดท้าย เขาก็ตายอย่างโง่ๆ ด้วยความริษยานั้น ผลกรรมหนักทำให้เขาไม่ได้เกิดเป็นชายในชาตินี้ครับ (ถ้าเกิดเป็นชาย คงเลวได้มากกว่าเป็นนี้เป็นแน่แท้) และทำให้ "พ่อของเขา" ต้องนั่งรถเข็นตลอด เขาต้องทำงานให้คนนั่งรถเข็น เพราะวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรคือ "ซุนปิน" ตามมาทวงหนี้กรรมคืนจากเขาครับ (บอกให้รู้ไว้ จะได้รู้ตัวว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน ก็หนีกรรมชั่วของตนไม่พ้น) แต่ความแนบเนียนในการ "สร้างฉากละคร" ซ่อนความชั่วไว้เบื้องหลังของเขายังเหมือนเดิมและทำให้คู่ปรับของเขา "ซุนปิน" ไม่อาจออกมา่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนได้เหมือนเดิม เพราะเขาจ้องเล่นงานซุนปินอยู่ ส่วนซุนปินก็มีญาณหยั่งรู้ได้ครับ เอาละ ตอนนี้ เขาได้สร้างลัทธิล่าแม่มดขึ้นมาแล้ว เพื่อเล่นงานซุนปินคนนั้น เขาบีบให้ซุนปินที่เป็นกลางจะต้องกลายเป็นมีขั้วไปได้ ทั้งๆ ที่ซุนปินไม่อยากมีขั้วเลย ประเทศไทยเรามันไม่มีทางแตกแยกหรอก ถ้าใจเรา "ไม่แบ่งพรรคพวก ฝักฝ่าย" แ่ต่ที่มันแตกแยก "เพราะมีคนคิดแบ่งพรรคพวกฝักฝ่าย" นี่ละ


ต่อไป ผมจะใช้่พลังจิตพิเศษ อ่านความคิดของผังเจียนผู้นี้ออกมาแฉให้หมดเลยในฐานะที่เขาได้กระทำผิดต่อผม เขาเริ่มลงมือใช้บริวารชั่วของเขา สร้างลัทธิอุบาทว์ ลัทธิล่าแม่มดขึ้นมาแล้ว เพื่อเล่นงานใครบางคน บทความหลายชิ้นที่วิจารณ์การเมืองนั้น "ผมไม่มีข้อมูลหรือความรู้อะไรเลย" บอกตรงๆ ผมใช้พลังจิตสืบความลับเอาล้วนๆ ครับ ไม่รู้ว่ามันแม่นแค่ไหนด้วยซ้ำไป (แต่ท่านที่อยู่ในสถานการณ์จริง ก็ย่อมมีข้อมูลเป็นแน่แ้ท้ ดังนั้น ท่านจะทราบได้เองว่าผมแม่นแค่ไหน?) เอาละ ผังเจียน เจ้ายังชั่วช้าไม่จบ ชาติแล้วชาติเล่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะต้องทำหน้าที่ของเราเช่นกัน อย่าโทษใครนอกจากตัวเจ้า "ที่ชั่วช้าสามาน" ไม่เลิก ใส่หน้ากากผู้ดี แต่เบื้องหลังทำสิ่งชั่วช้าไม่เลิก อย่าโทษใคร จงโทษความชั่วของเจ้าเองเถิด ...



วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เบื้องหลัง "ทฤษฎีสองสูง" อันนำไปสู่นโยบายเพิ่มค่าแรงและค่าครองชีพ

ทฤษฎีสองสูงนี้ คนคิดก็คือ "ผู้มีอำนาจจากจีนครับ" แล้วส่งต่อให้ "ผู้มีอำนาจเบื้องหลังรัฐบาลไทย" อีกที เพื่อจะดึงไทยให้เข้าร่วมแผนการระดับโลก ที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้ามคือ พวกอเมริกาและยุโรป นั่นเอง จากนั้ันจึงแสร้งให้ "นายทุนไทยคนหนึ่ง" เป็นปากกระบอกเสียงพูดแทนเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือนั่นเอง  (นายทุนคนนั้นไม่ได้รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์อะไรเลย แต่เขาก็ทำธุกิจส่วนตัวสำเร็จโด่งดัง ก็เท่านั้นเองครับ) ก่อนอื่นผมจะขอกล่าวถึง "ทฤษฎีสองสูง" ให้ท่านเข้าใจง่ายๆ นะครับ ก็คือ ถ้าของแพงขึ้นพร้อมกับเรามีรายได้มากขึ้น ก็ยังสมดุลอยู่ได้ ใช่ไหมครับ คำถามคือ แล้วมันจะได้อย่างไร? สมมุติ เราเคยได้เงินเดือน ๑ หมื่นบาท แต่ราคาสินค้าไม่แพง ทำให้มีค่ารองชีพต่อเดือน ๑ หมื่นบาทพอดี แต่พอเรามีรายได้มากขึ้นเป็น ๒ หมื่นบาท ระดับราคาสินค้าก็เพิ่มทำให้ค่าครองชีพเพิ่มเป็น ๒ หมื่นบาท ผลคือไม่ต่างกันเลยในแง่ของผู้บริโภค แต่ผลมันต่่างกันตรงมุมอื่นครับ ผมจะอธิบายให้ท่านเห็นเป็นสองมุมมอง คือ


๑. ผลในแง่การกระตุ้นเศรษฐกิจ มันมีผลไม่ต่างจากการใส่ฟืนไฟเร่งเตาให้ไฟมันแรงขึ้น ให้เศรษฐกิจไปเร็วขึ้น เหมือนว่าจะพยายามถีบตัวเองให้ทันประเทศจีน โดยการเอา "โมเดลยุคปฏิวัติญี่ปุ่น" มาใช้ไงครับ กล่าวคือ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นได้รับผลกระทบมาก เขาจึงเลิกคิดที่จะเอาชนะใครด้วยสงคราม หันมาเร่งเครื่องเศรษฐกิจแทนครับ ด้วยการทำให้ทุกอย่างในประเทศ "เฟ้อ" ไปหมด คือ ราคาสินค้าแพงขึ้น ในขณะที่รายได้ก็มากขึ้น เร่งเครื่องให้มันเฟ้อไปมากๆ เหมือนเร่งเป่าฟองสบู่นั่นแหละ คนญี่ปุ่นบางคนแทบจะก้าวตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ทัน บ้างก็ต้องยอมให้แก๊งค์มาเฟียลากไปขายตัว, เล่นหนังโป๊ เอาเงิน เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวให้ทัน ไม่เช่นนั้นก็จะอยู่ไม่รอดครับ (มีผลกระทบทางสังคมเยอะ)

๒. ผลในแง่เศรษฐกิจระดับโลก มันเป็นการ "ทำสงครามทางเศรษฐกิจ" ครับ กล่าวคือ ยิ่งเราเร่งเครื่องให้เศรษฐกิจในโซนเอเชียร้องแรงขึ้นมากเท่าใด ทางโซนยุโรปและอเมริกา ก็จะยิ่งซบเซามากขึ้น ตลาดในแถบนั้นไม่น่าลงทุนอีกแล้ว นักลงทุนก็แห่ย้ายตามๆ กันมาที่เอเชียแทนครับ เพื่อจะืำืำบีบให้เศรษฐกิจยูโร ทรุดหนักลงไปอีก จนกว่าจะล่มสลายไปในที่สุดครับ เท่ากับเป็นการ "ประกาศสงครามทางเศรษฐกิจ" นั่นเอง ดังนั้น โอบาม่า จึงต้องเร่งมาทำกิจที่เอเชีย และโยนให้หมู่เกาะสแปซลี่ ซึ่งอเมริกาได้ครองเป็นเจ้าของต่อจากญี่ปุ่นหลังชนะสงครามโลกครั้งที่สอง กลับเป็นเหยื่อล่อให้กลายเป็นชนวนสงครามครับ


ในมุมมองของ "นายทุนไทย" ย่อมต้องมองว่าทฤษฎีสองสูงนี้ "เอื้อประโยชน์ต่อตนเอง มากกว่าประเทศชาติชัดเจนอยู่แล้ว" กล่าวคือ ในภาวะที่โลกมีวิกฤติเศรษฐกิจมากอย่างนี้ประกอบกับ "นายทุนนานาชาติ" ไม่อาจมั่นใจได้ในการลงทุนข้ามชาติในแถบประเทศอื่นๆ เช่น ยุโรปก็ยังไม่ฟื้น, อเมริกาก็ไม่ใช่คำตอบ, อาฟริกาก็ยังไม่เจริญ ฯลฯ ดังนั้น จึงเป็นแรงกดดันให้ "เงินทุนทั่วโลก" ที่หาทางระบายลงไม่ได้ ต้องไหลมาที่ "เอเชีย" และแน่นอนว่าอินเดียกับจีนยังไม่เปิดรับมากนัก การเข้าสู่ตลาดจีนได้จึงต้องลงที่อาเซียนก่อนแล้วขนส่งต่อไปยังจีนภายหลังอีกที ดังนั้น "แน่นอนว่าทุนต่างชาติอาจไหลทะลักเ้ข้ามาสู่ไทย" ผลที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ "นายทุนไทยต้องมีคู่แข่งที่แข็งแกร่งเพิ่มอีกมากมาย" ดังนั้น นายทุนไทยจึงต้อง "สกัดกั้นทุนนอก" เสียก่อนต้นลม ด้วยการสนับสนุนนโยบายตาม "ทฤษฎีสองสูง" นี้ ไม่ใช่ความคิดที่จะทำเพื่อชาติบ้านเมืองอะไรแท้จริงเลย แต่เพื่อตัวเองล้วนๆ แต่ถ้ามองในแง่การทำสงครามทางเศรษฐกิจแล้ว ก็จะมองได้ว่า "นายทุนไทยก็ลงขัน" ทำสงครามเศรษฐกิจระดับโลกครั้งนี้กับเขาด้วย


ดังนั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงพยายาม "เอาเงินลงไปหมุนในระบบ" ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เรียกว่าเร่งเครื่องเศรษฐกิจเต็มที่ หวังเล่นงานพวกฝรั่งให้มันหงายหลังไปเลย ตอนแรกกะจะเอาทองของหลวงตามหาบัวไปใช้ก่อน ทว่า ถูกเบรคโดย "ฝ่ายเสื้อเหลือง" ครับ ว่าไม่ให้ใช้ทองของหลวงตามหาบัวนะ ดังนั้น ก็เลยต้องใช้ "อำนาจนายก" ในการ "กู้เงิน" มาเป็นล้านล้านบาทเลย เรียกว่า "ดูดเงินในโลกให้ไหลมากองในภูมิภาคนี้ก่อน" เำพื่อบีบให้ยุโรปยิ่งขาดแคลนเงินไปใหญ่ ที่กำลังแย่อยู่แล้ว จะได้อาการทรุดหนักลงไปอีก จนกว่าจะหงายหลังพังไปข้างหนึ่งเลย อีกฝ่ายคือ พวกคนจีนก็คอยรวมหัวกัน "ปั่นราคาตลาด" ไม่ว่าจะเป็นตลาดอะไร ตลาดเงิน, ตลาดทองคำ, ตลาดหุ้น, ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ฯลฯ นายทุนจีนเขาก็รวมหัวกันเล่นครับ ถ้าคุณไม่เข้าใจ ผมจะอธิบายง่ายๆ เหมือนรวมหัวกันเล่นไพ่โกงเพื่อนนั่นแหละ สมมุติ ในวงมีเพื่อนคุณอยู่ครึ่งหนึ่ง รวมเงินกันแล้วเยอะมากเป็น ๗๕% ของเงินทั้งวงไพ่้ เราก็แสร้งลงขันแทงไปในทางเดียวกัน จะให้มันราคาแพงขึ้นในหุ้นตัวไหนหรือสินค้าตัวใด ก็ได้ครับ มันไม่่ใช่ราคาตลาดอันเกิดจาก "กลไกลตลาด" จริงๆ แต่มันเกิดจากคนปั่นแต่ปั่นแบบแนบเนียน, รวมหัว และไม่อาจจับผิดได้ไงครับ ทีนี้ ตลาดทั่วโลกก็ปั่นป่วนละสิ คุณเห็นข่าวไหมละ เดี๋ยวราคาทองขึ้นพรวดๆ อะไรไม่รู้ มั่วไปหมด นั่นแหละ ผมเรียกว่า "สงครามกระสุนเงิน" ใช้เงินเป็นอาวุธเล่นงานกันครับ ดังนั้น เศรษฐีอเมริกาคนหนึ่งก็เลยออกมาประกาศเป็นข่าวดังว่า "ตนขอสละเงินอุดหนุนกองทุนเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ" แล้วก็ดึงให้นายทุนคนอื่นๆ มารวมหัวกันด้วย นี่ละเขาตอบโต้กันแบบนี้ (แต่คุณต้องไม่ลืมว่าจีนถือเงินดอลล่าร์ไว้มากที่สุดในโลกนะครับ ดังนั้น เขาเหมือน "กุมหัวใจของอเมริกา" ไว้ในกำมือเลยทีเดียว! เรียกว่าถ้าจีน ปล่อยเงินดอลล่าร์ออกมามากหรือน้อย ก็จะส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน ทันที เขากำหนดได้เลย)


ทว่า เรากำลังถูก "คนจีนหลอกเอาครับ" เขาหลอกใช้งานเรา ผลักใสให้เราเข้าสู่ "วังวนสงครามเศรษฐกิจระดับโลก" เราจะเป็น "ทัพหน้า" ที่ "บาดเจ็บมากที่สุด" โดยที่พวกคนจีนไม่บาดเจ็บอะไรเลย รอคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างเดียวทั้งสองฝ่ายครับ อย่างไรหรือ? ผมจะอธิบายให้ฟังอย่างนี้ครับ จีนใช้กลยุทธ์ "สองต่ำ" อยู่ครับ เขาทำตรงข้ามกับแผนการที่เขาบอกให้เราทำเลย เพื่อให้เราหลงกล เขาทำให้ต้นทุนต่ำลงและขายสินค้าได้ในระดับราคาต่ำๆ ตีตลาดโลกเอาชนะคนอื่นด้วยราคา (ซึ่งไม่มีประเทศใหญ่ๆ ที่ไหนจะคุมต้นทุนให้ต่ำไ้ด้อย่างจีน มันจึงเป็นจุดแข็งของจีนครับ) ทีนี้ พอ "อาเซียน" ถูกทำให้ร้อนแรง ลุกโชน สว่างไสว ดึงดูดนักลงทุนมามากๆ แล้ว ไทยจะไม่ได้อะไรเลย เพราะประเทศอาเซียนอื่นๆ เขามีต้นทุนต่ำ ค่าครองชีพต่ำ นักลงทุนก็ต้องเลือกประเืทศอื่นที่ต้นทุนต่ำกว่าครับ (เงินทุนต่างชาติ จะไหลไปออกนอกประเทศ สมดังใจที่นายทุนไทยต้องการ) พออาเซียนชนกับอเมริกาและยุโรป จนเขาหงายหลังไปแล้ว จีนก็จะได้ทุกอย่าง เพราะเมื่อถึงเวลานั้น ระดับค่าครองชีพ, ราคาสินค้าของไทยก็จะเป็นเหมือนญี่ปุ่นไปแ้ล้ว ไทยไม่อาจลงไปแข่งขันในตลาดเดียวกับจีนได้อีกครับ เรียกว่า "หมากนี้เิดินหน้าได้อย่างเดียว ถอยหลังไม่ได้เลย" ในขณะที่จีนไม่ต้องขยับ ดันหลังให้คนอื่นชนกันโครมๆ แล้วรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่ครับ ไทยเราก็แค่ "ตัวหมากที่ใช้แล้วทิ้ง" ตัวหนึ่งเท่านั้นเองภายใต้กลยุทธ์ "สองสูง" นี้ ...



วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำไมม็อบเสธ อ้าย จึงหยุดกลางคัน?

เรื่องนี้มีส่วนคล้ายประวัติศาสตร์จีนยุค พระเจ้าฮั่นอู๋ตี่ ในเหตุการณ์ที่พระองค์ทรงสั่งให้แม่ทัพคนหนึ่ง ไปปราบซ่งหนู โดยให้กำลังพลน้อยมาก ไม่พอที่จะทำการได้สำเร็จ ทำให้ผลกลับตรงข้าม คือ ล้มเหลวและทำให้ "แม่ทัพ" คิดเอาชีวิตรอดก่อน คือ ยอมแสร้งเข้ากับพวกซ่งหนู (อันที่จริง ฮั่นอู่ตี่ฮ่องเต้รู้แต่แรกแล้วว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้ แต่ท่านต้องการส่งแม่ทัพผู้นี้ให้ไปตาย เพราะเขามีจิตไม่ซื่อ หวังเอา "หวังเจาจิน" เป็นเมีย ทั้งๆ ที่หวังเจาจินคือ พระสนมในพระองค์) ต่อมา มีขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มีความคิดบรรเจิดแต่ใช้ไม่ได้จริง คือ คิดเก่ง เลิศเลอ จนได้รับความชื่นชมมากมายในเชิงทฤษฎีนะ แต่มันไม่รู้ความจริงนัยนี้ ก็เลยเข้าข้างแม่ทัพคนนั้น เถียงกับฮั่นอู่ตี่ฮ่องเต้ว่า "เขาอาจมีเหตุผลของเขาเองก็ได้นะ" ตายห่าละสิ ถ้าคนทุกคนคิดแม่งมันแบบนี้ ฮ่องเต้สั่ง ก็ไม่ต้องทำตาม เพราะทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเองนะค่ะ ประเทศมันคงต้องล่มสลายเป็นแน่ ว่าแล้วฮั่นอู๋ตี่ฮ่องเต้ จำต้อง "ตัดไฟแต่ต้นลม" จะปล่อยให้ความคิดบรรเจิดงี่เง่าไร้ซึ่งความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องความมั่นคงเช่นนี้ เผยแพร่ออกไปไม่ได้ จะฆ่าทิ้งเสียก็ได้ แต่เสียดายเพราะท่านเองก็นิยมในสำบัดสำนวนงานกวีของมันเสียด้วย ก็เลย "สั่งตัดจู๋" ไปเสียเลย เป็นตัวอย่างว่าอย่ามาคิดแบบนี้อีก "มันอันตรายต่อความมั่นคง" นั่นเอง เรื่องยังไม่จบ หลังจากนั้น ขุนนางคนนั้นก็ยังสิ้นคิด คิดไม่ได้อีกว่าทำไม เขาจึงได้ลงโทษตัวเองขนาดนั้น มันคับแค้นใจมาก ก็เลยไปเขียนตำราประวัติศาสตร์ซะเลิศหรูสวยงาม (แต่ใช้ไม่ได้จริงหรอก) ทำเอานักปราชญ์ทั่วแผ่นดินชื่นชมมัน พร้อมกับด่า "ฮั่นอู๋ตี่" กันเสียยกใหญ่ (เพราะสมองมันคิดได้เท่านั้น ได้แค่ทฤษฎีสวยหรู แต่ไม่เคยปฏิบัติจริง) เอาละ แต่สำหรับเรื่องของ เสธ อ้าย นี้ เกิดในระบอบ "ประชาธิปไตย" นะครับ อย่าลืมซะละ ว่า "ระบอบกษัตริย์" ที่ผมยกตัวอย่างมา "มันคืออดีตไปแล้ว" เดี๋ยวนี้พระไทยฮิตสอนว่า "ให้อยู่กับปัจจุบัน" นะจ๊ะ ...


เอาละ ผมจะล้วงลึกความลับประเด็นร้อนฉ่าที่สุดในประเทศตอนนี้ มาแฉกันให้ท่านทราบฟรีๆ เลยครับ เรื่องนี้เริ่มต้นจาก "โอบาม่า" มาเยือนไทยครับ มันเลยกระทบไปถึงจีนก็ต้องเข้ามาคานอำนาจด้วย ทีนี้ ในประเทศไทยคุณก็ทราบว่ามี "สองขั้วอำนาจใหญ่" อยู่ สายป่านสีแดงเชื่อมยาวไปถึงจีน สายป่านสีเหลืองก็เชื่อมไปยาวถึงอเมริกา เมื่อโอบาม่ามาแล้ว แสร้งทำเป็นดีกับนายกไทย แต่กลับพูดเชิงยุยงให้มีม็อบขึ้น และไม่นานนัก "ผู้มีอำนาจท่านหนึ่ง" ได้เรียก เสธ อ้่าย ไปพบ แล้วบอกว่า ประเทศไทยแย่แล้ว จำเป็นต้องอาศัยวีรบุรุษเช่นท่้านช่วยหน่อยเถิดนะ เพราะอีกไม่นานอาจเกิดข้อพิพาทย์ระหว่างจีนกับอาเซียนถึงขั้นมีสงครามเกิดขึ้น (และเป็นการยากที่ใครจะวางตัวเป็นกลางได้) ท่านผู้มีอำนาจนั้นก็ว่าเราเป็นกลาง (กลางไม่จริงนะ เพราะสายป่านยาวถึงอเมริกา) แต่นายกกำลังนำพาประเทศไปผิดทาง (ตามความคิดของท่านผู้นั้น) เพราะเข้าข้างจีนเสียแล้ว ประเทศก็จะไม่รอดวิกฤติไปได้ ท่านจึงต้องทำเพื่อชาติ เป็นทหารต้องเสียสละนะ ท่านต้องนำพาผู้คนไปโค่นอำนาจรัฐบาลลง เพื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมือง เอาคนอื่นเข้ามาเป็นนายกแทน จึงจะสับเปลี่ยนขั้วสายป่าน ไม่ให้ไทยถูกผูกโยงดึงไปเข้ากับจีนได้ (เออ ความคิดเขาก็เข้าท่าเหมือนกันนา) ทว่า เสธ อ้าย ก็คิดว่า "ทำไมต้องเป็นฉันเนี่ย ฉันทำไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ทำไปเดี๋ยวก็โดนด่า โดนเช็คบิล โดนเล่นงานตามหลัง ไม่มีประโยชน์อะำไีรเลย แล้วปฏิวัติแล้วอะไรมันจะดีขึ้นเร้อ ไหนตัวผู้นำที่ดีกว่านี้มีไหม? ก็ไม่เห็นมี ไม่เ็ห็นโผล่หน้ามาทำให้เรามีกำลังใจเสียหน่อย" ผู้มีอำนาจก็ว่าทำทุกอย่างเรียบร้อย ไม่ต้องคิดมาก ทำหน้าที่ของตนให้ดีก็พอนะ (ประมาณว่าตัวผู้นำมีแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครเป็นนายก) ทว่า ทหารหาญทุกคน คงไม่มีใครชอบถ้าจะต้องปฏิวัติโดยไม่รู้ว่าจะเอาอำนาจไปให้ใคร? ถ้ารู้และเชื่อมั่น ศรัทธาชัดเจนว่า "ตัวผู้นำใหม่" คนนั้ัน คือ คนที่ใช่ คือ คำตอบ แหม ทหารทุกคนก็พร้อมพลีชีพครับ เห็นยุคพระนเรศวรไหม ยอมตายเพื่อชาติ เชื่อฟังคำสั่งพระนเรศวรกันทั้งนั้น เรียกว่า ผู้มีอำนาจพลาดหมากที่สำคัญที่สุดไป คืิอ "หมากขุน" ในเมื่อหมากขุนไม่ชัดเจน หรือมีแต่ไม่ได้เรื่อง ไม่อาจทำให้ทหารศรัทธาได้ เสธ อ้าย ก็เลยเครียดหนัก เอาไงดีวะตรู อำนาจจี้คอหอยอยู่ จะปฏิเสธก็ไม่ได้ ก็เลยตบปากรับคำไปก่อน (เดี๋ยวไปหาทางหนีทีไ่ล่เอาทีหลัง)


ว่าแล้ว "ดราม่าชุดใหญ่" สุดอลังการก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยการประกาศกร้าวราวกับจะยกเก้าทัพมาบุกพระนครฯ ทำเอาทุกคนอกสั่นขวัญแขวนไปกันใหญ่ (ที่พวกเสื้อแดงเขาล้อว่า โฆษณาเกินจริง) ทำไงได้ละครับ มันต้องเล่นละครดราม่า มันก็ต้องตีบทให้แตกกระจุยกันสักหน่อย (ใครไม่เป็นกรู มึงไม่รู้หรอก หัวอกของคนที่ถูกบีบให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ มันเป็นยังไง) ว่าแล้ว "ลูกสาวผู้มีอำนาจ" คนหนึ่งที่มีหน้ากากเป็นคนดี บุคคลิกดังปราชญ์ ก็คอยมาบงการเบื้องหลัง  แน่นอนว่า "งานนี้ไม่มีเนิร์ซ" มันไม่ใช่เด็กๆ ขี้ๆ แน่นอน มันต้องมีตูมตาม และวุ่นวายอย่างแน่นอน อีกประการ เสธ อ้ายต้องเป็นคนรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด (หมายความว่าถ้ามีคนตายเท่าไร ก็ต้องรับผิดชอบหมดคนเดียวด้วย ทำไงได้ละ เป็นหนังหน้าไฟนี่นา?) เป็นรูปแบบว่า "ม็อบเสธ อ้าย" แสดงละครว่าทำตามกฏหมายทำโดยสงบ แต่ "เบื้องหลัง" จัดเตรียมเอาไว้แบบสุดๆ ชนิด ตายเป็นตายกันไปข้างหนึ่งเลย ไม่สนอะไรแล้ว ขอให้งานสำเร็จเป็นพอ เสธ อ้าย ก็เลยต้องเล่นตามบทของตนเองไป อาศัยจังหวะที่ทำหน้าที่ดูเนียนที่สุดแล้วเกิดการปะทะขึ้น สถานการณ์เริ่มรุนแรงและไม่อาจควบคุมได้ เสธ อ้าย คิด "มันมาแล้ว ไอ้เงามืดนั่น มันเริ่มเล่นกูแล้วโว้ย" มรึงจะให้กูรับผิดชอบขนาดนี้ แล้วแอบมาเล่นสร้างความวุ่นวายในม็อบกู ให้กูรับผิดชอบคนเดียว แล้วมรึงแม่งคนทำอยู่เบื้องหลัง ก็ตีสีหน้าเป็นผู้ดีต่อไปนี่นะ กูไม่เอากับมึงแล้ว ทุกคนแยกย้ายกลับบ้าน ทั้งๆ ที่อารมณ์กำลังได้ที่แล้วทีเดียว จะลุยต่อมันก็ได้ แต่ "หน้ากากบังหน้า" มันไม่มี ไม่ยอมทำหน้าที่แล้ว ถ้่าลุยต่อเดี๋ยวคนทั้งประเทศได้รู้กันว่ามันไม่ใช่ฝีมือ เสธ อ้่าย แต่มันมี "ตัวบงการเบื้องหลัง" ชักใยอีกทีหนึ่ง ว่าแล้วก็เลย "ประกาศหยุดม็อบ" ซะเลย ทุกอย่างก็เลยจบเห่ ละครฉากใหญ่เลยปิดม่านลงด้วยประการฉะนี้


วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พระรามปราบทศกัณฐ์ ทำถูกต้องแล้วจริงหรือ?

วันนี้ขอมาแปลกหน่อยครับ ที่วิจารณ์พระราม เมื่อครั้งทำสงครามล้างเผ่ายักษ์ เพียงเพื่อชิงนางสีดากลับมาเพียง ๑ นางเดียว (เล่นเอาปวงสัตว์มากมายต้องมาตายในสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานนั้น) ผมจะไม่อ้อมค้อมนะครับ เพราะนี่ไม่ใ่ช่งานเขียนในหนังสือเล่มหนา ที่มุ่งหวังปริมาณให้คุ้มราคา เราเป็นสื่อเน็ต ต้องเร็ว, ลัด, สั้น, ง่าย ทันใจครับ สรุปว่า "พระราม" ทำผิดพลาดหลายประการ ดังนี้ครับ


๑. พระราม ไม่ได้สู่ขอนางสีดาต่อ "บิดามารดา" ผู้ให้กำเนิด ซึ่งบิดาผู้ให้กำเนิดนางสีดา ก็คือ "ทศกัณฐ์" นั่นเอง ดังนั้น การที่นางสีดาถูกทศกัณฐ์ลักพาไปนั้น หากสาวให้ลึกซึ้งถึงความเป็นมาของนางสีดาให้ชัดเจนแท้จริงแล้ว จะพบว่า "ทศกัณฐ์" ไม่ได้ทำผิด เพราะเท่ากับไปเอาลูกสาวของตนคืนมาจากชายผู้ไม่ได้ทำพิธีสู่ขอลูกสาวของตนให้เรียบร้อยก่อน ก็เท่านั้นเอง ทั้งนี้ ทศกัณฐ์ก็ไม่เคยล่วงเกินนางสีดา

๒. ต่อให้ทศกัณฐ์กระทำความผิดจริง ก็มีทางออกหลายทางที่ไม่จำเป็นต้อง "ทำสงครามล้างเผ่าพันธ์" พระรามเป็นผู้ที่เหี้ยมโหดมากยิ่งกว่ายักษ์ เพราะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยักษ์หมดโคตรหมดตระกูล แม้แต่ภิเภก ผู้ซึ่งจงรักภักดีทำงานให้พระรามมาตลอด ก็ไม่มีละเว้น ท่านแสร้งทำเป็นไม่รู้ แล้วยิงธนูเสี่ยงทายไปว่ามียักษ์เหลืออีกหรือไม่? สุดท้าย ศรนั้นจึงต้องแก่ภิเภก (ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเ็ป็นต้องยิงศรนั้นเลย ก็ได้)

๓. พระรามเป็นผู้กระหายสงคราม เพียงเพื่อ ๑ นางเดียว ถึงกับต้องทำสงครามยืดเยื้อยาวนาน ที่แท้ ก็คือ แผนการอันแยบคายของพระรามที่จะอ้าง "ความชอบธรรม" ในการทำสงครามล้างเผ่าพันธุ์ยักษ์เท่านั้นเอง กล่าวคือ อาศัยการอ้างว่าตนทำสงครามเพื่อชิงภรรยาตนเองกลับมา จะได้ดูเป็นพระเอก เป็นคนดี มีความชอบธรรมในการทำสงครามนั้น ทว่า เพื่อ ๑ นางเดียวคนนี้ ท่านได้ทำให้ปวงสัตว์ตายไปเท่าไร?

๔. มีหลายต่อหลายครั้งที่พระรามสามารถไว้ชีวิตพวกยักษ์ได้ แต่ไม่มีเลย ท่านไม่มีละเว้น ไม่มีผ่อนโทษ ไม่มีอภัยให้พวกยักษ์เลยแม้แต่น้อย ดังนั้น จึงเป็นผู้ไร้ความเมตตา อ้างเอาคุณธรรมความดี (ในแบบที่ตนอ้างนั้น) ขึ้นบังหน้า เพื่ออำพรางเป้าประสงค์อันแท้จริง คือ การฆ่าล้างเผ่าวงศ์ยักษ์ ก็เท่านั้นเอง จริงอยู่ยักษ์ย่อมมีวิสัยไม่ดีเพราะเขาคือยักษ์ เหมือนเสือก็ต้องเป็นเสือ แต่เราต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยหรือ?

๕. แม้แต่ฤษี พระอาจารย์ของทศกัณฐ์ก็ยังปกป้องทศกัณฐ์ไว้ ฤษีนั้นก็ไม่่ใช่ว่าเลวทรามชั่วช้า แต่ท่านก็มีอุดมการณ์ของท่านเอง เหตุใด พระรามผู้นับถือคุณธรรมความดี ไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า ทำไม นักบวชผู้ทรงศีลผู้นี้ ต้องปกป้อง หรือให้การช่วยเหลือแก่ทศกัณฐ์ (ด้วยการซ่อนกล่องดวงใจไว้ให้) ทศกัณฐ์เป็นยักษ์เลวทรามต่ำช้าจริงหรือ? หรือเพียงแค่ "ผิดครั้งเดียวเพราะละเมิดพระราม" จึงกลายเป็นบาปมหันต์?


เอาละ ผมขอสรุปเลยว่า "พระรามทำผิดต่อศีลธรรม ที่แก้ปัญหาแบบนี้" แต่พระรามทำถูกต้องแล้วตามวิถีของกษัตริย์เพราะ้ท่านมีภิเภกผู้หยั่งรู้ทุกอย่างอยู่ข้างกาย จะถามสักหน่อยว่าทำไม ทศกัณฐ์จึงชิงตัวนางสีดา สองคนนี้มีกรรมอันใดเกี่ยวกันมา ก็ย่อมได้ความแล้ว (เพราะขนาดเรื่องกล่องดวงใจหรืออะไรต่อมิอะไร ภิเภกก็รู้หมด) แต่ท่านกลับไม่ถามให้ชัดแจ้งก็โยนความผิดบาปให้ทศกัณฐ์ทันที นี่ก็เพื่อให้ตนไม่ต้องไปสู่ขอนางสีดาจากทศกัณฐ์นั่นเอง เพราะอะไร? เพราะถ้าสู่ขอเมื่อไร เมืองมนุษย์ของพระรามต้องตกเป็น "เมืองลูกเขยยักษ์" และแน่นอน เมืองใดเป็นเมืองลูกเขย ย่อมต้องเป็นเมืองลูก เมื่อเป็นเมืองลูก ก็ต้องเป็นเมืองขึ้นไปโดยปริยาย เฉกเช่นที่ "มะกะโท" ตกเป็นเมืองขึ้นของพ่อขุนรามฯ เพียงเพราะได้ลูกสาวของพ่อขุนรามฯ เป็นมเหสี นั่นเอง นี่แหละ "การเมือง" อย่าไปคิดเลยว่าจะมีใครดีแท้ หรือชั่วจริงๆ ไม่มีหรอก ทุกอย่างทำไปก็เพื่อตอบโจทย์การเมืองเท่านั้น ไม่มีใครถูกผิด, ดีชั่วจริงๆ ในการเมืองนี้หรอก


สุดท้ายก็คือ "หน้าที่สำคัญของพระราม" ที่ต้องจุติลงมาเพื่อปราบทศกัณฐ์ (แต่แทนที่จะหาทางฆ่าทศกัณฐ์ผู้เดียว กลายเป็นว่าทำสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยักษ์ไป นับว่ากระทำการณ์โดยขาดความรอบคอบ) นั่นคือ มันถึงวาระแล้วที่ทศกัณฐ์จะต้องตาย แต่ไม่มีใครทำให้ตายได้ ก็เลยต้องให้พระนารายณ์อวตารเป็นพระรามลงไปทำหน้าที่เท่านั้นเอง ดังนี้แล้ว ท่านจึงไม่ผิดในแง่ของ "สัจธรรมความจริง" ไม่ผิดต่อสวรรค์ เพราะท่านทำตามหน้าที่ ตามบัญชาสวรรค์เท่านั้นเอง แต่ถ้าจะมองในมุมของชาวโลกแล้วละก็ ก็เป็นอย่างที่ผมได้อธิบายไปข้างต้น นั่นแหละครับ สำหรับบทวิจารณ์นี้ "คงขัดใจท่านอย่างยิ่ง" เพราะไม่เคยมีใครไปว่ากล่าวพระรามว่าผิดสักที ท่านเป็นวีรบุรุษตลอดกาลอันหาความผิดไม่ได้อยู่แล้ว อนึ่ง ผมไม่ได้เข้าข้างทศกัณฐ์และไม่ได้เห็นดี เห็นงามอะไรกับการไปแย่งภรรยาเขามาแบบนั้นอีกด้วย เพราะถ้าเพียงทศกัณฐ์เอะใจบ้างว่า "ทำไมตนจึงแตะเนื้อต้องตัวนางสีดา ไม่ได้" ก็อาจสืบสาวจนทราบว่านั่นคือ บุตรสาวของตนเองที่หายไป นั่นเอง สุดท้ายนี้ ท่านจะเห็นต่างอย่างไร ก็ตามแต่ใจท่าน เสนอความคิดเห็นและมุมมองมาได้เลยครับ ...


วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"สงครามเย็น" กับ "สงครามไฟ" ใครได้เปรียบ?

ในบทความนี้ ผมจะขอวิจารณ์ต่อเนื่องจากบทความก่อนๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการขยายอิทธิพลของชาติมหาอำนาจสองยักษ์ใหญ่ นั่นคือ อเมริกา และ จีน ครับ ผมจะสรุปง่ายๆ สั้นๆ เลยก็แล้วกัน กล่าวคือ ฝ่ายอเมริกาจะใช้ "สงครามไฟ" คือ เปิดเผย, สู้รบโดยใช้อาวุธ และก่อให้เกิดผลเสียหายเชิงวัตถุด้วย ผมขอเรียกว่าเป็น "สงครามไฟ" ก็แล้วกัน ซึ่งอเมริกาใช้ได้ผลมากมาแล้วกับชาติอาหรับ และเมื่อปีที่แล้ว ก็ทำให้หลายชาติให้อาหรับเกิดการปฏิวัติลูกโซ่ต่อเนื่องกันหลายประเทศ เกือบจะเป็นโดมิโน่อยู่แล้ว แต่กระบวนการชะงักไปก่อนครับ ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจถ้าฝ่ายอเมริกาจะใช้กลยุทธ์ที่ประสบผลสำเร็จแล้วนี้ "เป็นโมเดลในการใช้กับเอเชีย" ด้วย ส่วนฝ่ายจีนจะใช้ "สงครามเย็น" ครับ (ธาตุน้ำ) กล่าวคือ จะไม่มีการสู้รบทางการทหารแบบตรงๆ หรือเปิดเผย แต่จะเป็นการ "กลืนเงียบ" เช่น การอยู่เบื้องหลังของผู้มีอำนาจทางการเมืองของประเทศต่างๆ เช่น กัมพูชา, ไทย, ลาว, พม่า เ็ป็นต้น ซึ่งภายหลังพม่ากำลังตีตัวออกห่างจากจีนแล้ว และเริ่มหันมาจับมือกับอเมริกาเพื่อถ่วงดุลอำนาจครับ ส่วนไทย ก็คานอำนาจด้วยสีเสื้อที่ต่างกัน (อันนี้ คงไม่ต้องบอกตรงๆ นะครับ น่าจะรู้ว่าสีอะไรอยู่ฝ่ายไหน) เพราะหลังจากที่จีนประสบผลสำเร็จกับ "กลยุทธ์กลืนเงียบ" ได้ ธิเบต ไปแล้ว ก็เริ่มขยายออกมาอีกหลายประเทศมากครับ


คำถามก็คือ สงครามรูปแบบไหน ใครได้เปรียบ เพราะอะไร? ตอบง่ายๆ สั้นๆ เลยครับ ถ้าใช้สงครามเย็นต่อไป "จีน" ได้เปรียบและกลืนเรียบแน่ แต่ถ้าใช้สงครามไฟ "อเมริกา" ได้เปรียบแน่นอนครับ ดังนั้น มันจึงขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถ "สร้างสถานการณ์ที่เื้อื้อต่อสงครามรูปแบบใด ให้เกิดขึ้น" ก็เท่านั้นเองครับ เช่น ถ้าจีนอ้างสันติภาพ แล้วทำสงครามเงียบๆ เย็นๆ กลืนเงียบอย่างนี้ต่อไป โดยไม่มีการต่อต้านไม่มีการสู้รบเลย จีนก็จะ "ชนะโดยไม่ต้องรบ" กินเรียบหมดครับ แต่ถ้าอเมริกา "จุดปมฉนวนสงคราม" ยั่วยุให้จีนถลำเปิดศึกแบบเปิดเผยเอง ทำสงครามไฟ อย่างเปิดเผยได้ อเมริกาก็จะมี "ข้ออ้างที่สวยหรู" ในการยื่นมือเข้ามาเล่นงานจีนครับ และนั่น จะทำให้อเมริกาได้เปรียบจีนทันที เช่น ยุให้ฟิลิปปินส์ปะทะตรงๆ กับจีนไปเลย เพื่อให้จีนเปิดศึก ถ้าจีนเปิดศึก อเมริกาก็จะอ้างว่า "ฉันจะขอเข้ามาช่วยเหลือฟิลิปปินส์ เพื่อนของฉัน" แล้วก็อัดสงครามไฟใส่จีนไปเลย รับรองว่าอเมริกาได้เปรียบแน่นอนครับ (อเมริกาก็ได้ชัยในศึกแถบอาหรับมากมายมาแล้วครับ) ดังนั้น เพื่อไม่ให้อเมริกาทำเช่นนั้นได้ จีนจึงต้องใช้ "กัมพูชา" ออกมารับหน้า "ชนกับฟิลิปปินส์" แทน ดังที่คุณเห็นในข่าววันนี้ (๒๐ พ.ย.) ในที่ประชุมอาเซียน กัมพูชาเสนอให้อาเซียนแก้ไขปัญหาข้อพิพาททะเลจีนใต้เอง โดยไม่มีอเมริกาเข้ามายุ่ง "เป็นฉันทามติ" แต่ทันใดนั้น "ฟิลิปปินส์" ก็ค้านทันทีว่า "ไม่ใช่ฉันทามติ เพราะฟิลิปปินส์ไม่ได้เห็นด้วยเลย" เป็นอันว่าจีนก็ไม่ต้องเปิดศึกโดยตรงกับใคร โดยใช้ "กัมพูชา" เป็นตัวเดินเกมแทน ทว่า ผมคิดว่าหมากเกมนี้ยังไม่จบง่ายๆ ครับ มันจะต้องมี "รุกไล่ต้อนให้จนมุม" ต่อไป เพื่อให้ "จีนถลำตัว ออกหน้า เปิดศึกเอง" เมื่อจีนเล่นงานคนอื่นเขาก่อน ก็ต้องเป็น "ฝ่ายรุกราน" และทำให้อเมริกาได้รับ "ความชอบธรม" ในการยื่นมือเข้าช่วยเหลือฟิลิปปินส์ทันที ดังนั้น คุณลองดูต่อไปว่าพวกเขาจะเดินเกมนี้หรือไม่? หรือว่าถอยทั้งคู่ เพราะตึงเครียดเกินไป (ใจไม่ถึง ไม่กล้าวางหมากต่อไป) แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่มีผลดีต่ออาเซียนเลยครับ ดังนั้น กลุ่มประเทศอาเซียนต้องหาทาง "เอาตัวเองรอด" จากวังวนนี้ให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปนะครับ


เอาละ ถ้าคุณเห็นผู้เข้าร่วมประชุมอาเซียนในประเทศกัมพูชาวันนี้ คุณคงแปลกใจมาก เพราะไม่เคยมีมาก่อนที่จะพบผู้นำระดับบิ้กๆ จากประเทศใหญ่ๆ หลายประเทศ จ้องรุมสุมหัวเข้าหากันขนาดนี้ มาหมดทั้งจีน, อเมริกา, รัสเซีย ฯลฯ ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่นอนครับ ซึ่งเราก็จะได้จับตามองกันต่อไป...



วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มวยคู่เอก : โอบาม่า VS สีเจี้ยนผิง

ข่าวร้อนสุดฮอตฮิตประจำสัปดาห์และเดือนนี้ ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรเกินไปกว่าการเดินทางมาเยี่ยมเยียนประเทศไทยของ "บารัค โอบาม่า" อันส่งผลใ้ห้ประเทศจีนส่งนายกฯ เข้ามาเยือนไทยด้วยในลำดับถัดมา แบบไม่น้อยหน้ากันเลยทีเดียว (โปรดสังเกตุว่าทางฝ่ายจีน จะรอดูอเมริกาก่อนว่าจะวางหมากอย่างไรจึงค่อยลงภายหลัง เช่น รอให้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาออกมาก่อน แล้วจีนจึงค่อยประชุมเลือกตัวผู้นำคนต่อไป) และจะกลายเป็น "ประเด็น" ที่ผมจะขอหยิบยกมาวิพากย์วิจารณ์กันในบทความนี้ด้วยนะครับ


อย่างแรก ผมขอสรุปสั้นๆ เท้าความถึงความเป็นมาก่อนหน้านี้สักหน่อย หลังจากที่โลกเริ่มสั่นคลอนและขั้วอำนาจเก่าเริ่มไม่อาจรักษาอำนาจเดิมไว้ได้ จีนได้ผงาดขึ้นมากลายเป็น "ขั้วอำนาจใหม่" ที่มีพลังและความสำคัญไม่แพ้อเมริกาในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันนั้น อเมริกา, ยุโรป ฯลฯ ที่เคยมีอำนาจมากเป็นกลุ่มอำนาจเก่ากลับยิ่งอ่อนแอและถดถอยลงเรื่อยๆ (ยุคของบารัก โอบาม่า คือ ยุคถดถอยของอเมริกาครับ) ทำให้พลังอำนาจของอเมริกาที่มีแต่เดิมทั่วโลกลดลง และถูกบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ โดยการขยายอิทธิพลของประเทศจีน โดยผ่านการค้าที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วของประเทศจีนนั่นเอง ในขณะที่ "โลกขั้วทุนนิยม" พยายามส่งสัญญาณให้ "ทุนจีน" เข้ามาช่วยหนุน และเปิดประเทศจีนให้มีการค้าขายอย่างเสรีและเท่าเทียมกันมากขึ้น อันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของ "โลกขั้วทุนนิยม" ได้ ทว่า กลับไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจาก "โลกขั้วสังคมนิยม" นัก ในขณะที่ประเทศจีน หันกลับมาสร้าง "ความเข้มแข็งจากรากฐานภายใน" แล้วจึงค่อยขยายอิทธิพลออกรอบนอกเช่น ธิเบต, ฮ่องกง, ไต้หวัน, เวียตนาม, ลาว และพม่า เป็นต้น ในขณะเดียวกัน "ภาพรวมทั่วโลก" เปลี่ยนแปลงไป ยุโรปถดถอยลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหาทางแก้ไขได้ แต่เอเชียกลับกำลังรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้นทุกวัน ทั้งจีนและเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ คือ "อาเซียน" ส่งผลต่อโลกทั้งใบทันที ความสนใจของทั่วโลก จึงต้องเบนเข็มจากยุโรปและอเมริกามาตั้งฐานการตลาดที่ "อาเซียน" เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทั้งการค้าและการทำสงคราม และเมื่อเป็นเช่นนี้ อเมริกา จึงต้องให้ความสำคัญกับอาเซียนมากขึ้น เห็นได้ชัดจากนโยบายการต่างประเทศที่ทำกับ "พม่า" ในขณะที่อองซาน ได้รับการยกย่องเป็น "วีรสตรี" เพื่อใช้เป็นหมากเดินเกมของโลกขั้วทุนนิยม การแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในกลุ่มประเทศอาเซียนจึงกระทบอย่่างยิ่งยวดต่ออเมริกา และทำให้อเมริกาต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ เช่น เพิ่มงบประมาณทางการทหารในกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น เป็นต้น และเพื่อไม่ให้จีนขยายอิทธิพลไปได้มากกว่านั้น อเมริกาจึงต้องหนุนให้ "อาเซียนงัดข้อกับจีน" เพื่อจะให้อาเซียนคานอำนาจกับจีนนั่นเอง โดยที่อาเซียนอาจไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลยกับหมากเกมนี้ เช่น การทำให้มี "ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้" เกิดขึ้น นั้นก็ "คาดว่า" เป็นเกมการเมืองที่อเมริกาเคยใช้ได้ผลกับประเทศในกลุ่มอาหรับมาแล้ว และกำลังถูกนำมาใช้กับประเทศในกลุ่มอาเซียนต่ออีก นั่นเอง หรือกล่าวโดยสรุปง่ายๆ ว่า "แนวนโยบายของเดโมแครต" ก็คือ การเมืองนำการค้า ใช้การทหารเข้าเปิดทาง เพื่อทำให้ได้โอกาสทางธุรกิจในลำดับต่อไป (แตกต่างจากรีพับริกัน ที่จะใช้การทหารน้อยกว่า พวกนั้นจะใช้กฏหมายและการเจรจามากกว่าการทหาร) คำถามก็คือ "อาเซียน" จะทำอย่างไร? เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากต่อการตัดสินใจ จะปล่อยให้อิืทธิพลของจีนรุกคืบเข้ามากลืนอาเซียนอย่างเงียบๆ หรือจะยอมเป็นเครื่องมือทางการทหารให้แก่ขั้วทุนนิยม เพื่องัดข้อกับประเทศจีน? แน่นอนว่า ไม่มีทางไหนที่ให้ผลดีแก่ประเทศในกลุ่มอาเซียนเลย เพราะล้วนแต่ตอบโจทย์ความต้องการของ "อภิมหาอำนาจ" ทั้งสองทั้งสิ้น


สิ่งที่เราจะมาจับตาดูกันต่อไป ก็คือ การเดินหมากของคนทั้งสอง ๑. ประธานาธิบดีอเมริกา "โอบาม่า" และ ๒. ประธานาธิบดีคนใหม่ของจีน "สีเจี้ยนผิง" เพราะเกมนี้ ถูกวางหมากไว้แล้วแต่แรก ก่อนที่คนทั้งสองจะตัดสินใจ ขั้วจีนก็มี "หูจิ่นเทา" วางหมากปูทางไว้ให้สีเจี้ยนผิง เดินเกมต่อแล้วอย่างงดงาม และเหนือชั้นยากที่จะแก้ ขั้วอเมริกาก็มี "องค์กรลับ" ที่อยู่เบื้องหลังการเมืองอเมริกา คอยเป็นผู้วางแผนส่งให้ประธานาธิบดีเดินเกมต่อไป เราจะมาคอยดูกันว่าบุคคลทั้งสองจะเดินเกมต่อไปอย่างไร โดยเฉพาะบทบาทใน "อาเซียน" ซึ่งส่งผลกระทบต่อเรามากที่สุด และฮิตฮอตที่สุดในยุคปัจจุบัน




วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มวยคู่เอก : นิวเอจ VS มอร์มอน

สำหรับมวยคู่เอกในวันนี้ ผมขอเสนอ "นิกายสองนิกาย" ซึ่งเป็นนิกายเกิดใหม่ของคริสตศาสนานะครับ ก่อนอื่น ผมจะสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับคริสตศาสนา่ก่อน เริ่มเดิมทีก็ไม่มีนิกายเหมือนกับพุทธศาสนานั่นแหละครับ จากนั้น ก็แยกเป็นสองนิกายใหญ่ คือ ๑. คาทอลิค (กลุ่มดั้งเดิม) ๒. โปรแตสแตนท์ (กลุ่มหัวก้าวหน้า) สรุปง่ายๆ คือ คาทอลิกจะอนุรักษนิยม ยึดถือสิ่งดั้งเดิมตามแนวทางของตน คล้ายๆ กับเถรวาทในพระพุทธศาสนานะครับ ซึ่งในนิกายนี้จะมี "พระสันตปะปา" เป็นศูนย์กลางของทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชาวคริสตร์ในประเทศใด จะต้องขึ้นตรงกับพระสันตปะปาครับ และจะไม่มีอะไรใหม่ไปกว่าสิ่งที่ได้รับการยืนยันและเชื่อกันมาแล้วว่า "ถูกต้อง" มากกว่านั้นไม่มีอีกครับ ดังนั้น จึงไม่มีการแตกหน่อ แตกกอ ไปเป็นนิกายใหม่อีกได้ครับ ส่วนนิกายโปรแตสแตนท์ จะตรงกันข้าม คือ จะหัวก้าวหน้า เน้นพัฒนาไม่เน้นอนุรักษนิยม อะไรที่เห็นว่าควรปรับเปลี่ยนก็สามารถปรับเปลี่ยนตาม "การตีความของแต่ละคนที่ต่างกันไป" ได้ครับ ดังนั้น แม้ในโปรแตสแตนท์เอง ก็มีการแตกหน่อแตกกอ ออกไปตามความคิดของคนแต่ละคนที่ต่างกันได้ครับ ที่สำคัญอีกประการคือ โปรแตสแตนท์ไม่ได้เอาพระสันตปะปาเป็นศูนย์กลางของทุกอย่างนะครับ (และเชื่อว่าแม้แต่พระสันตปะปาและนักบวชชาวคริสต์ทั้งหลาย ก็ล้วนทำผิดกันได้ครับ)


ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เกิด "ลัทธิ" ใหม่ๆ ขึ้นมาจากนิกายโปรแตสแตนท์ นั่นเองครับ ซึ่งมากมายเหลือเกิน ถ้าดูทั่วทั้งโลกนะครับ แต่ที่เห็นจะโดดเด่นและน่าสนใจจะมีอยู่ ๒ ลัทธิ อีกเช่นกันครับ ซึ่งผมจะได้นำมาเป็นหัวข้อในการวิจารณ์กันในวันนี้ นั่นก็คือ ๑. ลัทธินิวเอจ ๒. ลัทธิมอร์มอน ซึ่งลัทธิมอร์มอนนี้ ก็เป็นลัทธิที่ "มิต รอมนี่ย์" นับถืออยู่ด้วยสิครับ เอาละ ที่นี้น่าสนใจหรือยังละครับ? ว่าทำไม พรรครีพับริกันจึงสนับสนุนคุณ มิต รอมนี่ย์ ขึ้นชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และเกี่ยวข้องอะไรกันกับความเชื่อในลัทธิที่เขานับถือหรือไม่? (ลัทธิมอร์มอน เป็นลัทธิที่เกิดในอเมริกา ก่อตั้งโดยคนอเมริกัน ทั้งคัมภีร์มอร์มอนก็เขียนโดยชาวอเมริกัน จึงไม่ได้มีของที่ตกทอดมาจากยุโรปหรือต้องขึ้นกับพระสันตปะปาเลย) อย่างหนึ่งที่ผมอยากบอกคุณคือ "พรรครีพับริกัน" จะเน้นชาตินิยมมากกว่าพรรคเดโมแครต จะทำอะไรจะยึดเอาผลประโยชน์ของคนอเมริกันเป็นที่ตั้งมากกว่า และเคร่งครัดมากกว่าพรรคเดโมแครต (ดังนั้น ก็อาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า ถ้าบารัค โอบาม่า ได้เป็นประธานาธิบดีครับ เพราะว่าพรรคนี้จะไม่ทำเพื่อชาตินิยมมากเท่าไรนัก) อย่างนโยบายกำจัดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นี่ก็จะเคร่งครัดมากในพรรครีพับริกัน แต่เมื่อมาถึงมือพรรคเดโมแครตแล้วก็จะผ่อนคลายลง ปรับตามสถานการณ์มากกว่าครับ เอาละ ทีนี้ คุณเห็นภาพเชื่อมโยงหรือยังว่าทำไม "พรรครีพับริกัน" จึงต้องเลือกมิต รอมนี่ย์ เข้าชิงประธานาธิบดี และเกี่ยวข้องกับลัทธิมอร์มอนอย่างไร? อย่างนี้ครับ ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ผมจะอธิบายให้เข้าใจเอง สมมุติว่าคุณเป็นประเทศไทย นับถือคาทอลิค คุณก็ต้องขึ้นกับพระสันตปะปาซึ่งเป็นชาววาติกัน ถ้าคนทั่วโลกนับถือคาทอลิคหมดละ ไม่ต้องขึ้นอยู่กับนครรัฐวาติกันหมดหรือ? ใช่ไหมครับ? ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยนะครับ ในสมัยโบราณ อำนาจของคริสตจักรมีมากถึงขนาด สามารถสั่งให้ประเทศหนึ่งทำสงครามกับอีกประเทศหนึ่งได้เลย ดังนั้น แม้แต่พระราชาหรือผู้นำประเทศ ยังต้องเกรงอำนาจของพระสันตปะปาครับ และถ้าคุณทราบประวัติของพระนางอลิซาเบต ผู้นำของอังกฤษฝ่ายสถาบันกษัตรย์แล้วละก็ คุณจะทราบว่าท่านไม่ได้นับถือคริสตศาสนานิกาย "คาทอลิค" นะครับ และท่านก็เ็ป็นผู้นำของลัทธิใหม่ที่ท่านปกครองเองครับ


เอาละ ผมจะสรุปลัทธิสองลัทธิใหม่นี้ให้สั้นๆ ง่ายๆ ก็แล้วกัน


๑. ลัทธินิวเอจ ถูกจับตามองว่าจะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ "กลุ่ม New world order" ซึ่งมีอิทธิพลต่อโลกมาก ลัทธินี้สอนให้คน "ตั้งตัวเป็นพระเ้จ้า" เหมือนเวลาเราไปเรียนปริญญาโท MBA เขาก็จะสอนให้เราตั้งตัวเป็น "เจ้าของกิจการ" นั่นแหละ ทว่า ถ้าท่านเข้าใจผิดไปนิดเดียว ท่านก็จะหลงตัวเองว่าฉันเป็นพระเจ้าแล้ว (สนองกิเลสความอยากเป็นที่ถูกกดมานาน) แต่ถ้าคุณเข้าใจ "ความเป็นหนึ่งเดียวกันและหลักตรีเอกานุภาพ" แล้ว คุณก็อาจจะไม่เกิดอาการอย่างนั้นขึ้นมา ซึ่งในความเป็นจริง มันยากครับที่จะไม่ทำให้คนหลงเข้าใจผิด หลงตัวเองแบบนั้น ดังนั้น คนในลัทธินี้ จึงมีแนวคิด "สร้างโลก ควบคุมโลกให้เป็นไปตามที่ตนเองคิด" เพราะอะไร? เพราะพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาคือพระเจ้าอย่างไรละครับ


๒. ลัทธิมอร์มอน ถูกจับตามองว่าอาจเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรครีพับริกัน ในการเปลี่ยนเอาลัทธินี้ที่เกิดจากคนอเมริกันขึ้นมาแทนที่จะเปิดรับนิกายอื่นๆ เช่น นิกายคาทอลิคที่คุณต้องขึ้นตรงต่อพระสันตปะปา และนั่นก็หมายความว่าคุณต้องขึ้นตรงต่ออำนาจของคริสตจักรแห่งนครรัฐวาติกันอีกด้วย นี่แหละ พรรครีพับริกันก็เลยพิทักษ์ผลประโยชน์ตามแนวนโยบายอนุรักษนิยมของตน ด้วยการเชื่อของคนอเมริกันเอง แทนที่จะไปขึ้นตรงต่อชนชาติอื่น ใช่ไหมละครับ อนึ่ง ลัทธิมอร์มอนนี้ สอนให้คนเปิดใจกว้างมากขึ้น และเชื่อว่าพระเจ้าได้ประทานพระวัจนะเสมอๆ ทั้งอดีตและอนาคต ดังนั้น แม้แต่คัมภีร์มอร์มอนก็เป็นหนึ่งในคัมภีร์ที่มาจากพระวัจนะครับ (ในขณะที่นิกายอื่ืนๆ จะไม่ยอมรับคัมภีร์มอร์มอนนี้)


เอาละ หวังว่าท่านคงเห็น "ความเชื่อมโยง" ของลัทธิทั้งสองนี้ ที่มีต่อ "การเมืองระดับโลก" บ้างนะครับ ต่อไปผมจะเปิดเวทีเสรีให้ท่านทั้งหลาย ลองแสดงความคิดเห็น, วิพากย์, วิจารณ์ ร่วมกันในประเด็นนี้ ได้อย่างอิสระเสรี หากท่านใดมีข้อมูลข้อเท็จจริง จะนำเสนอประกอบก็สามารถทำได้เลย ขอเชิญครับ ...


วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โพรมีธีอุส ฤาคือ จินตนาการไร้สารความจริง

โอ้ย ท่านผู้อ่านครับ หมดยุคสมัยแล้ว ที่ท่านจะได้เห็น "ผลงานศิลปะระดับโลก" เช่น ภาพยนต์, เพลง, รูปภาพ ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไร ที่ดังได้เพราะอาศัย "การโฆษณาประชาสัมพันธ์" เพื่อให้ดังในระดับโลก ท่านจะไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ที่มาจาก "จินตนาการเสรี" อีกต่อไป แต่มันจะมาจาก "แผนการระดับโลก" ทั้งสิ้นครับ ทำไมผมจึงกล่าวเช่นนี้? อธิบายง่ายๆ นะครับ สมมุติ คุณจะทำหนังให้เป็นที่รู้จักระดับโลก ขายไปทั่วโลก ผมถามคุณหน่อยครับว่า คุณจะต้องใช้เงินในการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ระดับโลกเท่าไร? แม้ว่าคุณจะมีเงินมากมายล้นฟ้า แต่เชื่อเถอะครับว่า คุณคงไม่บ้า เอามาลงกับหนังเรื่องเดียว คุณก็ต้องสำรองเอาไว้เพื่อสถานภาพ, ความมั่นคงทางการเงิน, เพื่อเสถียรภาพของหุ้น ฯลฯ และเพื่ออะไรอีกมากมาย ดังนั้น อย่ามาเถียงเลยครับว่า "พวกเขารวย มีเงิน ไม่ต้องพึ่งพาทุนที่ไหน?" ไม่จริงหรอกครับ ใช้เงินมากทั้งนั้น พึ่งพานายทุนให้สนับสนุนกันทั้งนั้น และเมื่อคุณไ้ด้รับเงินทุนสนับสนุนแล้ว คุณก็ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับนายทุนครับ ซึ่งคนเหล่านี้ จะรับแผนการมาจาก "การเมืองระดับโลก" อีกที เช่น เลดี้ กาก้า ที่ดังได้ระดับโลก ก็ต้องอาศัยเงินทุนสนับสนุนมากมายครับ ดังนั้น เมื่อเธอมาประเทศไทย เธอจึงต้องโพสข้อความว่า "อิฉันจะไปซื้อโรแล็กซ์ปลอมในไทย หน่อยน่ะฮ่ะ" นั่นก็คือ เธอต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับ "กลุ่มทุนผู้สนับสนุน" (Capital Sponsor) นั่นเอง พวกนั้น ก็คือ "ผู้อยู่เบื้องหลังการเมืองระดับโลก" นั่นเอง และงานที่เขาจ้างให้เธอทำก็คือ "สร้างกระแสการต่อต้านของปลอมและสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์" อย่่างไรละครับ โอเคมั้ย? ตาสว่างอ่ะยังเจ้าคร่ะ? ยังทำบ่ฮู้บ่หัน อีกหรือเปล่าอ่ะก๊ะ


ตื่นได้แล้วท่านผู้ชมทั้งหลาย หมดยุคแล้วค่ะ ที่จะมี "หนังดังระดับโลกที่สร้างจากจินตนาการเสรี" ไม่มีหรอกค่ะ ไอ้ที่เป็นแค่จินตนาการน่ะ อันนั้น ตัวคุณเองละคะที่หลงคิดไปเองว่ามันเป็นแค่จินตนาการ เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงทุกวันนี้ "หมดโอกาสของจินตนาการเสรี" สำหรับ ใครก็ตามที่ต้องการดังระดับโลกไปแล้วค่ะ ดังนั้น สรุปนะคะว่า "ไม่จริงอย่างยิ่ง ถ้าบอกว่า หนังฮอลีวู้ด เป็นแค่จินตนาการเท่านั้น" ไม่ใช่เลย แม้แต่น้อยนิดค่ะ อันนั้น มันเป็นความคิดงมโข่งมากๆ ค่ะ ฮ่าๆๆ ปล่อยให้พวกหอยทาก หอยหลอด มันคิดกันไป คนเรามันไม่ต่ำขนาดที่จะไปหลงติดอย่างนั้นได้หรอกค่ะ เพราะ "สื่อระดับโลก" ทุกวันนี้ มีแผนการที่ทำไปเพื่อ "สร้างกระแสระดับโลก" เพื่อหวังผลทางการเมืองระดับโลกกันทั้งนั้น ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้คุณคิด จินตนาการได้อย่างเสรีอีกต่อไป คุณได้รับเงินสนับสนุนจากเขาแล้ว ให้ดังระดับโลกได้แล้ว ก็ต้องทำตาม "แผนการระดับโลก" ของเขาด้วยครับ ดังนั้น แม้่แต่การตั้งชื่อหนัง บางครั้ง คุณก็ต้องตั้งไปอย่างที่ไม่อยากจะตั้ง เช่น คุณสร้างหนังเรื่องหนึ่ง เนื้อเรื่องคือ คนไปท่องอวกาศแล้วถูกเอเลี่ยนไล่ล่าเอา คุณคิดแค่สนุกๆ ก็พอ สุดท้าย คุณต้องมาตั้งชื่อหนังว่า "โพรมีธีอุส" ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวแม่งอะไรกะ "โพรมีธีอุส" เลย แต่เขาก็ให้ตั้งชื่อแบบนั้นครับ (ทั้งๆ ที่ใจจริงอาจจะอยากตั้งว่า "เอเลี่ยน! ปีศาจเขมือบสยองอวกาศ" อะไรแบบนั้น) ก็เขาให้ตั้งชื่ออย่างนั้น ก็ต้องทำอย่างนั้น ตามตำสั่งของเจ้าของเงินครับ


กลับมาที่โพรมีธีอุสกันบ้าง ว่าทำไม เขาจึงต้องให้ตั้งชื่อนี้ละครับ? มันมีนัยยะสำคัญทางการเมืองระดับโลกยังไงกันเนี่ย? เอาละ ถ้าคุณสงสัยและอยากรู้ เมื่อลองเสิร์ซหาคำว่า "โพีมีธีอุส" คุณก็จะได้ความว่า เขาคือ มนุษย์ในตำนานเทพกรีก ที่เคยขโมยเอาไฟมาจากสวรรค์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ แต่แล้วก็ถูกลงทัณฑ์โดยเทพซูสครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรกะหนังอ่ะน่า? แน่นอน ไม่เกี่ยวเลย แต่เขาต้องการสื่อสารในระดับโลก เพื่อบอกนัยยะทางการเมืองอย่างหนึ่งครับ "ว่ามีคนแบบนี้ อยู่นะ ระวังตัวให้ดีละ จะโดนเหมือนโพรมีธีอุส" อ้่าว แล้วใครมันเหมือนโพรมีธีอุสละ ก็คนที่ชอบเอาอกเอาใจมนุษย์มากเกินไป เพื่อให้ได้มาซึ่งความนิยม คะแนนยินมมากๆ จะได้ครองอำนาจต่อไป โดยไม่สนใจดูว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ อะไรคือสิ่งที่ถูกต้องและจำเป็นต้องทำจริงๆ เหมือนกับโพรมีธีอุสที่ขโมยไฟมาให้มนุษย์นั่นแหละ เขาหารู้ไม่ว่าความหวังดีของเขาที่อยากให้มนุษย์ได้มีไฟใช้นั้นเอง คือ จุดเริ่มต้นของหายนะของมนุษย์ เพราะคนที่ไม่พร้อมรับมัน ก็จะใช้มันไปในทางที่ผิด ทำให้มนุษย์ใช้ไฟเข่นฆ่ากันเองมากมาย เช่น ระเบิดไฟในสงคราม เป็นต้น เอาละ ผมจะไม่อธิบายมากไปกว่านี้ ชัดเกินไป ก็กลายเป็นชี้ช่องให้จับผิดเสียอย่างนั้น ขอยกให้ท่านทั้งหลาย วิเคราห์วิจารณ์กันเอาเองว่าอะไรจริง อะไรเท็จ สำคัญคือ อย่าเพิ่งเชื่อตัวเองมากว่าตัวเองถูกต้องเสมอไปละ เพราะบางอย่างไม่มีใครรู้จริงหรอก คุณจะไปรู้ได้จริงๆ ไหมว่าเบื้องหลังการเมืองระดับโลก ใครเขา ทำอะไรกันบ้าง? โอ้ย คนอย่างเราก็ได้แค่คิด, สงสัย, วิจารณ์กันไป ก็เท่านั้นเอง (อย่าลืมว่า เราแค่วิจารณ์ ถึงแม้่ว่าเราจะรู้มาก มีข้อมูลเยอะ แต่เราก็อาจไม่ได้รู้จริง นะครับ)


ลองดูครับว่า "หนังดังระดับโลก" มันเป็นจินตนาการจริงๆ ไหม? หรือว่าแฝงนัยยะความจริงทางการเมืองระดับโลกอะไรออกมา เพื่อสร้างกระแส หรือสื่อสารโน้มน้าวใจคนให้ไปทางไหนได้บ้าง ลองเอาไปคิดดูแล้วเชิญโพสความคิดเห็นวิเคราะห์วิจารณ์กันได้อย่างเสรีเลยครับ






วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มวยคู่เอก : โอบาม่า VS มิต รอมนี่

มวยคู่เอกในช่วงเวลาสุดฮอตนี้ก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก โอบาม่า และ มิต รอมนี่ นั่นเอง ถึงแม้ว่าผลการเืลือกตั้งจะออกมาแล้ว แต่แนวโน้มการเมืองก็ใช่ว่าจะดีนะครับ อ้าว แล้วทำไมเป็นเช่นนั้น? ก่อนอื่น ผมอยากจะเท้าความ "การเมืองแบบอเมริกัน" ให้ท่านเข้าใจสักนิดครับ มันไม่เหมือนบ้านเราครับ กล่าวคือ ในอเมริกานี้ มันจะมี "องค์กรลับ" คอยหนุนหลังการเมืองอยู่ และองค์กรลับเหล่านี้ก็คือ ผู้คนที่ทำงานมีบริษัท, มีหุ้น, มีเงิน, มีอำนาจ, มีไพร่พลบริวาร ฯลฯ มากมายกระจายทั่วประเทศอเมริกัน หรือกล่าวง่ายๆ คือ พวกเขาล้วนต้องเล่นการเมืองเพื่อความอยู่รอดครับ เช่น ถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัทในอเมริกา คุณก็ต้องร่วมเดิมพัน ลงขันด้วยครับว่า "คุณจะเลือกแทงข้างไหน?" เพราะนั่นหมายถึง ผลประโยชน์และความช่วยเหลือจากภาครัฐจะมาถึงกลุ่มทุนของคุณ มากกว่าคู่แข่งขันทางธุรกิจของคุณแน่นอน ถ้าคุณทำให้คนที่คุณสนับสนุนเป็นประธานาธิบดีได้แต่คู่แข่งทางธุรกิืจของคุณ ทำไม่ได้ ก็ชัดเจนครับว่าคุณสบายใจได้เลย นี่หละ คุณจึุงต้องเข้าร่วมกลุ่มลับๆ หรือองค์กรลับๆ นั้นไปโดยพฤตินัย หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้วสิครับ ทีนี้ คุณอาจไม่รู้จักองค์กรลับเหล่านี้เลยหรืออาจไม่เคยรู้จักใครในองค์กรนี้เลยก็เป็นได้ครับ เพราะ อะไำร? อ้าว ก็เพราะมันลับมากๆ ไงละครับ ฮ่าๆๆ แต่คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของเขาไปแล้วโดยไม่ต้องสมัครที่ไหน โดย "การกระทำ" เช่น การเลือกข้างฝ่ายทางการเมือง (จะเลือกรีพับลิกันหรือเดโมแครตละครับ) ก็เท่านั้นเอง เมื่อคุณลงขัน ออกเงิน ช่วยเหลือพวกเขาแล้ว คุณก็คือ ส่วนหนึ่งขององค์กรลับที่หนุนหลังพรรคการเมืองเหล่านั้นด้วย ซึ่งมันมีอย่างน้อย 2 องค์กรใหญ่นะครับ ไม่แน่ใจว่าจะเป็น อิลูมินาติ และ ฟรีเมสัน หรือไม่ ถ้าให้ผมเดา อิลูมินาติ น่าจะสนับสนุน "พรรครีพับลิกัน" ซึ่งออกเป็นพวกมีหัวอนุรักษ์นิยม, ชาตินิยมและเคร่งศาสนามากกว่า ส่วน ฟรีเมสัน น่าจะสนับสนุน "พรรคเดโมแครต" ซึ่งออกเป็นพวกไม่ค่อยสนใจศาสนาอะไรนัก ไม่่ค่อยอนุรักษ์นิยมมาก มักโอนอ่อนผ่อนปรนตามเสียงประชาชน เืพื่อให้ได้มาซึ่ง "คะแนนเสียงเหนือพรรครีพับริกัน" นั่นเอง เอาละ ผมก็ไม่ได้รู้อะไรจริงนักหรอก เพราะทุกอย่างมัน "ลับมากๆ" อย่างไรละครับ ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าให้คุณช่วยไปหาข้อมูล ข้อเท็จจริง ของการเมืองอเมริกาแบบล้วงลึกตามสไตล์ของเว็บนี้เลยดีไหม? จะได้เห็นนอกเห็นใน เห็นใส้ เห็นพุง เห็นเบื้องหน้า เบื้องหลังซะที


เท้าความมามากพอแล้ว ก็ขอเข้าเรื่อง "โอบาม่า" และ "มิต รอมนี่" เลยก็แล้วกัน อย่างแรก มันจะเริ่มต้นจาก "องค์กรลับ" วางแผนและกำหนดยุทธศาสตร์ทั้งหมดโดยรวมก่อน จากนั้นก็ ส่งต่อบางส่วนผ่านไปยังพรรคการเมือง (เฉพาะส่วนการเมืองการปกครอง ยังมีแผนการบางส่วนที่แม้แต่พรรคการเมือง ก็ไม่อาจรู้ได้ครับ) พวกเขาก็จะกำหนดคุณลักษณะ "ผู้นำ" ในแบบที่พวกเขาต้องการ แล้วพรรคการเมืองก็จะสนอบตอบด้วยการ "สนับสนุนคนๆ นั้นให้เ้ข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี" ครับ ทีนี้ เขาก็ต้องเลือกคนที่มีคุณลักษณะสอดคล้องกับแนวทางของเขาอย่างยิ่งยวด เรียกว่า "เหมือนปั้มแบบออกมาจากโรงงานที่เขาผลิตและกำหนดคุณภาพได้เองเลย" ดังนั้น คุณจะเห็น "ผลลัพธ์ที่ออกมา" สะท้อนภาพความคิดและมุมมอง รวมทั้งการวางแผนการทั้งหมดของกลุ่มองค์กรลับเหล่านี้ได้ ผ่านคุณลักษณะของตัวผู้เข้าชิงประธานาธิบดีครับ เช่น สายอิลูมินาติ (รีพับริกัน) อาจมองว่าอเมริกากำลังแย่แล้ว วิกฤติยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ถูกจุดเสียที และต้องกลับมาทำให้เกิดความมั่นคงแก่อเมริกาในระดับรากฐานก่อน "อย่าเพิ่งรีบสยายปีก" แต่สายฟรีเมสัน (เดโมแครต) อาจมองว่าจริงอยู่อเมริกากำลังแย่ ก็ฉันกำลังแก้ไขอยู่แล้วนี่ไงเล่า ขอเวลาฉันทำต่อ ไม่นานก็สำเร็จ ฉันจะรีบสยายปีกไปปกคลุม "เอเชีย" เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำึคัญ (สังเกตุได้ว่าหลังโอบาม่าได้รับตำแหน่งต่อ ก็รีบเดินทางมาไทยทันทีครับ surprise มั้ยละ) นี่ละ มุมมองที่ต่างกันของการเมืองสองสายเลือดแบบอเมริกันชน ทีนี้ ทั้งโอบาม่า และ มิต รอมนี่ ก็ต้องมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ "จุดยืนของตนเอง" ที่ ๑. แตกต่างกัน ๒. รับสนองนโยบายที่ออกมาจากองค์กรลับเหล่านั้นของตน เพราะถ้าพวกเขาไร้จุดยืน ก่อนได้ตำแหน่งพูดอย่างหนึ่ง หลังรับตำแหน่งกลับไม่ทำละก็ คงไม่ได้รับการสนับสนุนอีกต่อไปเป็นแ่น่แท้ ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ที่ไปสัญญาไว้กับ "องค์กรลับ" เหล่านี้ ก็จะต้องทำตามสัญญาให้เห็นเป็นรูปธรรม เพราะว่าองค์กรลับเหล่านี้่ "ออกเงินสนับสนุนพวกเขาไปแล้วก็มากมายล้นหลาม" ดังนั้น ต้องทำงานให้คุ้มกับเงินที่เขาจ่ายให้ครับ (ไม่ต่างจากดาราอฮอลีวูดที่ดังมาได้เพราะการไ้ด้รับการสนัึบสนุนจากองค์กรลับเหล่านี้่ เช่น ไมเคิล แจ็คสัน ที่ดังได้เพราะได้รับเงินมาใช้โฆษณาประชาสัมพันธ์ไปมากเท่าไร ถึงได้ดังทั่วโลก? ดังนั้น เขาคิดทบต้นทบดอกหมดครับ พอตายไป ก็แทบไม่เหลืออะไรเลยไงละครับ เพราะเขาเอาคืนหมด นั่นเอง) และด้วยเหตุนี้ "โอบาม่า" จึงต้องมาที่ "ประเทศไทย" ในทันที หลังจากที่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง นั่นเอง


เอาละ ต่อไป ผมอยากจะเปิดเวทีให้คุณทั้งหลาย แสดงความคิดเห็นเชิงเปรียบเทียบ ระหว่างคนสองคนนี้ ซึ่งก็เป็นตัวหมากสำคัญขององค์กรลับทั้งสองสายเลือดนั้น พวกเขาไม่มีสิทธิ์จะคิดเอง ทำเอง หรือทำอะไรนอกลู่นอกทางไปจาก "แผนการที่ออกมาจากองค์กรลับ" ได้เลย พวกเขามีอำนาจเพียงเปลือกนอก แต่พวกเขาก็ต้องทำตามคำสั่งของ "องค์กรลับ" อีกที เดินเกมตามแผนการขององค์กรลับที่สนับสนุนตนอีกทีครับ (ดังนั้นในการวิจารณ์การทำงานของคนสองคนนี้ จะดูความคิดเขาอย่างเดียวไม่ไ่ด้ เพราะพวกเขาก็ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง อิสระที่จะคิดหรือทำอะไรได้ตามใจ อย่างนั้นก็ทำไม่ได้นะครับ) อีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากให้ทุกท่านลองพิจารณา ไม่ลืมมองไปคือ "เรื่องพฤติกรรมของอเมริกันชนที่เปลี่ยนแปลงไปครับ" เหมือนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนั่นแหละ (ทำให้คนขายของงง ออกเพลงดีๆ มาขายไม่ได้ ออกกังนัมสไตล์มาก กลับดังเปรี้ยงไงครับ) เพราะหลังผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว ก็มี "เสียง" ออกมาวิจารณ์ว่า "โครงสร้างประชากรของอเมริกันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว" หมายถึงว่า คนอเมริกัน ไม่เหมือนเดิม เช่น อาจมีคนผิวสีมากขึ้นไหม?, มีคนต่างชาติเข้ามาเยอะขึ้นไหม?, มีคนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่กลุ่มชาตินิยมแบบเดิมๆ เยอะขึ้นไหม? เป็นต้น เพราะผลการเลือกตั้งมันก็เป็นภาพสะท้อน "ความเป็นอเมริกันชน" ได้ อีกในนัยยะหนึ่งด้วยนะครับ ดังนั้น ท่านก็ควรมองภาพทั้งสองภาพนี้ (ผู้นำ-อเมริกันชน) พร้อมกันด้วย

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นิยายกำลังภายใน : ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยนอกตำรา

สำหรับหัวข้อนี้ ผมจะขอใช้หลักการวิจารณ์แบบ "เพชรตัดเพชร" ก็แล้วกัน จะได้มีหลักในการพิจารณานะครับ และไม่มีเจตนาจะเปรียบเทียบผลงานของกิมย้งกับนักเขียนท่านอื่นด้วย เราจะศึกษากันในขอบเขตเฉพาะสิ่งที่เราได้จากนิยายกำลังภายในของกิมย้งเป็นสำคัญครับ โดยผมมองภายใต้สมมุติฐานที่ว่า "ในหนังจีนกำลังภายในของกิมย้ง คือ ประวัติความเป็นมาของประชาธิปไตยภาคประชาชน" นะครับ เอาละ ที่นี้ก่อนที่เราจะเข้าสู่การวิจารณ์ ผมจะขอแนะนำหลักการที่ใช้ในการวิจารณ์ด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้ครับ


๑. "มุมของการยอมรับในพระราชอำนาจ" ซึ่งผมจะวิจารณ์จากความเป็นจริงที่ว่า ประชาชนคนจีนสามารถยอมรับ "ราชวงศ์ใหม่ๆ" ได้ง่ายกว่าบางประเทศ เช่น ประเทศไทย ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ คนที่เป็นสามัญชน ไม่อาจก่อการแล้วก่อตั้งราชวงศ์ของตนเองได้แบบคนจีน แต่ประเทศจีนสามารถทำได้ จุดนี้เองทำให้เกิดการก่อการของประชาชนอยู่เนืองๆ เมื่อราชวงศ์ใดใกล้ึถึงกาลล่มสลาย

๒. "มุมของความเป็นเชื้อสายชาวฮั่น" ซึ่งนิยายกำลังภายในของกิมย้งเกือบทั้งหมด เป็นเรื่องราวของชาวฮั่นโดยตรง ซึ่งตัวละครส่วนใหญ่ที่เป็นพระเอกล้วนทำเพื่อชาวฮั่น ในขณะที่มีตัวละครอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นตัวโกง เป็นคนเชื้อสายอื่นเช่น มองโกล, แมนจูเรีย, กิมก๊ก เป็นต้น ดังนั้น ขอบเขตการวิจารณ์จึงจำกัดอยู่เฉพาะในยุคของชาวฮั่นตื่นตัวที่จะเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง นั่นเอง

๓. "มุมของกระบวนการเคลื่อนไหวต่างๆ" ซึ่งในเรื่องคุณอาจมองไม่ออกว่ามันคือการก่อตัวและรวบรวมผู้คนเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะกิมย้งแนบเนียนมากที่จะไม่บอกออกมาตรงๆ เพราะอะไรละ? ก็ประเทศจีนเป็นคอมมิวนิสต์นะครับ อย่าลืม สื่อบางอย่างจะเปิดเผยมากไปไม่ได้ แต่ถ้าคุณเข้าใจจริงๆ ก็จะทราบได้ทันทีว่าเรื่องราวของนิยายกำลังภายใน มันก็คือการก่อการทางการเมืองนั่นเองครับ

๔. "มุมของการใช้ศาสนาเป็นเครื่องรวมใจ" ซึ่งคุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนมากว่า ก่อนที่พวกเขาจะมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้นั้น พวกเขาจะอาศัย "ศาสนา" เป็นเครื่องรวมใจคนครับ เช่น วัดเส้าหลิน, การก่อตั้งสำนักธรรมลัทธิเต๋าบางลัทธิ เป็นต้น ที่ชัดเจนที่สุดคือ "ง้อไบ้" ซึ่งก้วยเซียงผู้ก่อตั้งยังถูกพวกมองโกลฆ่าตายเลยครับ นั่นแหละ คุณคงเห็นชัดเจนนะครับว่าเขาใช้ศาสนารวมใจคนอย่างไร

๕. "มุมของการหาเครื่องรวมใจประชาชน" ซึ่งคุณจะเห็นชัดมากในหลายๆ เรื่องครับ เช่น การแย่งชิงดาบมังกรหยก, การแย่งชิงตำราพิชัยสงครามของงักฮุย (มังกรหยกภาคหนึ่ง) และถ้าคุณศึกษาประวัติศาสตร์จีนต่อมาอีก คุณจะพบว่าผู้ก่อตั้งราชวงศ์แมนจู ใช้เพียงหินก้อนเดียวรวมใจคนได้? ซึ่งซูสีไทเฮาต้องการได้ครองมาก (ที่เรียกว่า "หยกมังกร") นั่นแหละครับ กุศโลบายที่ใช้เป็นเครื่องรวมใจคนอย่างไรละครับ

๖. "มุมของความสามารถเฉพาะตัวของผู้นำ" ซึ่งทุกเรื่องมุ่งเน้นจุดนี้มากครับ โดยเฉพาะวรยุทธ์ต่างๆ ที่พระเอกของทุกเรื่องจะต้องมีวิชาติดตัวครับ ไม่มีเรื่องไหนที่พระเอกไม่มีวิชาติดตัว บางเรื่องพระเอกอาจฝึกมากและนานหน่อยอย่างเช่น ก้วยเจ๋ง แต่บางเรื่องพระเอกก็เก่งอย่างรวดเร็วฉับพลันไปเลยเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไร สุดท้าย พระเอกก็ต้องเก่งครับ ถ้าไม่มีความสามารถติดตัวก็ทำการณ์ใหญ่ไม่ได้ครับ

๗. "มุมของความเสื่อมของราชวงศ์ต่างๆ" ซึ่งสิ่งนี้เป็น "สัจธรรมของโลก" นะครับ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนไปตลอดได้ เมื่อเกิดขึ้น, เจริญเติบโต แล้วก็ต้องเสื่อมสลายลงไป แม้แต่ราชวงศ์ต่างๆ ที่ว่ายิ่งใหญ่เพียงใดก็ถึงคราวล่มสลายได้เช่นกันครับ คุณจะสังเกตุได้ว่าในนิยายนั้น มีความเกี่ยวข้องกับความเสื่อมของราชวงศ์มาก เช่น คัมภีร์ทานตะวัน ก็ได้มาจากขันทีในวังหลวงเพราะความเสื่อมไปของราชวงศ์ถัง


ผมขอเปิดเวทีให้ท่านทั้งหลายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้อย่างเสรีครับ ในประเด็นทั้ง ๗ ประเด็นนี้ หรือมากกว่านั้นก็ได้ครับ แต่เพื่อให้ง่ายและไม่ออกนอกขอบเขตมากเกินไป ผมจะขอใช้หลักจากประเด็นทั้ง ๗ เป็นเบื้องต้นในการวิจารณ์วรรณกรรมอำมตะของกิมย้ง และหนังจีนกำลังภายในที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งเราควรเข้าใจเป็นเบื้องต้นด้วยนะครับว่าการวิจารณ์นั้น จะมีขีดจำกัดมากมาย เช่น เราไม่รู้ข้อเท็จจริงที่แท้จริงในอดีต ซึ่งกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว หลายอย่างก็ไม่ไ่ด้รับการบันทึกไว้ตามหน้าประวัติศาสตร์ระดับประ้เทศนะครับ หลายคนที่เป็นวีรบุรุษ สร้างคุณงามความดีเอาไว้ กลายเป็นเพียง บุคคลในตำนาน เป็นเพียงตัวละครในนิทานเท่านั้น จนคนรุ่นหลังดูถูกดูแคลน และหัวเราะเยาะเอาเมื่อเห็นใครบ้าหนังจีน หรือเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง เพราะเขารับรู้และเห็นสิ่งเหล่านี้ ผ่านสื่อทีวีและละคร เขาจึุงไม่คิดว่าสิ่งเหล่านี้ จะมีรากฐานมาจากความจริงอะไรได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปมากนะครับ เอาละ ผมขอเปิดประเด็นให้เกิดการวิจารณ์เรื่อง "หนังจีนกำลังภายใน กับ การเคลื่อนไหวของประชาธิปไตยในประเทศจีน" ให้ท่านทั้งหลาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้อย่างเต็มที่ เชิญครับ ...

มวยคู่เอก : บูเช็คเทียน VS ซูสีไทเฮา

อ่าเรามาประเดิมบทความวิจารณ์กันด้วย "มวยคู่เอก" คู่แรกของเราวันนี้ คือ บูเช็คเทียนและซูสีไทเฮา นั่นเอง เอาละ ใครจะวางเดิมพันฝ่ายไหน ก็ลงได้เลยครับ เย้ย ม่ายช่าย เรากำลังจะมาวิจารณ์บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีนสองท่านนี้ นะครับ ในเรื่องการเมืองการปกครอง เพราะทั้งสองท่านนั้นคือ บุคคลในวงการการเมืองนะครับ และเพื่อไม่ให้เกินเลยไปมาก เราจะจำกัดวงคนดู อ่ะ ม้ายช่ายๆ เราจะจำกัดขอบเขตการวิจารณ์อยู่ในเรื่องของการเมืองการปกครองก่อนนะครับ ไม่เอาเรื่องส่วนตัว หรือการทำหน้าที่ในครอบครัวมาวิจารณ์กันในที่นี้ครับ (ประเด็นอื่นๆ ก็วิจารณ์ได้ครับ แต่ขอไว้บทความหน้า)


สิ่งที่ผมเห็นชัดเจนในความแตกต่างของบุคคลสองคนนี้คือ "จุดเริ่มต้น" และ "ผลลัพธ์สุดท้าย" ครับ มันต่างกันมากทีเดียว กล่าวคือ ผมไม่ได้มองจุดเริ่มต้นของบุคคลทั้งสองว่าเป็นใครมาจากไหน และเริ่มต้นมีอำนาจได้อย่างไร แต่ผมจะเจาะลงไปเลยครับที่แก่นของมัน ว่าเขาทั้งสองแตกต่างกันอย่างไร นั่นก็คือ "ความเชื่อและทัศนคติในการทำงาน" นะครับ อย่างนี้ครับบูเช็คเทียนมีทัศนคติด้านลบในเพศของตนเองมาก่อน ด้วยน้อยอกน้อยใจที่เกิดเป็นหญิงแล้วไม่ได้รับความเท่าเทียมเหมือนดังชาย ทำให้บูเช็คเทียนประชดสังคมที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิง ด้วยการทำตัวอยู่เหนือการวิพากย์วิจารณ์ของผู้คน กล่าวคือ เขาไม่สนใจแล้วว่าใครจะวิจารณ์เขาอย่างไร เขาเชื่อว่าเขาทำถูกแล้ว คิดดีแล้ว เขาก็ทำครับ ผลออกมาเลยโดนด่า นินทา วิจารณ์ ในด้านลบมากมายสารพัดประการ เรียกว่า มากที่สุดในประวัติศาสตร์แล้วครับ ในด้าน "วิจารณ์แบบไม่จริง" นะครับ (อย่างจิ๋นซีฯ นี่เขาวิจารณ์ตรง ของจริงครับ) กล่าวคือ ถ้าบูเช็คเทียนมีความคิดว่าอะไรควรทำ ก็จะืทำโดยไม่สนใจการวิพากย์วิจารณ์ของใคร ก็เลยโดนวิจารณ์ด้านลบไปเสีย แต่ผลงานออกมา ก็ดีครับ มันทำให้เกิดความมั่นคงของประเทศ ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย คุณอย่าลืมนะีครับว่าก่อนหน้าบูเช็คเทียนนั้น มีฮ่องเต้ถังไท่จง ที่ดูออกจะได้รับคำวิจารณ์ด้่านดีมากมาย เพราะทำอะไรให้แผ่นดินเยอะแยะ แต่จุดเสียที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดคือ "การยึดอำนาจโดยเข่นฆ่าพี่น้องตัวเอง" นะครับ แล้วมันเลยทำให้ขุนนาง, อำมาตย์, คนรุ่นต่อๆ มา เริ่มเอาเยี่ยงอย่างตามๆ กันครับ และนั่น ถ้าไม่มีบูเช็คเทียนเข้ามาในยุคนั้นนะครับ ผมคิดว่าประวัติศาสตร์จีนคงไม่มียุคสมัยถังที่รุ่งเรืองเป็นแน่แท้ เพราะมันจะมีแต่การเข่นฆ่ากันเองของคนในราชวงศ์ครับ อันนี้ ไม่ได้พูดเล่นๆ นะครับ เพราะบูเช็คเทียนเอาจริง เด็ดขาด และทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่สนคำวิจารณ์ของใคร มันถึงได้ออกมาเป็นเช่นนี้่ได้ หลังบูเช็คเทียนลงจากอำนาจแล้ว ยังไม่วายครับ มีการแย่งชิงอำนาจกันอีก เกือบจะแย่แล้ว โชคดีที่จบได้น่ะครับ


เอาละ ทีนี้ ลองมาดูฝ่ายซูสีไทเฮากันบ้าง เธอคนนี้ คงอาศัยประวัติศาสตร์ว่าบูเช็คเทียนถูกวิจารณ์ด้านลบมากแค่ไหน เธอเลยไม่ยอมทำสิ่งที่จะเปิดช่องให้คนวิจารณ์ด้านลบได้ พยายามอยู่แต่ในกรอบของจารีตประเพณีตลอด ไม่ให้มีช่องโหว่ให้ใครมาจับผิด ทว่า นั่นกลายเป็นข้อเสียอันยิ่งใหญ่เลยครับ กล่าวคือ มันเป็นการเอา "ความถูกต้องมาเป็นกะลาครอบหัว" ไงครับ เพื่อให้ตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้อง ตามมุมมองของใครๆ จะได้ไม่ถูกเขาวิพากย์วิจารณ์ในด้านลบ ทำให้ตัวเองต้องถูกขังกรอบอยู่ในกฎเกณฑ์ที่ล้าหลังเหล่านั้น เพราะขณะที่ซูสีไทเฮากำลังควบคุมอำนาจในราชสำนักได้อย่างเบ็ดเสร็จนั้น พระนางฯ ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไปอย่่างหนึ่งก็คือ "พลังเงียบที่กำลังก่อตัวอยู่นอกระบบ" ครับ นั่นเอง ทำให้เกิดการปฏิวัติและนำประเทศจีนเข้าสู่ยุคใหม่คือ ยุคคอมมิวนิสต์ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ระบบกษัตริย์ที่มีมายาวนาน ต้องล่มสลายไป ถ้าคุณย้อนกลับไปดูก่อนหน้านี้ คุณก็พบครับว่า "มีนักการเมืองนอกระบบ" ที่เึคลื่อนไหวจนกระทบความมั่นคงของราชวงศ์มากมาย เพราะอะไรหรือครับ? เพราะราชวงศ์นี้มาจากเชื้อสายชาวแมนจู ไม่ใช่ชาวฮั่นนั่นเอง เหล่าชาวฮั่่นซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่แต่ดั้งเดิม ก็เริ่มก่อตัว เคลื่อนไหวอย่างลับๆ อยู่นอกระบบตลอดเวลา จน "สมัยเฉียนหลงฮ่องเ้ต้" ต้องทำการกวาดล้างขนานใหญ่ โดยเริ่มต้นจากวัดเส้าหลิน ซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังสำคัญของชาวฮั่นก่อน ตามมาด้วยการกวาดล้างชาวยุทธมากมาย (อันนี้เพื่อความมั่นคงของราชวงศ์แมนจู นั่นเอง) ทว่า ซูสีไทเฮากลับไม่เคยสนใจคนเหล่านั้นเลย เพราะคิดว่าพวกนี้ไม่มีอำนาจอะไร ส่วนตนก็มีอำนาจในราชวงศ์ที่ควบคุมไว้้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไงครับ นั่นแหละ ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ ดังที่ผมเรียกว่า "เอากะลาแห่งความถูกต้องมาครอบหัว" ไว้นั่นเอง


เอาละ ผมจะวิจารณ์แต่แก่นแท้และจุดสำคัญๆ จริงๆ เท่านั้น รายละเอียดปลีกย่อยผมจะไม่ลงในบทความนะครับ เพื่อเปิดให้ท่านทั้งหลายโพสกระทู้วิจารณ์กันต่อไป ผมขอเปิดประเด็นเอาไว้เท่านี้ก่อนครับ ...