วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ซาตานแอ๊บเนียน แปลงร่างเป็น "โดเรม่อน" ล้วงความลับในการ์ตูนสุดฮอต

สรุปเลยละกันครับว่า "ผู้เขียนเรื่องโดเรม่อน" ต้องการใช้การ์ตูนเป็นสื่อสอนเด็ก ให้ระวังเรื่องซาตาน ซึ่งมีอิทธิพลมากและครอบงำโลกอยู่ เพราะซาตานจะมาในรูป "เพื่อนที่แสนดี" มีแต่ "ให้" ในทุกๆ ครั้ง ที่เรา "อ่อนแอ" ดังนั้น คนเขียนจึงวางโครงเีืรื่องในทุกตอนเหมือนกันหมดว่า ๑. มีการให้ของวิเศษไปใช้ แล้วจบลงด้วยความผิดพลาดทุกที (ไม่อาจแก้ปัญหาชีวิตได้ด้วยการพึ่งของวิเศษ) ๒. มีตัวละครเอกที่เป็นคนอ่อนแอไม่เอาไหน ไม่รู้จักใช้ความพยายามของตัวเอง เอาแต่พึ่งเพื่อนหรือร้องขอของวิเศษจากผู้อื่น ๓. มีตัวละครจากมิติอื่น ที่ไม่ใช่มนุษย์คอย "ให้ของวิเศษ" ป้อนเพื่อนอยู่เสมอ และทั้งหมดนี้ ก็มากพอที่จะบ่งบอกถึง "การทำงานของซาตาน" ได้ดียิ่งและแนบเนียนมากครับ อย่างไร? อย่างนี้ครับ ทุกครั้งที่คนเราอ่อนแอและไม่ยอมที่จะพึ่งตนเอง ยืนหยัดให้ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ด้วยความพยายามของตัวเอง แต่กลับไป "ร้องขอ" ต่ออะไรก็ช่าง เช่น ร้องขอต่อเทพยดา, ขอหวย, อธิษฐานขอพระเจ้า หรือขอด้วยการบนบาน ฯลฯ ก็ล้วนแต่เป็นการเปิดช่องเข้าสู่ "วิถีแห่งซาตาน" ทั้งสิ้น ไม่ต่างอะไรกับ "โนบิตะ" ผู้อ่อนแอที่มีปัญหาในการปรับตัวกับเพื่อนมาทีไร แทนที่จะหาทางแก้ไขด้วยตัวเอง กลับร้องไห้มาร้องขอของวิเศษจากโดเรม่อนทุกครั้งไป และสุดท้าย เรื่องก็จะจบลงด้วย "การใช้ของในทางที่ผิด จนนำภัยมาสู่ตัวเอง" ที่เราจะหัวเราะเวลาโนบิตะใช้ของวิเศษมากไป จนกลายเป็นปัญหาในภายหลังเสมอ (ในทุกตอนเลยครับ)


ผมจึงบอกว่า "ซาตานแอ๊บเนียนแปลงร่างเป็นโดเรม่อน" อย่างไรละครับ นอกจากนี้ยังมีอีกคำหนึ่งครับที่ภายหลังฝรั่งเขาแก้ให้เขียนว่า Santacros ซึ่งจริงๆ แล้วมันมาจากคำว่า Santacross หรือก็คือ คำผวนของ Santa นั่นเอง (cross หมายถึง ผวนคำ ก็ได้ ลองผวนคำว่า ซานต้า มันก็คือ ซาต้าน นั่นเอง) มันหมายถึงอะไร? หมายความว่า คนที่มักมาในรูป "ผู้ให้" นั่นแหละ "ซาตาน" เช่น ฝรั่งบอกจะช่วยประเทศที่กำลังจะพัฒนานะ เขาจะให้ นั่น นี่ โน่น ฯลฯ สารพัดแก่เรา แต่เชื่อเถอะ ไม่มีใครให้เราฟรีๆ หรอก ของฟรีไม่มีในโลก เขาให้เราก็คือ เขาลงทุนเพื่อเก็บเกี่ยวเอากำไรคืนจากเราทีหลัง แล้วเราก็ไม่้ต้องวิ่งโร่ไปเรียกร้อง ขอให้เขาช่วยสนับสนุนอะไรให้เราหรอกครับ (อย่างที่ ซุปเปอร์ฮีโร่แห่งโลกอย่าง อองซาน ทำ) เพราะมันไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยขี้แยอย่าง "โนบิตะ" เลยแม้แต่น้อยนิด รังแต่จะเปิดช่องให้เขาเข้ามาเล่นเราเอาง่ายๆ ในรูป "โดเรม่อน เพื่อนรัก ผู้มีแต่ให้ ผู้แสนดี" อะไรประมาณนั้น ดังนั้น ผมขอวิจารณ์การ์ตูนเรื่อง "โดเรม่อน" นี้ว่า "ดีกว่าผลงานที่ได้รับรางวัลซีไรท์ทุกเรื่องรวมกัน" ครับ โปรดอย่าคิดว่างานเขียนที่ดี ยอดเยี่ยม ต้องเป็นอะไรที่ยาก เข้าใจยากมาก (แบบต้องเป็นคนฉลาดอ่านรู้เรื่องอ่ะ) หรือเขียนเรื่องการเมืองซ้อนกล ใช้ภาษาโอเวอร์ ซุปเปอร์ยากส์ อะไร หรือเป็นปรัชญาอุดมการณ์บ้าบออะไร โอ้ย มันดูเปลือกนอกเหมือนเ่ก่ง เหมือนดี แต่ขอบอก "สอบตกเรื่องการสื่อสาร" ข้อที่หนึ่งแล้วครับ คือ "สื่อแล้วไม่ค่อยมีใครเขาอยากจะอ่าน" มันก็สอบตกเรื่องการสื่อสารแล้วครับ ผมขอให้คุณไปนั่งดูการ์ตูนที่ฮิตที่สุดยาวนาน เป็นอำมตะเรื่องนี้ดูครับ "โดเรม่อน" ไปดูให้มันลึกซึ้งหน่อยครับว่า "เรื่องนี้ มันไม่มีปรัชญาที่ลึกซึ้งสอนอะไรใครเลยหรือ?" หรือคุณค่าแห่งเนื้อหาสาระของมัน "เทียบคุณค่ากับงานซีไรท์" ไม่ได้จริงๆ น่ะหรือ? ถ้าสมมุติว่า "มีนายกคนหนึ่งในอดีตตอนเป็นเด็กเคยดูโดเรม่อนมา" แล้ววันหนึ่ง ฝรั่งเขาจะให้นั่น โน่น นี่ แล้วเกิดแว้บปิ๊งขึ้นมาได้ว่า "เฮ้ย ของวิเศษที่โดเรม่อนให้ สุดท้ายกลายเป็นภัยนะ" คุณว่ามันมีคุณค่าแค่ไหนกัน? เมื่อเทียบกับงานซีไรท์ที่ดูแล้วโคตรจะยากและไม่อยากจะจำ หนังการ์ตูน, เรื่องผี, เรื่องการ์ตูน มันจะเป็นของที่มีแก่นสาร, ปรัชญา, ธรรม อันลึกซึ้งยิ่งกว่างานเขียนประเภท "อวดตัวว่ามีปรัญชาแบบออกนอกหน้า" เหล่านั้น "ไม่ได้" เสมอไป จริงหรือ? ลองไปนั่งคิดลึกๆๆๆๆๆ ดูกันนะครับ



วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นโยบายสายฟ้าฟาด สะเทือนฟ้าดิน ของพม่า "ต่างชาติถือครองที่ดินได้ 100%"

Oh my god! ผมตกใจและตะลึงมากที่ได้ยินข่าวนี้ "พม่าร่างกฏหมายใหม่เปิดให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้ 100%" อะไรเนี่ย? ฟังแค่นี้ คุณอาจเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไรนัก แต่เดี๋ยวผมจะค่อยๆ อธิบายไปทีละน้อยแล้วคุณก็จะเข้าใจเองว่าทำไม ผมถึงตื่นตะลึงกับนโยบายนี้่ ขนาดนั้น


อย่างแรก ผมอยากจะกล่าวถือกลุ่ม New world header สักหน่อย เป็นคำที่ผมใช้เรียกคนในโลกนี้ กลุ่มที่มีความคิดแตกต่างจากคนอื่นๆ ประมาณว่าไม่ได้ยึดมั่นในประเทศ, เชื้อชาติ, ศาสนาอะไรนัก แต่มองเ็ห็นโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน และพร้อมเสมอที่จะไปทำงานในประเทศใดก็ได้ เช่น ทำงานในบริษัทนานาชาติที่มีสาขาในต่างประเทศได้ยาวนาน หรือลงหลักปักฐานอยู่ในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตน ผมขอบอกว่าคนกลุ่มนี้คือ "สุดยอดของโลก" นะครับ เพราะอะไรครับ เขามีทั้ง ๑. ปัญญาและความสามารถระดับบนๆ ของคนทั้งหลาย ๒. เขามีใจกว้าง มีวิสัยทัศน์ มีโลกทัศน์กว้างไกล ๓. เขามีเงินไม่ใช่้น้อยๆ พร้อมที่จะโยกย้ายและลงทุน ปักหลักปักฐานใหม่ได้ทันที ถ้าเอาเงินพวกเขามารวมกันแล้ว รับรองว่าสามารถทำให้ประเทศที่ยากจนหรือล้าหลัง กลายเป็น "อเมริกา" ไปได้ในทันทีเลยครับ (ซึ่งผมก็จับตามองคนกลุ่มนี้ทั้งโลก ทุกเชื้อชาติศาสนา มานานแล้ว ว่าเขามีแนวโน้มจะไปลงหลักปักฐานที่ไหนครับ) บวกกับตัวเร่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ "โลกวิกฤติ" ครับ หลายประเทศที่เจริญแล้วมีวิกฤติทางด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติมาก ยิ่งเร่งให้พวกเขา "รีบๆ หาประเทศอยู่ใหม่ ที่ปลอดภัยกว่าครับ" ลองนึกดูสิครับว่าอะไรจะเกิดขึ้น สมมุติว่า "ประเทศที่รวย มีคนกลุ่มนี้เป็นคนรวยอยู่ ๒๐%" วันหนึ่ง พวกเขาแ่ห่กันไปอยู่ประเทศที่ยากจนประเทศหนึ่ง เพราะมีปัจจัยมากมายเอื้อประโยชน์เปิดทางให้แค่สัก ๑๐% นะครับ ทันทีครับ ประเทศที่ร่ำรวยกลายเป็นจน และประเทศที่ยากจนกลายเป็นคนรวยไปเลย นี่แหละ ผมถึงบอกว่า "นโยบายนั้นสะเทือนฟ้าดิน" อย่างไรละครับ โดยเฉพาะประเทศสิงคโปร์ คุณรู้ไหมว่ารัฐบาลสิงคโปร์ตอนนี้กลัวอะไรมากที่สุด? ผมจะตอบให้นะครับ "เขากลัวคนสิงคโปร์ย้ายไปอยู่ประเทศอื่นครับ" ถึงขนาดสร้างค่านิยมให้คนสิงคโปร์มองโลกหรือประเทศอื่นในแง่ร้ายไว้ และก็พยายามสร้างสิ่งรวมใจคือ ศิลปะวัฒนธรรม เพื่อดึงใจคนไว้ ผมเคยรู้จักคนสิงคโปร์ครับ เปลือกนอกเขาจะมองเราในแง่ลบบ้าง ชอบติไปบ้าง (แต่จริงๆ แล้ว เขาชอบเรานะครับ) คือ เป็นนิสัยเปลือกนอกเท่านั้นเอง เขาจะทำเหมือนไม่ชอบคนชาติอื่นหรือของประเทศอื่น ติไว้เพื่อต่อราคาอะไรแบบนั้น แต่ในใจจริงเขาไม่ใช่อย่างนั้น ชาวต่างชาติมากมายอยากอยู่เมืองไทย อยากเป็นคนไทยมากครับ เพราะอะไร? เพราะเขารู้แล้วว่าที่นี่ ปลอดภัยจากภัยพิบัติทางธรรมชาติมากกว่าประเทศของเขาที่เป็นเกาะอย่างไรละครับ นั่นแหละ สิ่งที่รัญบาลสิงคโปร์กลัวมาก จะเป็นอย่างไร? ถ้านายทุนรวยๆ ออกจากสิงคโปร์ไปตั้งรกรากที่ประเทศอื่นหมด ก็จบเห่สิครับ!


แล้ว "พม่า" มาใช้นโยบายนี้ได้อย่างไร? อ้าว เล่นแบบนี้ ผมแทบจะเป็นลม เพราะมันไม่ใช่นโยบายในการพัฒนาประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไปในทุกๆ ด้าน แต่มันเหมือนการใช้นโยบายเพื่อทำสงครามเย็น ยังไง ดูไม่ออกใช่ไหมครับ? อย่างนี้ ถ้าคุณจะเดินนโยบายเปิดประเทศแล้วใช้ชาวต่างชาติที่มีความสามารถมาพัฒนาประเทศ คุณก็ต้องค่อยๆ เปิดอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้กระทบคนในชาติที่อยู่ก่อน ใช่ไหมละ นี่หละ  นโยบายปกครองประเทศของจริง แต่นี่ไม่ใช่ มันสายฟ้าฟาดเลย เปรี้ยงเลยทีเดียวเล่นเอาสั่นสะเทือนไปหมด คุณลองคิดดู ประเทศเผด็จการทั้งหลาย ปกติเขาจะเป็น "ชาตินิยม" เืกือบหมดนะครับ ยกเว้น น้อยมากๆ บางประเทศที่มีแนวคิด "อินเตอร์" ดังนั้น เขาจะทั้งอนุรักษนิยมและชาตินิยม เหมือนประเทศจีนน่ะแหละ อะไรๆ ก็เป็นของรัฐบาลหมด คุณไปลงทุนแล้ว ที่ดินก็ไม่ใช่ของคุณ อ้าว เป็นของเขาครับ อยู่ๆ เรารวยจะเอาเงินไปซื้อประเทศเขา ไม่ไ่ด้หรอกนะครับ นี่เขาเดินนโยบายปกป้องไว้อย่างนี้ แต่พม่า ซึ่งเป็นเผด็จการแหวกแนวมาก มาได้ไง ใช้นโยบายนี้ ไม่เท่ากับ "โปรโมชั่นสุดร้อนแรง" เพื่อดึงดูดเอานักลงทุนนานาชาติลงประเทศของตนเองอย่างนั้นหรือ? ผลกระทบย่อมเกิดแน่ ต่อประเทศทุกประเทศที่เหล่านักลงทุนนานาชาติ กำลังตัดสินใจอยู่ว่า "เอ? ฉันจะย้ายการลงทุนไปลงประเทศไหนดี?" เพราะว่าการได้ถือครองที่ดินนี่ มันคือ "สุดยอดความปรารถนาของนักลงทุนนานาชาติเลยครับ" เพราะอะไร? อ้าว ถ้าคุณเอาเงินไปลงทุนระยะยาวทั้งชีวิต (โรงงานคุณคงไม่คิดจะปิดตัวไปง่ายๆ หรอกนะครับ มันก็ต้องรันชั่วชีวิต) คุณก็ต้องดูแลธุรกิจของคุณนานๆ โรงงานเอย, บริษัทเอย ตั้งแล้ว ถ้ามันไม่ใช่ของคุณ ทั้งๆ ที่คุณลงเงินไปมาก คุณรู้สึกอย่างไร? ไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ ใช่ไหม? เพราะไม่มีประเทศไหนที่เขาจะเปิดให้คนต่างชาติมาถือครองที่ดินในชาติของตนง่ายๆ หรอกครับ มิเท่ากับเปิดทางให้คนเอาเงินซื้่อประเทศกันเลยน่ะสิ แต่นี่ พม่าใจป้ำ, ใจกว้าง, ใจกล้า ยอมให้เลย ให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้เลย โอ้ พระเจ้า มันแรงมากครับ สำหรับความรู้สึกของนักลงทุนนานาชาติ


ผมเคยคิดอยู่นานเหมือนกัน ว่าจะทำอย่างไรจึงจะดึงเอาคนมีความสามารถและคนรวยจากทั่วโลก มายังประเทศของเราได้ "โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคนไทยเราดั้งเดิม" ผมยังคิดอย่างรอบคอบหลายครั้ง เลยยังไม่ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุด เคยคิดว่า "สนับสนุนเขยฝรั่ง-สะใภ้ฝรั่ง" ดีไหม? หรือว่าใ้ช้ "นโยบายกรีนการ์ด" คือ ให้ถือบัตรสำรองคล้ายๆ บัตรประชาชนไปก่อน มีสิทธิ์บางอย่างแต่สิทธิ์บางอย่างจะจำกัด จนเมื่อทำงานพัฒนาชาติไทยนานถึงจุดหนึ่ง เช่น 10 ปี ก็ค่อยๆ ออกบัตรประชาชนให้ อะไรแบบนั้น เพื่อดึงเอาคนที่มีความสามารถจากทั่วโลกมาใช้งาน เพราะรากเหง้าประเทศเรา "มันไม่ใช่ของเชื้อชาติหนึ่งเชื้อชาติใด" มานานแล้วครับ แผ่นดินนี้ มี "หลายเชื้อชาติมาอยู่ร่วมกัน" ดังนั้น ไม่แปลกถ้าปัจจุบัน เราจะมีคนต่างชาติเข้ามาเป็นคนไทย แต่ว่า "มันต้องมีขั้นตอนและการดำเนินการอย่างรอบคอบ" ค่อยเป็นค่อยไปครับ ไม่เช่นนั้น มันจะเกิดผลกระทบในด้านอื่นๆ ได้ ทว่า พม่าใช้นโยบายนี้ ไม่เท่ากับเป็นการ "ชิงลงมือก่อน" แบบสายฟ้าฟาด ซึ่งผมมองว่าในด้านต่างๆ จะส่งผลกระทบต่อพม่าแน่นอน แต่ในด้านสงครามเย็นละก็ นับว่าได้ผลดีอยู่ (นโยบายนี้ใช้่เพื่อเกื้อหนุนสงครามเย็นได้ แต่ใช้เป็นนโยบายปกครองประเทศแบบสุขุมรอบคอบไม่ได้)  


ผมเคยเขียนบทความและเตือนไว้แล้วว่า "อย่าประมาทประธานาธิบดีพม่า" เขาไม่ธรรมดาหรอกครับ!



วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ญี่ปุ่นเตือนแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์ เกาหลีเหนือเตรียมพัฒนาขีปนาวุธต่อ???

ผมขอสรุปง่ายๆ เลยแล้วกันครับ ตอนนี้ เอเชียบูรพา กำลังทำสงครามเย็นกันอยู่โดยจีนใช้ "เกาหลีเหนือ" เป็น "ทัพหน้า" เพื่อชนกับเกาหลีใต้ บ้าง, ญี่ปุ่้น บ้าง ฝ่าย "อเมริกา" ก็ทำเช่นนั้นเช่นกัน โดยใช้ "ญี่ปุ่น" บ้าง, "เกาหลีใต้" บ้าง เป็นเครื่องมือชนกับจีน เรียกว่า นี่คือ เกมของจีนและอเมริกาที่จะแผ่อิทธิพลในเขตภูมิภาคเอเชียบูรพานั่นเองแต่พวกเขาไม่ยอมเดินเป็นทัพหน้าให้ต้องได้รับผลกระทบตรงๆ เขาก็ให้คนอื่น ประเทศอื่น ไปรับหน้าแทน เมื่ออเมริกาใช้ ญี่ปุ่น, ฟิลิปปินส์ จีนก็ต้องใช้เกาหลีเหนือ, กัมพูชา ฯลฯ ทีนี้ อาวุธของทั้งสองค่าย ต่างกันครับ สำหรับ "อเมริกา" ตอนนี้ ใช้อาวุธควบคุมสภาพดิน, ฟ้า, อากาศ ที่เรารู้จักกันดีในนาม HAARP ส่วนจีนใช้อาวุธอีกแบบคือ "การค้า" เขาเอาการค้าเป็นอาวุธ ทำลายเศรษฐกิจของฝ่ายตรงข้าม เพื่อบีบให้ประเทศตกต่ำและเกิดการปฏิวัติจากภายใน นั่นเองครับ ดังนั้น เมื่อญี่ปุ่นเดินเกม จึงบอกแก่โลกว่า "โลกยังเสี่ยงกับแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์" นั่นคือ "การส่งสัญญาณขู่" ในทางการสงครามเย็นครับ ขู่ว่าอะไร? จริงๆ แล้ว สาร์นที่แท้จริงก็คืออย่างนี้ครับ "จีน แกยังเสี่ยงจะโดน HAARP ไป 10 ริกเตอร์นะโว้ย ระวังตัวให้ดี" โอเคไหมครับ? มันไม่มีความจำเป็นหรอกครับที่ญีุ่ปุ่นจะต้องออกมาเตือนโลกว่าระวังแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์ โดยยังไม่มีวี่แววว่าจะเกิดล่วงหน้าอะไรเลย และอีกประการ ไอ้ แผ่นดินไหวตามธรรมชาติเนี่ย "มันทำนายไม่ได้ครับ" แต่แบบ "ที่มาจาก HAARP" เนี่ย มันกำหนดได้นะครับ ทีนี้คุณเข้าใจสาร์นที่เขาสื่อหรือยัง? คือ ถ้าเป็นแผ่นดินไหวจริงตามธรรมชาติ เขาจะไม่ออกมาพูดทั้งที่ไม่อาจทำนายได้ ให้คนแตกตื่นตกใจกันเฉยๆ อย่างนี้ หรือถ้ามันจะเกิดจริงๆ ก็ต้องแจ้งอย่างเป็นทางการและอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ผู้คนแตกตื่นครับ แต่นี่มันไม่ใช่อย่างนั้น "เพราะมันคือการขู่ ในการทำสงครามเย็น" นั่นเอง และเพียงไม่กี่วันต่อมา ก็ได้ผลครับ "เกาหลีเหนือ" ออกมาประกาศโครงการพัฒนาขีปนาวุธอย่างต่อเนื่องต่อไป นั่นคืออะไรครับ มันก็คือ การสื่อสาร์นตอบกลับไปว่า "เอาซีวะ เอ็งเอาไอ้เครื่อง HAARP มา ฉันก็จะเอาขีปนาวุธยิงแกซะ" นั่นเอง พอเข้าใจ ความหมายของสงครามเย็นไหมครับ (เวลาทำสงครามเย็นนี่ เราจะพูดตรงๆ ไม่ไ่ด้หรอกครับ เพราะมันเป็นสงครามเย็น แบบไม่เปิดเผยไงครับ)


นั่นคือ การขู่กันไปมาของสองฝ่ายและตัวเดินเกมที่กำลังชนกันอยู่ตอนนี้ก็คือ "ญี่ปุ่้น" และ "เกาหลีเหนือ" ซึ่งผมมองว่าคนที่วางแผนอยู่เบื้องหลังนั้น "ไม่ใช่ประธานาธิบดีของทั้งสองประเทศอภิมหาอำนาจ" เสียแล้ว "มีคนอยู่เบื้องหลังประธานาธิบดี" วางแผนและเดินเกมอีกทีครับ จากพลังจิตสัมผัสของผม สัมผัสได้ถึง "บารมีของคนเหล่านี้" ไม่ได้น้อยกว่าประธานาธิบดีที่แสนโด่งดังเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่า มากกว่าเสียอีก เรียกได้ว่า "ประธานาธิบดี" ก็เป็นได้แค่ "หุ่นเชิด" ของพวกเขาอีกที พวกเขามีหลายคน ไม่ใช่คนเดียว เป็นทีมครับ ทำงานเป็นทีม วางแผนและคิดกันเป็นทีม ทำงานต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น อยู่เบื้องหลังไม่มีื่ชื่อเสียงเท่าประธานาธิบดี ไม่ได้โด่งดังขนาดนั้น "แต่ไม่ธรรมดาเลยครับ" เอาละ คนไทยเราบางพวกก็สัมผัสได้ถึง "พลังของพระเจ้าจักรพรรดิ" บางพวกกลัวว่าจะมีพระเจ้าจักรพรรดิมาเกิดแล้วแย่งอำนาจซึ่งเจ้านายเก่าของตนครองอยู่ ก็พยายามทำลายหรือตัดทางเสีย ไม่ให้ได้เกิด ก็มี อีกพวกก็พยายามหนุนให้มี สบายใจได้ครับ เพราะมันจะไม่ใช่ "คนไทยอีกต่อไป" (สบายใจได้ ไม่มีคนไทยคนไหนมาแย่งอำนาจท่านอีกแล้วครับ) เพราะถ้ามันจะมี "มันอาจจะเป็นคนจีน" แล้วครับ ในเมื่อเราไม่สนับสนุนคนไทย คนจีนก็เป็นได้ครับ เมื่อถึงเวลานั้น จีนก็จะยึดครองประเทศต่างๆ ในเอเชียไปด้วย เพราะประเทศเราไม่มีใครที่จะได้ถึงขั้นพระเจ้าจักรพรรดิจริงๆ (มีแต่ของเก๊ แบบโลเรกซ์ปลอม เหมือนอย่างที่ เลดี้ กาก้า บอกนั่นแหละั) ก็เป็นธรรมดาของพระเจ้าจักรพรรดิครับ ต้องโหดมาก่อน แล้วค่อยมาดีทีหลัง เหมือนพระเจ้าอโศกมหาราชไง ถึงเวลานั้นไม่ต้องกลัวครับ เพราะผมก็พร้อมเจริญรอยตาม "พระอุปคุต" อยู่แล้วนี่ครับ ...!!!



วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดุลยภาพที่เปลี่ยนไปหลังเลือกผู้นำ "เกาหลีเหนือ-อเมริกา-จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้"

ประเด็นนี้ผมคิดว่าน่าสนใจมากนะครับ คือ "เรื่องดุลยภาพอำนาจ" และการเมืองที่เปลี่ยนไปในภูมิภาคเอเชีย หลังการเลือกผู้นำ "เกาหลีเหนือ-อเมริกา-จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้" ซึ่งเดิมผมอยากจะบอกว่าในเขตภูมิภาคเอเชียนี้ เคยมี "ไทย" เป็นศูนย์กลางของอภิมหาอำนาจครับ คือ "อเมริกา" และ "จีน" ที่ผมเคยบอกแล้วว่าเขาได้เข้ามาเชื่อมต่อสายสัมพันธ์ทางการเมืองอย่างแนบแน่นกับผู้นำเสื้อเหลืองและผู้นำเสื้อแดงของไทย ทำให้เกิดการคานดุลยภาพอำนาจโดยมีไทยเป็นจุดศูนย์กลางของดุลยภาพนี้ และส่งผลให้ "อาเซี่ยน" คึกคักมากในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างหนึ่งก็ขอชมนิดหนึ่งครับว่า "ไทยก็มีผู้นำหญิงที่อาจไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด" แต่ก็ทำหน้าที่คานดุลยภาพอำนาจของสองมหาอำนาจนี้ได้ในระดับหนึ่ง ไม่เลวครับ (ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ) แต่ต่อไปนี้ "เกมหมากกระดานนี้" มันจะไม่ใช่แ่ค่ "อาเซียน" แล้วครับ มันเริ่มขยายวงกว้างขึ้น "อย่างชัดเจน" และมีหมากใหม่ๆ เข้ามาในกระดาน หรือถ้าจะเปรียบเหมือนวงไพ่้ก็คือ ถึงเวลาต้องขยับขยายวงแล้ว เพราะมีคนเล่นแบบเอาจริงเอาจัง เข้ามามากขึ้นแล้วครับ (วงไพ่วงนี้คงน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว) นั่นคือ การขยายจาก "อาเซียน" ไปสู่ "เอเชียตะวันออก" ทั้งหมด (ทั้งเอเชียนตะวันออกเฉียงเหนือและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ดังนั้น ผมจะขอเรียกวงไพ่หรือหมากกระดานนี้ใหม่ว่าเป็น "เอเชียตะวันออก" หรือ "เอเชียบูรพา" ก็แล้วกัน และต่อไปนี้ คำนี้ จะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นกว่าคำว่า "อาเซี่ยน" แล้วครับ เพราะหลังจากนี้ "ญีุ่ปุ่น" จะไม่มองห่างๆ อีกแล้ว เขาเริ่มจะเอาจริง หลังจากได้ผู้นำที่มีแนวคิด "ชาตินิยมสุดโต่ง" เข้ามาเล่นในเกมนี้, "เกาหลีเหนือ" ได้ผู้นำคนใหม่อายุน้อย ไฟแรง และเข้มแข็งไม่แพ้ผู้เป็นพ่อเลยทีเดียว (นโยบายก็สานต่อของเดิมอยู่), "จีน" ได้ผู้นำที่ลดบทบาทไปเล่นการเมืองระดับชาติ เล็กลงไป แต่ทำงานละเอียดขึ้น เพื่อความเข้มแข็งภายในมากขึ้น ยกหน้าที่ "ระดับโลก" ให้กับ "สภาคอมมิวนิตส์" แทน ดังนั้น ลองคิดดูสิครับว่า สามประเทศยักษ์ใหญ่ในเอเชียบูรพาต่างแข็งกร้าวไม่ยอมใคร มันจะเกิดอะไรขึ้น? ดังนั้น "ผู้นำเกาหลีใ้ต้" จึงจะต้องขึ้นมามีบทบาทสำคัญในแบบที่แตกต่างนะครับ คือ ๑. คานดุลยภาพอำนาจ ๒. ยืดหยุ่นอ่อนโยน ๓. ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ ไม่เช่นนั้น ภูมิภาคนี้จะตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเกิดเป็น "สงครามมหาเอเชียบูรพา" นั่นคือ ผู้นำหญิง "ปาร์ก กึน แฮ" ครับ


อย่างแรกเลย คุณลองดูบทบาทที่แตกต่างของ "ปาร์ก กึน แฮ" นะครับ สิ่งที่เธอทำก่อนเลยคือ "การขอโทษ" ครับ ในสิ่งที่บิดาของเธอได้ทำผิดไป ทั้งเธอยังบอกอีกว่าเธอไม่แต่งงานเพราะเธอได้แต่งงานกับประเทศนี้ไปแล้ว (โรแมนติกนะเนี่ย) ทำให้เห็นครับว่าเธอมีจิตใจอ่อนโยน มีความรักเป็น ไม่ใช่คนไม่มีความรัก (เพียงแต่เธอมอบความรักให้ประเทศชาติเท่านั้นเอง) ดังนั้น ผมมองว่านโยบายภายใต้การนำของเธอ จะต้องไม่ใช่ "นโยบายแข็งกร้าว" อย่างประเทศยักษ์ใหญ่ทั้งสาม (อเมริกา, ญี่ปุ่น, จีน) และประเทศเกาหลีเหนือที่อยู่ข้างหลังเธอ เป็นแน่แท้ จับตาดูครับ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงดุลยภาพและเกมการเล่นการเมืองระดับเอเชียครั้งใหญ่แน่ และจุดศูนย์กลางต่อไปนี้ มันจะไม่ใช่ประเทศไทยอีกแล้วครับ มันจะเคลื่อนไปสู่ประเทศเกาหลีใต้ (ถ้าเธอทำได้นะครับ) และจะกลายเป็น "สามเหลี่ยมดุลยภาพใหม่" คือ ๑. จีน ๒. ญี่ปุ่น ๓. อาเซียน (อันมีไทยเป็นจุดศูนย์กลาง) และมี "เกาหลีใต้" เป็นศูนย์กลางอีกทีครับ เกมการเมืองของเอเชียบูรพาต่อไปนี้ จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว รับรองว่าเราจะใกล้ชิดกันมากขึ้น เราจะอบอุ่นมากขึ้น (ถ้าไม่ร้อนแรงจนเกินไป) และจะได้ตื่นเต้นกับบทบาทใหม่ๆ ของคนหน้าใหม่ด้วยครับ!



วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิงคโปร์ ประเทศที่ถูกสร้างมาด้วย "ความรัก, ความเสียสละ, วิสัยทัศน์ และความอดทน"

ก่อนที่เราจะมองเห็นอนาคตที่สดใส อยากให้ลองมองย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีตกันก่อนนะครับ และวันนี้ผมอยากนำเสนอประวัติศาสตร์การสร้างชาติของ "สิงคโปร์" ครับ เพราะประเทศนี้เป็นเพียงเกาะเล็กๆ เท่านั้น แต่ทุกวันนี้สิงคโปร์มีความเจริญสูงสุดในอาเซียน ย่อมไม่ธรรมดา่แน่นอนใช่ไหมครับ? เราลองมาดูกันว่า "บรรพบุรุษของพวกเขา" ต้องยากลำบากและเสียสละมากแค่ไหน กว่าจะมาถึงวันนี้ได้


สิงคโปร์ เป็นเพียงเกาะเล็กๆ มาก่อน เดิมไม่มีความเป็นชาติ ไม่มีอิสระของตัวเอง เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอื่นๆ ที่ใหญ่กว่า แต่มีช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมาก อยากให้ท่านศึกษาครับ คือ ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จนถึงช่วง "ได้รับเอกราช" สิ่งนี้ มาได้อย่างไร? ไม่ใช่ของง่ายแน่นอนครับ เพราะอะไร เพราะอย่างแรกต้องเข้าใจว่าสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆ และไม่มีไพล่พลมากพอ เรื่องการทหารนั้น ไม่ต้องคิดเลย ไม่มีทางชนะตั้งแต่แรกแล้ว แต่สิงคโปร์ก็เป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มผู้ชนะสงครามได้ครับ อ้าว ไม่ได้รบแล้วชนะได้อย่างไร? (ชนะโดยไม่ต้องรบ) คืออย่างนี้ หลังญี่ปุ่นยึดครองสิงคโปร์ได้แล้ว ต่อมา ก็มีการเปลี่ยนแปลงกลายเป็น ญี่ปุ่นแพ้ แล้วอังกฤษมายึดครองต่อ ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศฝ่ายชนะสงครามไงละครับ ที่จริง สิงคโปร์ไม่จำเป็นที่จะได้รับอะไรเลย ก็ได้ครับ เพราะอะไร? เพราะถ้าดูแต่ผิวเผินแล้ว เกาะนี้ ถูกคนนั้น คนนี้ ยึดไปมา ใครจะทำอย่างไรกับเกาะนี้ก็ได้ ในฐานะผู้ชนะสงคราม ใช่ไหมละครับ? ทว่า ประวัติศาสตร์ไม่เป็นเช่นนั้น อังกฤษ ให้ความสำคัญกับเกาะนี้ ทั้งยังค่อยๆ ให้อำนาจแก่สิงคโปร์ทีละน้อย ราวกับว่าสิงคโปร์มีความสำคัญ และมีบทบาทไม่น้อยต่อชัยชนะของอังกฤษอย่างนั้น? ใช่แล้วครับ "นี่คือ ส่วนที่หายไปของประวัติศาสตร์ ที่ไม่ได้รับการบันทึก" อย่างไรละครับ ทีนี้ มันก็เลยมีคนรุ่นหลังอยากทราบประวัติความเป็นมาตรงนี้ ว่าสิงคโปร์ทำอย่างไร จึงทำให้ได้สถานภาพที่เหนือกว่าประเทศอาณานิคมอื่นๆ แล้วกลายเป็นหนังอิงประวัติศาสตร์เรื่อง "บ้าบ๋า ย่าหย๋า" ไงละครับ ในเรื่องคุณอาจเพลินกับความรักและเรื่องอาหารมากไปจนอาจลืมส่วนที่ถูกแทรกไว้อย่างลับๆ  ซึ่งเป็นบทบาทของพระเอก "อีกด้านหนึ่ง  ที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึง" และเป็น "ปริศนา" มากว่าทำไม นางเอกจึงไม่ยอมแต่่งงานกับพระเอก (แท้แล้ว พระเอกมีบทบาทหน้าที่สำคัญมากต่อชาติบ้านเมืองในช่วงวิกฤตินั้นครับ นางเอกตอนแก่แล้วก็บอกลูกหลานว่าไม่ใช่ไม่รักพระเอก รักเต็มหัวใจเลย แต่ทำไมละ เขาจึงเลือกที่จะไม่แต่งงานกับพระเอก? น่าสงสัยไหม?) ในช่วงนั้น ญีุ่ปุ่นแพ้สงคราม สิงคโปร์ตกเป็นของอังกฤษ ประเทศอยู่ในวิกฤติไม่ใช่น้อยๆ (หลายประเทศในเอเชียที่ตกเป็นอาณานิคม แทบสิ้นเนื้อประดาตัวนะครับเช่น ลาว ที่เคยมีทรัพยากรมากมายก็หมดไปเพราะความเป็นอาณานิคม) เพราะ "สาเหตุสำคัญ" มันอยู่ที่บทบาทของคนสิงคโปร์บางคน "ที่อยู่เบื้องหลังการเมืองสิงคโปร์" ไงละครับ จะว่าอยู่เบื้องหน้าก็ไม่ได้ เพราะตอนนั้น อังกฤษไม่ได้ให้สิงคโปร์มีบทบาทในการปกครองตนเองขนาดนั้น จึงไม่มีโอกาสใดเลยที่ชาวสิงคโปร์จะอยู่แนวหน้าทางการเมือง แต่ทำไมอังกฤษจึงกระทำต่อสิงคโปร์ดีกว่าหลายประเทศ และทำให้สิงคโปร์ค่อยๆ ปลดแอกตัวเองเป็นเอกราชได้ทีละน้อย ทั้งยังได้รับวิทยาการสมัยใหม่จากอังกฤษมาไม่น้อยอีกด้วย นั่นแหละ ไม่มีใครในตอนนี้ รู้ว่า "ความจริง" ในอดีตเป็นอย่างไรแน่ชัดนัก แต่หลายคนก็พอเข้าใจและเชื่อได้ว่า "เบื้องหลังความสำเร็จของสิงคโปร์" ย่อมต้องมี "บุคคลจริง" ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังเป็นแน่แท้ และผมก็เชื่อว่าท่านผู้นั้นยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า "ลี กวน ยู" เสียอีก เพราะการที่จะทำสิ่งนี้ได้นั้น จะต้องมีทั้งความรัก, ความเสียสละ, ความอดทน, และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลอย่างยิ่ง ดังนั้น ผมจึงบอกท่านแต่แรกว่า "สิงคโปร์คือประเทศที่ถูกสร้่างมาด้วยความรัก, ความเสียสละ, ความอดทน, และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลอย่างยิ่ง" นั่นเอง ...




วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เครื่อง Sky dragon ตก เป็นลางถึงใคร?

ข่าวล่าสุดเืรื่อง เครื่อง Sky dragon ตก มาเกิดเอาช่วงชุนมุนทางการเมืองพอดี กล่าวคือ เวทีการเมืองตอนนี้ เรื่องที่น่าจับตามองมากที่สุด เห็นจะเป็น "บทบาทของดีเอสไอ" ในการจัดการคดี "อภิสิทธิ์" ด้านหนึ่งถูกมองว่า "ดีเอสไอ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อเล่นงานศัตรูของพรรคเพื่อไทย" อีกด้านหนึ่งก็ถูกมองว่า "ดีเอสไอ กำลังเคลียร์ปมค้างคาใจของประชาชน ที่มีมานาน" ทว่า ผลกระทบหลังจากคดีนี้สิ้นสุดลง อาจไม่ใช่เล็กๆ อย่างที่คาดไว้ เพราะหากฝ่ายเหลือง ขาดผู้นำแล้ว ฝ่ายแดงย่อมจะรวบอำนาจได้ทั้งหมดเพียงฝ่ายเดียว สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ "นายใหญ่" กลับบ้านอย่างไร้ความผิด อะไรประมาณนั้น ซึ่งถ้ามันเป็นแค่นั้น ผมก็มองว่า ไม่กระทบกับการเมืองไทยมากนัก ทว่า ถ้ามันไม่ใช่แค่นั้นละ? ใครบางคนอาจมองว่า แค่ให้คนๆ หนึ่งได้กลับบ้าน โดยไร้ความผิด ก็แก้รัฐธรรมนูญให้คนอื่นๆ ได้ใช้ร่วมกันด้วย (เรียกว่าต่างก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน) แค่นี้ ไม่ได้กระทบอะไรมากนัก แต่ในความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะมันมี "อีกหลายมือ" ที่รอลงเล่นหมากเด็ดๆ กันหลังจากนี้ไป เรียกว่ามันจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เราเห็นนี้อีกแล้วมันจะเปลี่ยนภาพจาก "หนังเกาหลีแบบแดจังกึม" กลายเป็น "หนังบู๊เลือดพล่าน" ไปในทันที ถ้าจะพูดให้คุณเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ทุกคนขณะนี้ "นั่งประจำที่" ให้ดีนะครับ เพราะน้ำหนักและความเป็นตัวตนของแต่ละท่าน ต่างก็คานดุลยภาพกันได้พอดีแล้ว นั่นเอง ถ้าท่านหนึ่งท่านใดขยับจากที่มาก จะกระทบเก้าอี้ของท่านอื่นๆ ไปทั้งหมดเลยครับ เรียกว่าจะเกิดการชุนมุลแล้วกลายเป็น "เก้าอี้ดนตรี" ครั้งใหญ่มั่วไปหมด ไม่รู้ใครโดนบ้าง เพราะมันเสียสมดุล นั่นเอง เหมือนเป็น การ "รุกฆาต ล้างกระดาน" ครั้งใหญ่ไปเลย ทว่า กระดานที่โดนล้างนั้น มันกระดานของไทยน่ะสิ มันจะทำให้คนที่อยู่กันในตำแหน่งใดๆ ก็ตามขณะนี้ "เปลี่ยนแปลงไปหมด" คนที่เคยสูง อาจตกต่ำ, คนที่้ต้อยต่ำ อาจทะยานขึ้นไปแทนที่ เรียกว่าเป็นพลัง "เคลื่อนย้ายดารา" ครั้งใหญ่ แต่ว่า ในทางการเมือง และถ้าคุณเป็น "สายเลือดของนักการเมือง" จริงๆ แล้ว คุณจะต้องมองให้เห็นชัดว่า ไม่มีอะไรผิดหรือถูก และไม่มีอะไรดีหรือเลวลงไปหรอก ถ้าทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิมอยู่ มันก็ดีอย่างหนึ่ง แต่ถ้ามันเปลี่ยนไป มันก็ดีไปอีกแบบหนึ่ง ก็เท่านั้นแหละ


กลับมาเรื่อง Sky dragon ตกต่อครับ ท่านเคยได้ยินเรื่องของ "บังทอง" ไหม? บังทองเป็นคนเก่งคนหนึ่ง ในยุคสามก๊ก เขาว่าเก่งพอๆ กับขงเบ้งเชียวละ และที่บังทองได้เกิด ได้รับการยอมรับจาก "เล่าปี่" ก็ด้วยบังทองตัดสินคดีต่างๆ อย่างแม่นยำ, ถูกต้อง และรวดเร็ว บังทองแกล้งไม่ทำงานอะไรเลย ไม่มีผลงานอะไรเลย จนเมื่อถูกท้วงติง ก็ทำเสร็จในฉับพลัน นั่นแหละ ความไม่ธรรมดาของบังทอง ดูแล้วก็ช่างไม่ต่างอะไรกับ "ดีเอสไอ" เท่าไรนัก ทว่า บังทองก็มาตายไปเีสียก่อนเวลาอันควร เพราะรีบร้อนสร้างผลงานเกินไป ในครั้งที่เขาเคลื่อนทัพผ่าน "เนินหงส์ตก" นั้นเอง ขงเบ้งก็ได้เตือนบังทองว่าอย่าไป แต่เขาก็ไม่เชื่อฟัง (คิดว่า ขงเบ้ง ไม่อยากให้ได้ผลงานกระมัง) เขาก็เดินหน้าต่อ แต่แล้ว สุดท้าย บังทองก็ต้องมาตาย ณ เนินหงส์ตก นั่นเอง คราวนี้ ก็มี "บางท่าน" ออกมาเตือนว่า "มีคนเล่นหมากเหี้ยม ให้ดีเอสไอ ลาออกเสีย" ผมก็มองว่าเขาพูดจริงใจนะ เพราะถ้าลาออกก็จะหลุดพ้นจากวังวนการเมือง ที่กำลังจะยิ่งร้อนแรงและทำลายไม่เว้นใครเลย เรียกว่า "รอดพ้นไป" (ถ้าคุณอภิสิทธิ์ ถูกให้ออกจากการเมือง ก็จะรอดเช่นกัน เีรียกว่า "โชคร้ายกลายเป็นดี") แล้วพอหลังจากสิ้นคำเตือนนั้นไม่นาน "Sky dragon" ก็มาตกอีก ช่างเหมือน "บังทอง" ซะยิ่งกระไร เอาละ ผมไม่ว่าใครถูกหรือผิดหรอกครับ ในทางการเมือง มันไม่มีแบบนั้น แล้วแต่ใครจะเลือกเดินทางไหน ก็ยืดอกรับผลที่จะเกิดขึ้นเองก็แล้วกัน (ผมก็คิดว่า ดีเอสไอ อาจมีความจำเป็นต้องรักษาตำแหน่งของตนไว้ก่อน เพื่อรอโอกาสทองบางอย่าง ที่ตนได้เตรียมไว้พร้อมมูลแล้ว เลยต้องยอมทำตามเขาทุกอย่าง เพื่อรักษาตำแหน่งไว้ก่อนอย่างไรละครับ) สวัสดีครับ ...



วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พลิกความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ ให้กลายเป็นแสนยานุภาพในองค์รวมได้อย่างไร?

ผมเคยได้กล่าวแล้วถึง "สงครามเย็น" ที่เดินเกมกันอย่างตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในขณะนี้ ต่อไปนี้ ผมจะกล่าวถึง "โอกาส" ที่ไทยเรามีอยู่ตามธรรมชาติ อันจะช่วยเปิดทางให้สามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่กองทัพได้ หมายความว่าอย่างไรครับ? อย่างนี้ครับ ถ้าจู่ๆ ประเทศเรา หรือประเทศไหนก็แล้วแต่ อนุมัติงบประมาณทางการทหาร หรือเตรียมเสริมกำลังให้แก่กองทัำพ "อย่างผิดปกติ หรือไร้เหตุผลสมควร" มันก็จะกลายเป็นเป้าสายตา ให้ประเทศมหาอำนาจจับตามองทันทีว่า "เฮ้ย มรึง เตรียมกองทัพทำอะไรว่ะ คิดจะทำสงครามกับใครน่ะ?" สุดท้าย สถานการณ์ก็จะแย่ลง เลวร้าย และส่งผลกระทบให้ได้รับการตอบโต้ทางนโยบายได้ เช่น ประเทศใหญ่ๆ อาจกีดกันทางการค้าด้วยมาตรการทางกฏหมายต่างๆ เพื่อกดดันให้เราเลิกสะสมอาวุธ หรือเสริมความเข้มแข็งของกองทัพ เหมือนดังที่ พม่าและเกาหลีเหนือ โดนมาแล้วนั่นอย่างไรละครับ ทว่า ไอ้การที่เราจะไม่ทำเลย มันจะได้อย่างไรละครับ? ไม่เท่ากับเราเป็นหมูให้เขามาเชือด หรือเสือร้ายมาล่ากินไปหรือครับ? ยิ่งประเทศเราผลิตข้าวและอาหารได้มากๆ ปากก็แจ้งโร่ไปบอกเขาทั่วโลกว่า "เราเป็นครัวของโลกนะ" นี่ยิ่งไปใหญ่เลยครับ ความซวยจะมาเยือนเราได้ แบบไม่รู้ตัว คือ เวลาเกิดสงครามขึ้นมานี่ เราจะกลายเป็นหมูที่ใครๆ ก็อยากเชือดก่อนเลย ถ้าใครฮุบหรือกลืนได้ ก็จะได้ "เสบียง" ไปสบายแฮไงละครับ กลายเป็นเป้าโดนเล่นงานไปเลย (ดังนั้น ตอนนี้ เสี่ย CP เลยขายหุ้น CPF และ 7 eleven ไปซะแล้วไงละครับ เพราะเขาคงไม่อยากเป็นหมูน่ะครับ) คำถามคือ แล้วทำอย่างไรดีละ ถ้าเราไม่อยากเป็นหมูรอขึ้นเขียงให้เขาเืชือด? เราจะเสริมกำลังกองทัพอย่างเปิดเผยก็ไม่ได้อีก?


นี่ไงครับ "ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้" นี่ละ ที่จะช่วยให้ชาติเรารอดทั้งประเทศ เราก็อ้่างว่าเพราะเหตุความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ ทำให้เราต้องเพิ่มงบประมาณทางการทหารบ้าง, ทำอะไรๆ อันเสริมความเข้มแข็งทางการทหารบ้าง ฯลฯ ไม่เห็นจะยากเลย แล้วก็ไม่ต้องรีบใจร้อนให้มันจบ หรือเร่งเอากองทัพไปเอาัชัยอะไรกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหรอก ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ แต่เราก็ต้องป้องกันพลเรือนของเราอย่างดี อย่างเต็มที่นะ แต่เราจะไม่รุกเข้าไปทำลายประชาชนของเรา เพราะเขาไม่ใช่ "อริราชศัตรู" นะครับ เขาคือ ประชาชนของเรา อย่าลืมตรงนี้ครับ เอาเลย อยากก่อความไม่สงบก็ทำเลย เราจะได้อ้างเป็นเหตุในการเสริมกำลังกองทัพของเรา เตรียมพร้อมกับสงครามเย็นที่เกิดขึ้นแล้วนี้ และไม่รู้ว่าวันใดจะปะทุขึ้นเป็นสงครามโลกครั้งที่สามอย่างเปิดเผย? ทำให้กองทัพและทหารทุกคนได้อุ่นเครื่อง เพราะถ้าทหารไม่ได้รบนานๆ มันก็เย็นหมด ต้องอุ่นเครื่องกันบ้างครับ อาวุธยุทโธปกรณ์อะไร ก็เอามาเลย เต็มที่ อย่าเก็ก อย่ากั๊ก เสื้อเกราะกันกระสุนเอามาเลย เต็มที่ หมุนเวียนเปลี่ยนทหารให้ได้มาที่นี่ด้วย "ทั้งกองทัพ" เพราะุ้ถ้าจะอุ่นเครื่องกองทัพ มันก็ต้องทำทั้งกองทัพ ไม่ใช่ทำแค่คนกลุ่มเดิมมันจะได้อะไร? แล้วก็อาศัยเรียนรู้การรบแบบกองโจรของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนั่นแหละ "เป็นครู" เลียนแบบเขาบ้าง เพราะคุณคงจำได้ดีนะว่าเวียดนามชนะอเมริกาที่มีวิทยาการทันสมัยกว่าได้อย่างไร? จะให้สู้กันแบบ "ซื้อบื้อ" ก็คงไม่รอดหรอกครับ มันจำเป็นต้องใช้ยุทธวิธีแบบกองโจรหรือการรบแบบนอกตำราดูบ้าง และในเมื่อมันเป็นของนอกตำรา มันก็หาเรียนในห้องไม่ได้ นอกจากจะลงพื้นที่จริงละครับ นั่นหละ จึงจะได้ฝึกฝนตนเองอย่างแท้จริง เอาละ ผมบอกหมดแล้ว เท่ากับเผยไพ่ไปหมด ก็แน่นอนว่า "มันย่อมใช้การไม่ได้อีก" แต่ผมเผยไพ่ให้ท่านดู เพราะเชื่อว่่า "ท่านมีปัญญามากๆๆๆ" ที่จะคิดอะไรได้ดีกว่านี้อีกเยอะแยะ "เสียไพ่ไปสักใบหนึ่ง" ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรท่านหรอกครับ จบ!


   

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Propaganda แบบไหนที่ "จีน" จะใช้ล้างสมองชาวเอเชีย?

ยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดอย่่างหนึ่งในการทำสงครามเย็นเพื่อ "การกลืนเงียบ" คือ "การใช้อิทธิพลสื่อครอบงำ" ล้างสมอง ทำให้เชื่อในสิ่งใหม่ ตามที่ตนต้องการ และเป้าหมายของการล้างสมองชาวเอเชียก็คือ "การสร้างประวัตศาสตร์ใหม่ของโลก" ถึงที่มาของมนุษย์กันเลยทีเดียว (ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายอเมริกาเลยทำหนังเรื่อง โพรมีธีอุส ขึ้นมาส่งสัญญาณเตือนว่า "การค้นหาต้นกำเนิดของมนุษย์" นั้น จะทำให้ตัวแกเองแหละ ได้รับความตาย คอยดูสิ หนังโพรมีธีอุส จึงมีเนื้อหาออกมาในเชิงว่ายิ่งมนุษย์อยากรู้ที่มาของตนเอง (ว่าตนเองมีกำเนิดมาจากไหน) ก็จะยิ่งนำพาตัวเองไปสู่ความตาย (โดยการให้สัตว์ประหลาดต่างดาวออกมาไล่ล่าตัวเอกในเรื่อง ที่กำลังค้นคว้าหาความจริง) นี่คือ "การตอบโต้ด้วยอิทธิพลสื่อ" อันเป็นหนึ่งใน "ยุทธศาสตร์สงครามเย็นแบบกลืนเงียบ" ที่ต่างก็ใช้สื่อเล่นงานกันไปมา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การ "ช่วงชิงความเชื่อจากมวลชน" นั่นเอง หมายความว่า ถ้ามวลชนในโลกเชื่อข้างไหนมาก ข้างนั้นก็จะเป็นฝ่ายชนะ อนึ่ง การที่จีนเล่น "ประวัติศาสตร์" เพราะอะไร? เพราะในโลกนี้ ประเทศที่มีการนับประวัติศาสตร์ของตนย้อนหลังไปยาวนานที่สุด และได้รับการบันทึกไว้ เห็นจะไม่มีใครเกินประเทศจีน (ถ้าไม่รวมเมืองโบราณอย่างเช่น กรีกที่ท้าวความถึงขั้นกำเนิดโลกกันเลย) ในเอเชียนี้ประเทศจีนมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ "เริ่มสร้างโลก" ก็จะมีเทพเจ้าต่างๆ ลงมาสร้างไว้ จากนั้น ก็เริ่มมีมนุษย์, เริ่มมีสังคมมนุษย์ แล้วจากสังคมมนุษย์ก็เริ่มมีรัฐ ขึ้นมาครั้งแรก (ยังไม่ใช่ประเทศนะครับ ขอบเขตยังหลวมๆ เปลี่ยนแปลงได้ไม่เคร่งครัด) โดยเริ่มนับตั้งแต่ปฐมกษัตริย์องค์แรกของจีนที่ว่ากันว่ามีเชื้อสายมาจาก "มังกร" หรือเป็นเผ่ามังกรมาเกิด กันเลยทีเดียว นอกจากนี้ จีนได้จัดการวรรณกรรมต่างๆ ที่เห็นว่ามีผลกระทบต่อความมั่นคง เช่น วรรณกรรมของกิมย้ง ซึ่งเขียนเกี่ยวกับ "จอมยุทธ์" หรือ "นักการเมือง" ที่เคลื่อนไหว ก่อการ ก่อตัว รวบรวมผู้คน อยู่นอกระบบ อันจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองได้บ่อยๆ เมื่อจีนได้ควบคุมสื่อเรียบร้อยแล้ว เราจึงไม่เห็นหนังกำลังภายใน สร้างและฉายกันอย่างเสรีอีก รัฐบาลจีนได้เข้ามามีบทบาทในการสร้างหนังเอง ลงทุนเอง และกำหนดเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ เอง ไม่ใช่แต่เพียงหนัง เ่ท่านั้น ยังมีสื่ออื่นๆ อีกมากมาย เช่น เกมคอมพิวเตอร์, เกมออนไลน์ ฯลฯ ที่แทรกคติความเชื่อ เรื่องการกำเนิดโลก, กำเนิดชนชาติ, กำเนิดประเทศจีน ฯลฯ เป็นต้น และถ้าต่อเรื่องราวมาอีกหน่อยว่าหลังจากนั้น ชาวจีนก็แพร่ขยายออกไปทั้งเอเชีย เรียกว่า กลุ่มคนไต บ้าง มาอยู่เมืองไทยบ้าง เวียดนามบ้าง อย่างนี้ไม่เท่ากับกำลังจะบอกว่าบรรพบุรุษคนไทยเป็นคนจีนไปเลย ซึ่งถ้าทำให้เชื่อเช่นนี้ได้ มันก็จะง่ายต่อการ "กลืนเงียบ" แล้ว ใช่ไหมละครับ เพราะประวัติศาสตร์ไทยเรา ย้อนหลังไปได้ไม่ถึง ๑,๐๐๐ ปี นัก คำถามมันก็เกิดขึ้นแล้วว่า "ก่อนหน้า ๑,๐๐๐ ปีละ เราเป็นใครอยู่ไหน?" ถ้ามีคนจีนมาตอบให้เราว่า เราก็คือเชื้อสายของชาวจีนที่อพยพมาละ ด้วยเพราะประัวัติศาสตร์จีนได้ค้นพบและบันทึกเอาไว้ มีหลักฐานมากมาย อย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ เต็มไปหมด ไม่เชื่อก็ไปดูที่ "พิพิธภัณฑ์ลูกหลานแดนมังกร" ได้ ที่สุพรรณบุรี จะได้ทราบว่า "บรรพบุรุษชาวสุพรรณบุรี" ไม่ใช่พระนารายณ์องค์เล็ก องค์เก่าเสียแล้ว กลายเป็น "มังกรยักษ์" ที่ล้อมศาลหลักเมืองไปเรียบร้อยแล้ว แล้วไอ้ที่พูดเหน่อกันนี่ มันเป็นไผ๋กันละ? อีกหน่อยก็คงไม่มี!


เห็นไหมละครับ เขามาแล้ว ทำแล้ว และวางตัวหมาก ตัวกระทำ ไว้เรียบร้อยหมดแล้ว อีกหน่อยก็จะเอา "หมากที่ใช้แล้วทิ้ง" มาทำลายสถาบันกษัตริย์ซะ ที่นี้ ประวัติศาสตร์ชาติก็ถูกตัดแต่รากถอนโคนไปหมด จบเห่เลย เราไม่มีประวัติศาสตร์แบบนั้นแล้ว แบบพระนารายณ์มาเกิดเป็นกษัตรย์น่ะ หมดเกลี้ยง จากนั้น เขาก็จะเอา "หมากขุนตัวใหม่" นักวางยุทธศาสตร์ความเชื่อ "ว่าบรรพบุรุษไทยคือชาวไต ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากคนจีน" มาวางรากฐานความเชื่อ สอนพวกเรา ล้างสมองพวกเรา แล้วก็จะเอา "เทพมังกร" มาแทน เป็นบรรพบุรุษเรา เป็นโคตรพ่อ โคตรแม่เรา ฮ่าๆๆ เป็นไงละครับ ยุทธการกลืนเงียบ ไอ้เราก็ชอบอยู่แล้วด้วยสิ ซึ่งคงไม่ใ่ช่แต่เรา ประเทศไทยหรอก ใครที่เหมือนๆ จีนหน่อย มันก็ง่าย โดนกลืินไปหมดแล้ว เช่น ธิเบต, ฮ่องกง อีกหน่อยก็ ไต้หวัน, เวียดนาม, พม่า, ลาว, กัมพูชา ฯลฯ มันก็ไม่ยากหรอก ประเทศเหล่านี้ พร้อมยอมรับอยู่แล้วนี่ครับ ทีนี้ เรามาดู "หนังจีน" กันหน่อยว่าเดี๋ยวนี้ มันเปลี่ยนไปอย่างไร แค่ไหน? เช่น หนังเรื่อง The promise อันนี้ เนื้อหามี "คนใส่หน้ากากไปฆ่ากษัตริย์" ด้วย เป็นไงละ เรื่อง "เทพกระบี่พิชิตมาร" อันนี้ สุดยอด ผมก็ชอบสุดๆ เลย ในนั้นก็มีเนื้อหาหลักธรรมของเต๋า แทรกอยู่เต็มไปหมด (สังเกตุว่าจีนคอมมิวนิสต์ตอนนี้ ให้น้ำหนักกับเต๋ามากกว่าลัทธิขงจื้อนะครับ อาจเป็นเพราะว่าเต๋าเป็นรากฐานของลัทธิขงจื้ออีกที) เขาจะเน้นมากเรื่อง "เจ้าแม่หนี่วาสร้างโลก" แล้วเจ้าแม่หนี่วาเป็นใคร ถ้าไม่รู้ก็ตอบง่ายๆ คือ "คนจีน" นั่นแหละ รู้แค่นี้ ตอบถูกแล้ว ดังนั้น "โลกจึงเป็นสมบัติของคนจีน" ไงครับ ง่ายดีไหม? แต่ว่าอย่าเพิ่งไปดูถูกเนื้อหาเรื่องราวเขาก่อนละ เพราะมันมีสัจธรรมความจริงบางอย่างอยู่ เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ได้นำไปสู่ปัญญา แต่มันอาจถูกนำมาใช้เพื่อ "ล้างสมอง" และ "สร้างความเื่ชื่อใหม่" ให้คนคล้อยตามว่า "ไทยและประเทศอื่นๆ ในเอเชียเป็นส่วนหนึ่งของจีน" ก็แค่นั้นเอง เอาละ วันนี้ แค่ให้ข้อสังเกตุในสื่อต่างๆ ที่มาจากประเทศจีน จริงๆ แล้วมันสนุกและมันมาก (แหม ถ้านั่งดูหนัง ก็ได้อารมณ์ อินกันสุดๆ) เพราะยังมี "สื่อจากประเทศอื่นๆ" เช่น เกาหลี ที่เก่งเรื่อง "การปั้นแต่ง, เสริมแต่ง" ประวัติศาสตร์ของตัวเองมาก คงเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระจากจีน นั่นเอง แล้วเราละ ยังมีหนังเก่าย้อนไปได้อย่างมากแค่ยุคของพระนเรศวรเท่านั้นเอง หนังจักรๆ วงศ์ๆ ของเรา พวกนิทานปรัมปรานั้น มีมานานแล้ว แต่มันอาจหมายถึง "ประว้ัติศาสตร์ที่เล่าเป็นนิทาน" สอนลูกหลานให้จดจำ มาแต่ครั้งยุคก่อนประวัติศาสตร์ "สุโขทัย" ก็เป็นได้! (แต่มันคงได้ผลแต่กับเด็กที่โง่ๆ ซื่อๆ หรือเอ๋อไปเลย ที่เชื่อนิทานว่าเป็นความจริงเท่านั้น!) เอาละ ในบทความฉบับหน้า เราอาจจะได้มาวิจารณ์กันเรื่อง "สื่อ" กัน โดยเฉพาะ "หนัง" ของประเทศอื่นๆ เช่น หนังของเกาหลี, ฮ่องกง, ไต้หวัน ฯลฯ กันบ้าง สำหรับบทความฉบับนี้ นั้น ขอจบลงเท่านี้ สวัสดีครับ ...



วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จัดการ "ทักษิณ" แล้วจะดีกับประเทศไทยจริงไหม?

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกจับจ้องว่า "มีสายสัมพันธ์กับประเทศจีน" และทำงานให้กับพวกคนจีน (เหตุการณ์คล้ายยุค พระเจ้าตากสิน ครั้งที่ติดหนี้คนจีน ทำให้คนจีนอาศัยโอกาสครอบงำไทยได้ จนต้องหาวิธีปลดพันธนาการนั้นด้วยการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน) และถูกสงสัยว่าอยู่เบื้องหลังรัฐบาลและเป็นผู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายอย่าง คำถามคือว่า "จัดการเขาแล้วจะทำให้ประเทศ ไทยดีขึ้นจริงหรือไม่?" ผมคิดว่าคงมีหลายๆ คนในประเทศไทยที่คิดอย่างนั้น ไม่สิ ไม่เพียงแต่คิด ทั้งยังลงมืิอทำไปแล้วด้วยหลายครั้ง แต่อาจยังไม่สำเร็จ นั่นคือ การคิดแบบลวกๆ หรือทำแบบลวกๆ ครับ ยังไม่สุขุมรอบคอบพอ เพราะอะไรครับ? เพราะจีนวาลแผนครองอำนาจในเอเชียอยู่แล้ว ต่อให้เรากำจัดคุณทักษิณได้ จีนก็จะหา "ตัวหมากตัวใหม่มาเล่น" และหมากตัวนั้น ถูกสงสัยว่าจะเป็น "คุณบรรหาร" อดีตนายกไทยอีกคนหนึ่ง นั่นเอง นั่นคือ "หมากเบอร์ที่ ๑" ถัดจากนั้นยังมีหมากรองที่ถูกสงสัยว่าจะเป็นตัวหมากตัวต่อไปของคนจีน เช่น "คุณเนวิน" ฯลฯ เอาละ ผมไม่อยากสงสัยมาก อย่าลืมครับ ว่ามันเป็นแค่การสงสัยเท่านั้น คนเราทุกคนสงสัยกันได้ ไม่ใช่การหมิ่นประมาทเลยแม้แต่น้อย ทีนี้ ผมจะอธิบายต่อไปว่า "ถ้าจัดการคุณทักษิณ" แล้วจะกระทบต่อภาพรวมของ "การเมืองในภูมิภาคเอเชีย" อย่างไร?


กล่าวคือ ผมสงสัยว่า ไทยก็ไม่พ้นการครอบงำของจีนอยู่ดี จีนจะหาตัวหมากใหม่มาแทนที่คุณทักษิณทันที ซึ่งก็ไม่ยากเลย (มีไพ่เต็มมืออยู่แล้ว) ดังนั้น เราจะต้องเจอตัวหมากใหม่, กลยุทธ์ใหม่ และอะำไรๆ ที่เราไม่คุ้นเคยและเราต้องมาปรับตัวใหม่อีกมาก ตอนนี้ เราคุ้นเคยกับการเดินหมากตัวนี้ (คุณทักษิณ) แล้ว เรารู้ว่าเขาเดินอย่างไร ก็ดีแล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนตัวหมากใหม่ กลยุทธ์ใหม่ เราเองอาจได้รับผลกระทบหรือปัญหาที่มากขึ้นกว่าเก่าก็ได้ โดยเฉพาะ "อำนาจขั้วอเมริกา" จะครอบงำไทยทันที หลังสายป่านข้างคุณทักษิณขาด เพราะอะไร? เพราะทั้งอเมริกาและจีน ต่างก็จ้องครอบงำไทยอยู่แล้ว ถ้าแขนข้างใดข้างหนึ่งขาดไป อีกข้างก็จะกลายเป็น "ผู้ผูกขาด" ประเทศไทย ไปทันที นี่แหละ คือ ปัญหาที่ร้ายกาจกว่าที่คุณจะคาดคิดได้ ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดของไทยคือ "ควรเก็บทั้งแขนขวาและแขนซ้ายเอาไว้" เพื่อคานอำนาจกันและกัน นี่จึงดีที่สุด และเพื่อที่เราจะเล่นเกมคานอำนาจนี้ให้ได้ผล มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง เราจึงจะต้อง "มีผู้อยู่ตรงกลาง" ที่มีบารมีมากพอที่จะช่วยในกระบวนการถ่วงดุลอำนาจของแขนทั้งสองข้างนี้ให้ได้ ด้วยวิธีนี้เอง เราจึงจะรอดจากวิกฤติการเข้ามาแผ่อิทธิพลของ "สองอภิมหาอำนาจ" ที่ยิ่งใหญ่ของโลก ท่านเอ๋ย ที่ผมเขียนอยู่นี้ ไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่เพื่อ "ทั้งหมดทั้งมวล" เพราะมันจะมีผลต่อทั้งอาเซียน ทันที ที่ประเทศไทยไม่อาจคานอำนาจสองฝ่ายนี้ได้ กลไกลมันจะเกิดการขับเคลื่อนทันที เมื่อใดที่ประเทศไทยอันเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ถูกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งครองได้แล้ว เขาก็จะเดินเกม "สงครามในแบบของตน" ทันที และเมื่อนั้น "อาเซียนจะลุกเป็นไฟ" และตามมาด้วยการเกิดผลกระทบไปทั่วโลก ดังนั้น อย่าคิดสั้นๆ อย่าทำอะไรลวกๆ ควรมีความสุขุมรอบคอบให้มากเข้าไว้ เพราะสถานการณ์ไม่สู้ดี ท่านเอ๋ย ผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเองหรือใครคนใดคนหนึ่ง นี่คือ สัจจริง ไม่ใช่การสร้างภาพ พูดสวยหรูแต่ปาก แต่การกระทำขัดแย้งก็หาไม่ โปรดไตร่ตรวงดูให้ดีเถิดว่าสิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ "มีเหตุผล มีน้ำหนัก" มากน้อยเพียงใด สำหรับบทความฉบับนี้ ขอจบลงแต่เพียงเท่านั้นครับ...



วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"ฉีกหน้ากากกบฎ" กบฎตัวจริงคือใครกันแน่?

ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่นำโดย "ผังเจียน" (ผมขอเรียกคนๆ นี้ ตามอดีตชาติของเขา ที่ผมระลึกได้ เพราะชื่อปัจจุบัน เอ่ยไม่ได้ครับ) คนกลุ่มนี้ มีมิจฉาทิฐิฝังหัวอยู่เสมอว่า "ประชาชนที่แสดงความคิดเห็นทางการเมือง คือ ภัยต่อความมั่นคง" และคอยใช้อำนาจบาตรใหญ่ "ใส่ร้าย" ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่เคยออกไปชุมนุมประท้วง ได้แต่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยสันติ ทางอินเตอร์เน็ต ว่าเป็น "ภัยต่อความมั่นคงของชาติ" ทั้งๆ ที่พวกเขาเหล่านี้ "ล้วนมีจิตอาสาทำเพื่อประชาชนโดยไม่หวังผลตอบแทน" ไม่ต่างจาก "มหาตมะ คานธีร์" ที่เคยขับเคลื่อนประเทศอินเดียโดยสันติวิธี ไม่ใช่ความรุนแรง แต่ก็ยังไม่วายโดนคนพวกนี้ก็ยังใส่ร้าย ให้คนมากมายเชื่อได้ว่า ประชาชนผู้บริสุทธิ์และเสียสละเหล่านั้น คือ "ภัยต่อความมั่นคงของชาติ" ทั้งยัง เรียก "นายกยิ่งลักษณ์" ไปคุย กรอกหู และยัดเยียดข้อมูลตอแหล ให้นายกเชื่อว่า "ประชาชนผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ คือ ภัยต่อความมั่นคงของชาติ" แต่ว่า นายก เขาก็ไม่เคยเชื่อหรอก เพราะถูกบังคับ จึงจำเป็นต้องเออออ เข้าไปฟัง ถูกบังคับให้ออกมาทำงาน เรื่องปัญหาภัยต่อความมั่นคง ที่นอกเหนือจากสามชายแดนใต้ (เรื่องปัญหาชายแดนใต้ ก็ยังแก้ไม่ได้ ทั้งศัตรูทางการเมืองของตัวเอง มันก็ยังจัดการไม่เรียบร้อย มันยังเสือกก่อศัตรูเพิ่ม นี่ละครับ "สันดาน" ของผังเจียน เวลายกทัพไปตีศัตรูถึงได้ถูกซุนปินตลบหลังอยู่ตลอด สุดท้าย ก็ตายไม่ต่างจากหมาตัวหนึ่ง) เปลือกนอกของผังเจียน ถูกกำหนดให้มาทำงานด้านการสร้างสัมพันธไมตรี ดูดีมากครับ นั่นเพราะอะไร เพราะเขาต้องแก้ไข จุดเสียของตนเองตรงนี้ให้มาก เขาเป็นคน "ไม่จริงใจกับใคร" ไปเข้าหาใคร เปลือกนอกก็ดูดี เหมือนรักกันมาก แต่ใจจริงมันตรงกันข้ามครับ ไปทำดีกับคนจีน แต่ใจมันเกลียดคนจีนเข้าใส้ ไปทำดีกับคนลาว แต่ใจก็ไม่เคยเห็นคุณค่าที่แื้ท้จริงของคนลาว คือ มันก็ทำไปอย่างนั้นเอง แสดงละครได้ดีเลยมีภาพลักษณ์ดี คนชอบเยอะครับ


ทีนี้ พอมันมีอำนาจมากๆ เพราะ "พ่อมันป่วย" แล้วหาคนทำงานให้พ่อมันไม่ได้ พ่อมันไม่ไว้ใจใคร มันก็เลยได้อำนาจ มาสั่งการ นั่น โน่น นี่ สารพัด ไม่สนใจใครจะคิดอย่างไร มันก็มาตามมิจฉาทิฐิของมัน มันคิดวางแผนที่จะจัดการกับ "ประชาชนผู้บริสุทธิ์" ที่แสดงความคิดเห็นอย่างสงบตามระบอบประชาธิปไตย   โดยการใส่ร้ายว่าเป็น "ภัยต่อความมั่นคง" ครับ นั่นแหละ สันดานของผังเจียน กี่ชาติก็แก้ไม่หาย คุณคิดดูนะ ประชาชนเขาอุตส่าห์ ไม่ออกไปเดินขบวน ไม่ไปชุมนุมสร้างความเดือดร้อนให้ใคร เขาใช้สิทธิ์แสดงความคิดเห็นทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย แต่มันยังอาศัย "หน้ากากผู้ดี" อาศัยว่ามีคนเชื่อว่ามันเป็นคนดีมาก (ภาพลักษณ์มันดีครับ) มันก็เลยครอบงำ กล่อมประสาท ทำให้คนเชื่อ ตามๆ มันไปว่า "ประชาชนที่แสดงออกทางความคิดเห็น" คือ "ภัยต่อความมั่นคงไป" มันจะเป็นภัยต่อความมั่นคงไปได้อย่างไรละครับ? ตรงกันข้าม มันคือ "เสาหลักแห่งความมั่นคงของประชาธิปไตย" เลย และอย่าลืมครับ อย่าหลงเพ้อครับ ตื่นได้แล้วครับ อย่าอินกับอดีตที่ผ่านไปแล้วมากไป ประเทศของเรา หมดยุดที่เป็น "ระบอบเจ้าขุนมูลนาย" ไปนานแล้วครับ ตื่นได้หรือยัง? หรือยังฝันเฟื่องลอยลมกันอยู่อีก? จะทำให้ประเทศมันถอยหลังลงคลอง แล้วพวกเราต้องไปเป็นขี้ข้า ไปเป็นทาส เช้ามาตื่นมากราบตีนเจ้าขุนมูลนายกันอีกหรือครับ? พอแล้วครับ เราโดนกันมาเยอะแล้ว พระไทยท่านก็สอน "ให้อยู่กับปัจจุบันนะลูกนะ" ไม่ให้ไปหลงยึดติด อาลัยอาวรณ์อะไรกับอดีตที่มันสิ้นไปแล้ว เราเป็นประชาธิปไตยแล้วในปัจจุบัน ดังนั้น การที่ประชาชน ไม่ไปชุมนุมประท้วง แต่แสดงความคิดเห็นทางการเมือง ผ่านสื่อต่างๆ โดยสงบนั้น คือ "รากเหง้าและเสาหลักของประชาธิปไตย" ครับ ดังนั้น สิ่งที่ผังเจียนทำ ก็คือ "การใส่ร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์" ที่กำลังสร้างรากฐาน สร้างความมั่นคง ให้กับประชาธิปไตยไทย กำลังสร้างภูมิปัญญาให้กับมวลชนคนไทย และกำลังกลายเป็น "เสาหลัก" ที่ยืนหยัดด้วยอุดมการณ์แห่งประชาธิปไตยเต็มร้อยครับ นั่นคือ "ผังเจียนต้องการล้มเสาหลักประชาธิปไตย" จับประชาชนผู้บริสุทธิ์มายัดเยียดข้อหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็น "กบฎ" เพราะกำลังคิดการณ์ใหญ่ ล้มล้างระบอบประชาธิปไตยครับ เพื่ออะไร? เพื่อให้ประเทศถอยกลังลงคลองกลายเป็นระบอบเจ้าขุนมูลนายไงละครับ ดังนั้น เขาจึงสั่งใช้ ปชป. ให้มาไล่จับเว็บไซต์ต่างๆ ถามว่า "เว็บไซต์เหล่านี้" ผิดหลักประชาธิปไตยไหม? ไม่เลยครับ ตรงข้าม มันคือ การแสดงออกอันจะนำไปสู่ความเ้ข้มแข็งของประชาธิปไตย แต่พวกเขาก็ยัง "ใส่ร้าย" ป้ายสีว่าคนเหล่านี้เป็นภัย? ถามว่าเป็นภัยต่ออะไรกันแน่? มันไม่ใช่ภัยต่อประชาธิปไตยแน่นอนครับ แต่มันอาจเป็น "ภัยต่อพวกที่กำลังกบฏต่อประชาธิปไตย" เท่านั้นเองครับ สมัยก่อน พวกกบฏพวกนี้ ต้องถูกประหารเจ็ดชั่วโคตรครับ แต่สมัยนี้เราเป็นประชาธิปไตยแล้ว เราไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ เราก็ได้แค่ "แสดงความคิดเห็น" ให้ท่านผู้อ่านที่ "น่าจะมีปัญญามาก" ไม่น้อย ดูกันเอาเองครับว่าใครกันแน่ที่เป็น "ภัยต่อความมั่นคงของชาติ" ขอท่านผู้อ่านอย่าได้ยึดติดตัวบุคคล เปิดใจให้กว้าง ใช้เหตุผลให้มากครับ



วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สงครามเย็น การปฏิรูปสีเจี้ยนผิง เปาบุ้นจิ้น 2012

ผมได้แจ้งให้ท่านทราบแล้วว่า "จีนเดินกลยุทธ์สงครามเย็น" และ อเมริกาเดินกลยุทธ์ "สงครามไฟ" ต่างกัน อย่างนี้ ชัยชนะ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสร้างสถานการณ์ให้เอื้อต่อกลยุทธ์ของตนเองได้มากกว่ากัน ก็เท่านั้น เช่น ถ้าทำให้เกิดสงครามไฟ เปิดเผยได้ อเมริกาก็ได้เปรียบ แต่ถ้าไม่ให้เกิดได้ ก็เข้าสู่สงครามเย็นต่อไป จีนก็ได้เปรียบ ดังนั้น "จีนจึงไม่มีนโยบายทำสงครามเปิดเผย" มีแต่สงครามเย็นแบบลับๆ เท่านั้น (และเป็นเหตุให้ อเมริกาตอบโต้กลับด้วย HAARP ก่อให้เกิดภัยพิบัติที่ไม่ไ่ด้เกิดจากธรรมชาติที่แท้จริง เพราะเป็นการลอบกัดเหมือนกัน) ด้วยเหตุนี้ จีนจึงมุ่งเน้นกลยุทธ์ สร้างความเข้มแข็งจากภายใน และ "กัดกร่อนภายนอกอย่างช้าๆ" เป็นกลยุทธ์ "น้ำกรดแช่เย็น" และเพื่อให้กลยุทธ์เข้มแข็งจากภายในสำเร็จดั่ง "ซางหยาง" ที่เคยปฏิรูปรัฐฉินจนทำให้ชาติที่ยากจนกลายเป็นมหาอำนาจไปแล้ว จึงมีการกวาดล้างและเช็คบิลกันยกใหญ่ ดังที่ท่านได้เห็นข่าวว่านักการเมือง, ผู้มีอำนาจของจีน มากมายที่โดนเล่นงานแบบเรียงหัวกันไปเลย ออกข่าวแทบไม่เว้นแต่ละเดืิอน เดี๋ยวคนนั้นคอรัปชั้น เดี๋ยวคนนี้มีเรื่องฉาวโฉ่ ฯลฯ นั่นแหละ ผมจึงเรียก สีเจี้ยนผิง ว่า "เปาบุ้นจิ้น 2012" มาลงดาบเล่นงานพวกอำนาจเก่าให้หมดไป เพื่อเปิดทางให้กลุ่มอำนาจใหม่ขึ้นมา เปลี่ยนโครงสร้างผู้มีอำนาจจากเดิมที่มาจาก "เชื้อสาย" ให้เป็นมาจาก "ความสามารถ" อันเป็นสิ่งที่สีเจี้ยนผิง "เก็บกดมานานแล้ว" (ไม่ต่างจากเปาบุ้นจิ้นที่เก็บตัวเฝ้าสุสานบิดาเป็นสิบปีเลยครับ) เอาละ แม้ว่าเขาจะไม่สำเร็จถึงที่สุด แต่ไม่้ต้องกลัวครับ แค่ทำให้คนเก่าที่ไม่ไ่ด้เรื่องออกไปซะ เปิดทางให้คนใหม่ๆ ดีๆ เข้ามาแทนที่ได้ เท่านั้น ก็ยอดเยี่ยมแล้ว ถ้าเขาเดินหมากต่อไม่ได้ ก็จะมี "มือใหม่มารับช่วงต่อ" แน่นอนครับ รับรองว่าสภาคอมมิวนิสต์จีน "ไม่ขาดคนมีความสามารถแน่นอน" อันนี้รับรองได้ว่า "เสือซุ่มมังกรซ่อน" ยังมีอยู่ในนั้นอีกมากมายครับ (อย่าประมาทไปเชียว) เพราะอะไรหรือครับ? เพราะเบื้องหลังประธานาธิบดี ยังมีคนที่มีอำนาจมากกว่าที่ไม่แสดงตัวออกมาอีก อย่างไรละครับ คนเหล่านี้ คอยคัดเลือกสรรหา "ประธานาธิบดี" ที่เหมาะสมกับจีน มาสานต่องานต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด คนจีนเก่งๆ ก็ถูกจัดสรรให้ไปบำเพ็ญบารมี ฝึกตนอย่างหนัก อดทนแล้วรอไว้ ถึงวาระ เวลาของตนเมื่อไร พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็จะค่อยๆ ปั้นให้จนถึงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ครับ


นั่นคือ ระบบพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่แตกต่างจากระบอบประชาธิปไตยของอเมริกา ดังนั้น เมื่อเขาเตรียมเข้าสู่ยุคสงครามเย็นเต็มรูปแบบแล้ว ใครบ้างละที่จะเตรียมพร้อมกับกระแสนี้? ก็มี ๑. พม่า ครับ อย่าดูถูกประธานาธิบดีคนปัจจุบันเด็ดขาด คนนี้ไม่ธรรมดา เขากำลังปฏิรูปโครงสร้างอำนาจภายในอยู่ครับ เพื่อให้มีแต่พวก "หัวก้าวหน้า" มาทำงาน เอาพวกหัวอนุรักษ์นิยมออกไป ทั้งยังเปลี่ยนสายป่านจากจีนอย่างเดียว มาเป็น "คานอำนาจจีน-อเมริกา" นี่ไม่ธรรมดาเลยครับ เพราะสิ่งเหล่านี้ที่ผมพูดมาทั้งหมด "มันยากมากครับ" สำหรับพม่านะ ถ้าคุณเป็นคนพม่า จะรู้ว่ามันตึงเครียดแค่ไหน ที่มีหลายชนเผ่า แต่ละชนเผ่าก็มี "กองกำลังทหารของตัวเองทั้งนั้น" อยู่รายรอบเต็มป่าไปหมด แต่เขาทำได้ขนาดนี้ ในเวลาอันสั้น ผมจึงประมาทเขาไม่ได้เลยครับ ๒. สิงคโปร์ ตอนนี้ กำลังวางรากฐานของตนเองให้มั่นคงยิ่งขึ้น และสร้างความแตกต่างให้ชัดเจนจากประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เช่น มุ่งเน้นการเป็นธนาคารแห่งอาเซียน (นายทุนแห่งอาเซียน) ในขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นส่งเสริมด้านศิลปะวัฒนธรรมอันเป็นสิ่งที่เขาขาด เป็นจุดอ่อนของเขาครับ นับว่า "สอบผ่านเต็ม ๑๐๐%" ส่วนเวียดนามยังบ้าคลั่งแข่งขันกับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว มั่วไปหมดจนงงเอง ตอนแรกก็ดีกับจีน เอาแผนเขามาเล่นงานไทยด้วยการกดราคาข้าวแข่งกับไทย ตอนนี้ไปตีกับจีนต่อเรื่องข้อพิืพาทเขตชายแดน ดูสิ ว่ามั่วแค่ไหน? บางทีก็ก้อปความคิดคนอื่นมาทำ มั่วไปหมด แต่ก็ขอชื่นชมว่า "เขาทำเร็ว และทำจริง" เพียงแต่ต้องใจเย็นๆ นิ่งๆ แล้วให้มันแม่นๆ หน่อย ไม่มั่วแบบนี้ เอาละ ประเทศอื่นๆ ก็ก้าวไปไกลแล้ว แต่ไทยเรายังมีปัญหาอีกมาก อาเซียนกำลังรวมเป็นตลาดเดียว มันก็ไม่ต่างจากการที่ปลาน้อยในแต่ละบ่อ ต้องกลายเป็นบ่อเดียวกัน เมื่อนั้น "ปลาใหญ่ก็กินปลาเล็กได้สบาย" ละครับ (เพราะแม้แต่กำแพงภาษีเราก็ไม่มี ที่จะป้องกันตัวเองได้นี่ครับ สินค้าเขามาราคาไหน ไม่มีบวกภาษี ราคามันก็ถูกแน่นอน ทีนี้ละ นายทุนเรากระอักแน่) เราเตรียมตัวพร้อมหรือยัง? ลองคิดดูนะครับ...







วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปลดคุณอภิสิทธิ์ ดีต่อคุณยิ่งลักษณ์หรือคุณทักษิณกันแน่?

ขณะนี้คุณอภิสิทธิ์กำลังโดนเล่นการเมืองอย่างหนัก และกำลังพ้นสภาพความเป็น ส.ส. เพราะศาลชี้มูลความผิดแล้ว คำถามก็ึคือ "การปลดคุณอภิสิทธิ์" นั้น มีผลดี ผลเสียต่อใครบ้าง อย่างไร? ผมจะแฉละครับ


สิ่งที่ึคุณอภิสิทธิ์ทำคือ "สะกัดกั้นไม่ให้คุณทักษิณกลับมาอีก" เพราะอะไร? เพราะถ้าเขากลับมา เขาก็จะกลายเป็น "หมายเลขหนึ่ง" คนเดียว ไม่มีอื่น แต่ถ้าเขาไม่กลับมา มันก็จะมีตัวเลือกอยู่แค่ ๒ ตัว เบื่อพรรคเพื่อไทย ก็กลับมาเอาคุณอภิสิทธิ์ ผลัดกันถืออำนาจไปคนละสมัย สบายตายชัก ทำงานไป ๔ ปี พักไปนั่งคิด ปล่อยให้อีกฝ่ายทำให้เหนื่อยบ้าง พอหายเหนื่อยแล้ว ก็กลับมาเป็นรัฐบาลใหม่ ว้าว ความคิดสุดยอด ใช่ไหมละ ฮ่าๆๆ (มีมากกว่านี้อีก แต่ขอไม่แฉนะจ๊ะ ในฐานะที่เขายังไม่ล่วงเกินเรา) ดังนั้น การเดินเกมของฝ่ายค้าน จึงเดินแบบสบายๆ รอให้คนเบื่อรัฐบาล (ซึ่งมันก็เบื่อกันอยู่แล้ว นิสัยคนไทยน่ะจ๊ะ) ไม่ต้องเหนื่อยอะไร เดี๋ยวมันก็แกว่งกลับมาเอง คุณยิ่งลักษณ์ก็ได้พัก ๔ ปี ผลัดกันไปมาอย่างนี้ สบายทั้งคู่ เรียกว่า "สองคนนี้ฮั้วะกันนัยๆ นะเว้ย" ทว่า "นายใหญ่" ก็รู้นะจ๊ะ ดังนั้นนายใหญ่เลยเดินเกม "ตัดหมากขุน" แม่งซะเลย อยากไม่ให้กูกลับบ้านมึงเล่นกับกูอย่างนี้เหรอ กูก็เอามึงมั่งปลดออกซะเลย (ซึ่งก็มีทางทำได้อยู่แล้ว) ดังนั้น เมื่อ "ฝ่ายเหลือง" ไร้หมากขุน มันก็เดี๊ยงทั้งกระดานนะสิ ทำไงต่อไป ทีนี้ละ มันก็จะเริ่มซัดกันนอกกระดาน เอาแบบ "นักเลงข้างถนน" แล้วโว้ย เพราะมันเป็นการ "รุกฆาต" ที่ร้ายกาจมากนั่นเอง


ผลร้ายตามมาที่แน่นอนคือ "คุณยิ่งลักษณ์" จะโดนเล่นงานไปด้วย เพราะเป็นการเดินเกม หมากต่อหมาก เอ็งเล่นงานขุนฝ่ายเหลืองเหรอ? ข้าก็เล่นงานขุนฝ่ายแดงมั่ง เอากันแบบนี้ ทีนี้ละ มันจะยุ่ง มันจะวุ่นวาย มันจะร้อนแรงขึ้นไปอีกขั้นแล้วละแต่ปัญหาก็คือ ๑. คุณทักษิณ มีชะนักปักหลังกลับมาก็นั่งตำแหน่งนายกไม่ได้แล้ว ถ้าขึ้นเมื่อไร ได้ก่อม็อบกันทุกวันแน่ ไม่มีอันได้ทำกินอะไรกันละ ๒. ฝ่ายเสื้อเหลือง ถ้ามันไม่มีหมากขุนที่เป็น "ประชาชนธรรมดา" มันจะไปเอา "ใส่ติ่ง" ที่ไหนมาเป็นนายก ประเทศอื่นใครเขาจะมายอมรับอะไรบ้าๆ แบบนั้น เดี๋ยวอเมริกาเขาตอบโต้ด้วยการกีดกันทางการค้า ข้อหา "ไทยกบฏต่อประชาธิปไตย" ไปเสียหรอก ทีนี้ นายทุนก็หงายหลังกันสิ โดนกันทั่วหน้าอีก อย่าเพ้อ เอา "ใส้ติ่ง" มาเป็นนายก มันเป็นไปไม่ได้ สรุปง่ายๆ ก็คือทั้งเหลืองและแดง ล้วนเป็น "หมากที่ใช้แล้วทิ้ง" ทั้งคู่ ไร้อนาคตสิ้นดี เป็นผมนะ ถ้าผมซื้อได้เหมือนหุ้นนะ ผมจะไม่ซื้อทั้งหุ้นเหลืองและแดงเลย เพราะอะไรละ? ฝ่ายแดง คุณทักษิณไปต่อไม่ได้แล้ว มีชะนักปักหลังขนาดนั้น กลับมาเป็นนายกอีกไม่ได้แล้ว เขาต้องหาขุนตัวใหม่มาทำหน้าที่แทน แล้วเขาก็อยู่เบื้องหลัง นั่นแหละ ถึงพอไปได้ ทว่า "หมากขุนยิ่งลักษณ์" ก็ไม่ใช่หมากที่จะเดินได้นาน ยิ่งเดินนานคนยิ่งเบื่อ ทำได้แค่รักษาสถานการณ์ไว้ระยะหนึ่ง ตรึงไว้เท่านั้น นานเกินไปไม่ได้ เดี๋ยวเสื้อเหลืองบ้าง, สลิ่มบ้าง ก่อม็อบกันไม่จบไม่สิ้น ฝ่ายเสื้อเหลือง ก็จะไม่เหลือหมากขุนแล้ว หมดคุณอภิสิทธิ์ไป มันก็ไม่เหลืออะไรให้อยากเลือกแล้วอ่า เรียกว่า ว้า ไม่เหลืออะไรดีให้เลือกแล้ว หมดกระดาน ไม่อยากเลือก ไม่อยากเล่นละ จะเอาใส้ติ่ง มาเ็ป็นนายกหรือ? เขาก็จะหาว่าบ้านเราไม่ใช่ประชาธิปไตย เป็นระบอบเผด็จการโดย ... เอานะสิ ไม่มีประชาชนคนไหนยอมรับหรอก ถ้าใส้ติ่งยังหากินอยู่ปลายลำใส้เล็ก คนไทยก็ยังรัก แต่ถ้าใส้ติ่งเสล่อมาเกินหน้าที่ รับรองคนไทยเห็นธาตุแท้แล้ว จะต้องกลับรักกลายเป็นเกลียดชังอย่างแน่นอน เพราะุรู้ใส้รู้พุงมันแล้วว่าที่มันทำมาทั้งหมดนี้เพื่ออะไร?


ดังนั้น ไอ้โง่ทั้งหลายเอ๋ย ถ้าเอ็งยังเลือกแทงแดงหรือเหลืองกันอยู่ บอกได้เลยว่าได้หุ้นไร้อนาคตเข้าแล้ว อย่าโง่อย่างไม่มีที่สุด ตาสว่างได้แล้ว "หมากสองตัวนั้น เขาใช้แล้วทิ้ง" ไม่อาจเก็บไว้ได้นาน มันไม่มีอนาคต ไร้อนาคต มืดมน ไม่มีทางไปอีกแล้ว จะไปบ้าอยากได้อะไรมันนักหนา ฮ่าๆๆ ถ้าผมเป็นนายทุนใหญ่นะ ผมเลือกลงทุนกับพรรคของ "คุณ ชูวิทย์" ดีกว่า ภาพลักษณ์เหมาะสมกับวัยรุ่นไทย คนไทยรับได้ อีกหน่อยวัยรุ่นก็เลือกตั้งกันได้เยอะแยะ ทำไมจะไม่นิยมคุณชูวิทย์ละ อนาคตไกลออก ไม่ใช่หมากที่ใช้แล้วทิ้ง ยังเดินไปได้ยาวนัก เพียงแต่ "ขาดการสนับสนุน" เท่านั้นเอง ถ้าผมลงมือก่อนนะ ผมก็จะกลายเป็น "สปอนเซอร์นัมเบอร์วัน" ของพรรคนี้ บงการเบื้องหลัง แม่งมันไปเลย ฮ่าๆๆๆ ดันให้กลายเป็นตัวเลือกใหม่ของคนไทยใน "ยุคหน้า" ลงทุนไม่มากหรอกครับ พรรคเขายังเล็ก ลงทุนต่ำ เพราะหุ้นมันยังไม่ดัง ไปซื้อห่าอะไรตอนมันดังละ มันก็แพงอะสิ ไอ้โง่เอ้ย เอามันตอนนี้ละ ถูกต้องที่สุดแล้วคร้าบ




วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"อำนาจอื่นภายนอก" ที่พลเอกประยุทธ์กล่าวถึง คืออะไร?

หนังสือพิมพ์บ้านเมือง -- พฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2555


"อยากถามกลับไปว่า ลงนามได้หรือไม่ และผิดกติกาอะไรหรือไม่ ถ้าลงนามได้ก็ลงนามไป หากไม่คิดว่าประเทศชาติเสียประโยชน์ก็ลงนามไป และประชาชนทั้งประเทศก็ดูเอาเองว่าถูกหรือไม่ และใช่หรือไม่ เพราะผมก็ไม่ทราบ ทุกคนต้องมาร่วมรับผิดชอบประเทศชาติด้วยกัน ไม่ใช่ไอ้นี่ทำอย่าง ไอ้โน่นทำอย่าง ผมว่าไม่ใช่ประเทศไทยไม่ได้อยู่แบบนี้ เพราะเราอยู่ด้วย 3 ระบบ คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ หาก 3 ระบบนี้ยุ่งมันก็ไม่ใช่ประเทศแล้ว ขณะนี้ 3 อำนาจยังอยู่หมด เพราะฉะนั้นอย่าไปหาอำนาจอื่นภายนอกให้มายุ่งวุ่นวายมากนัก แค่นี้ก็ยุ่งพออยู่แล้ว ซึ่งก็แล้วแต่ท่าน ทำก็รับผิดชอบกันไป" โดยพลเอกประยุทธ์ ............

เอาละ วันนี้ ผมจะมาขยายความหมายของคำว่า "อำนาจอื่นภายนอก" ที่ออกจากปากของพลเอกท่านนี้ ให้ท่านทั้งหลายทราบ แต่บอกไว้ก่อนนะครับ "นี่คือ ความคิดเห็นของประชาชนคนหนึ่งตามระบอบประชาธิปไตย" ผมไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินใครทั้งสิ้น เพียงสงสัย แล้วก็แสดงความคิดเห็นไปก็เท่านั้น


อำนาจอื่นภายนอกก็คือ "อำนาจของอภิมหาอำนาจ" สองขั้วครับ เพราะทำอย่างไรได้ละ ในเมื่อเสื้อแดงมี "จีนหนุนหลัง" ฝ่ายเสื้อเหลือง ก็ต้องหา "อเมริกา" หนุนหลังให้เหมือนกัน เพื่อคานอำนาจกันให้สมดุล นั่นเอง ดังนั้น ท่านก็เห็นอยู่ไม่ใ่ช่หรือว่า "โอบาม่า" มาไทย ทันทีต้องทำกิจใด? เอาละ ไม่อยากพูดมาก ทหารเขาคงเริ่มมีใจรักชาติจริงๆ ไม่ใช่เป็นควายให้ใครสนทะพายหลอกใช้งานอีกแล้ว ทหารเขาก็มีเกีรยติภูมิ หลังจากถูกหลอกใช้งานมาก็มาก ให้ปฏิวัติแล้วไม่ได้อะไร กลับต้องมานั่งรับผลร้ายในภายหลังมาก็มาก สุดท้าย เขาก็ "ตาสว่าง" ทำเพื่อชาติครับ ไม่ใช่ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง เขาเข้าใจดีว่าปัจจุบัน เรามีระบอบการปกครองประชาธิปไตย ไม่ใช่ระบบเจ้าขุนมูลนายดังกาลก่อน และไม่ใช่พวกหลงเพ้อในอดีต ฝันเฟื่องในเรื่องวันวานที่ผ่านพ้นไปแล้ว เขาต้องเดินหน้านำพาประชาธิปไตยไปต่อครับเขาก็เลยไม่ชอบ อะไรที่กบฏต่อประชาธิปไตย (อะไรที่กบฎต่อประชาธิปไตย ฝ่ายเสื้อแดงเรียกว่า "ใส้ติ่ง" แต่ผมว่ามันไม่น่าจะใช่เลยครับ เพราะตอนนี้มันเริ่มกลายเป็น "เนื้อร้าย" มากกว่าใส้่ติ่งไปแล้วละครับ) เขาเลยให้ใช้อำนาจตามระบบ ระบอบประชาธิปไตย เท่าที่มี ก็พอ มีขนาดนี้แล้วยังไม่พอกันอีก ยังไปดึงเอาอำนาจ "นอก" เข้ามาเล่นงานกันอีก ประเทศไม่แย่ไปกว่านี้หรือครับ? อย่างนี้เขาเรียกว่า "ชักศึกเข้าบ้าน" ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ ตัวดีนัก คนหนึ่งก็ดึงเอาฝ่ายซ้ายเข้ามาครอบงำบงการเบื้องหลังบ้านเรา คนหนึ่งก็ดึงเอาฝ่ายขวามาหนุนหลังคอยยุยงปั่นป่วนให้เกิดการปฏิวัติ เอามันเข้าไป ประเทศจะเป็นอย่างไร มันไม่สนใจกันแล้ว มันสนใจแต่ว่า "อำนาจจะอยู่ในมือใคร" ก็เท่านั้นเอง นี่แหละ ถึงขนาดทหารเขาออกมาประกาศชัดเจนขนาดนี้แล้ว "สำนึกบ้างหรือไม่?" ก็ลองไปคิดทบทวนกันเอาเองนะครับ เพราะประเทศไทยตอนนี้ "ถูกรุมโทรมกระทำชำเรา" อย่างหนัก จากคนที่อยากได้อำนาจ แย่งกันไปมา จนประเทศจะไม่เหลืออะไรดีอยู่แล้ว โอกาสดีๆ เข้ามาเมื่อไร ก็หมดไปเมื่อนั้น ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราหลายประเทศ เขาคว้าฉวยโอกาสนี้สร้างชาติเจริญไปถึงไหนกันแล้ว เรายังมามัว "แก่งแย่งอำนาจ" กันถึงขนาด ชักศึกเข้าบ้าน เอาต่างชาติมาหนุนหลัง เพื่อเอาชนะกันไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ต่างอะไรกับ "เด็กวัยรุ่นตีกันเลย" ผิดทั้งคู่ ไม่ต้องมาโบ้ยความผิดให้ใครหรอก ถ้าคนหนึ่งกระทำ อีกคนเป็นฝ่ายถูกกระทำแต่ข้างเดียว ก็ว่าไปอย่าง ศาลรับฟ้องขอหาทำร้ายกันได้ แ่ต่นี่ไม่ใช่แล้ว มันทำกันทั้งสองฝ่าย "ผิดทั้งคู่แหละครับ" สงสารประเทศเถิดจะทำร้ายประเทศแดนเกิืดของพวกคุณไปถึงไหน?



ลัทธิล่าแม่มดในประเทศไทย มีจริงหรือ?

ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนนะครับว่า ผมไม่ใช่ทั้งคนเสื้อแดงและคนเสื้อเหลือง และไม่เคยคิดที่จะเข้าข้างฝ่ายไหน (เพราะทุกฝ่ายก็คือคนไทยทั้งหมด ทั้งนั้น) และไม่เคยคิดทำร้ายฝ่ายใด แต่ถ้าใครทำผิดอันส่งผลกระทบต่อประชาชน ผมก็จะออกมาแจ้ง เพื่อเตือนให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของคนพวกนี้ จะได้เอาตัวรอดกันได้ โดยไม่ได้คิดทำร้ายประเทศไทยเลย (ตรงกันข้าม ผมรักประเทศมาก จึงได้มานั่งทำงานหนักอยู่ตรงนี้ เพื่อสร้างภูมิปัญญาที่แท้จริงให้แก่ประชาชนคนไทย นั่นก็คือ หัวใจของการสร้างชาติแล้วผมจะไม่รักชาติได้อย่างไร?) แต่ถ้าเมื่อใดคนเสื้อเหลืองหรือคนเสื้อแดง มาเล่นงานผม เขาก็เท่ากับ "หาเสี้ยนใส่เท้าตัวเอง" อยู่ดีไม่ว่าดี เสือกสร้างศัตรูเพิ่มขึ้นเองช่วยไม่ได้ โฮ่ๆๆ


เอาละ มาดูกันก่อนว่า "ลัทธิล่าแม่มด" มันคืออะไร และเริ่มต้นมาจากไหน? มันก็คือ กลุ่มคนที่มีจิตใจชั่วร้ายมากที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์โลกครับ พวกเขาเอาหัวโขนพระรามบังหน้า แล้วลับหลังก็ทำชั่วสารพัด ต่อหน้าผู้คนทำเป็นคนดี สร้างภาพมากมาย แต่เบื้องหลัง เล่นงาน ใส่ร้ายคนอื่น โดยไม่มีละเว้น แม้แต่ผู้ปฏิบัติธรรมครับ เช่น คนที่อยู่อย่างสงบ ไม่ทำร้ายใคร แต่มีพลังจิตพิเศษ พวกเขาก็จะมีจิต "ริษยา" และหาทางกำจัด เพราะกลัวว่าคนพวกนี้ จะโดดเด่น มีอำนาจ หรือแย่งสิ่งที่ตนมีไป ทั้งที่คนเหล่านี้ เขาสมถะจริงๆ ไม่ใช่แค่สร้างภาพ เขายากจนก็จริง แต่เขาอยู่อย่างสงบครับ ทว่า พวกเขาก็ไม่วายถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็น "พ่อมดหมอผี" เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศแล้วพวกเขาก็ยัดเยียดข้อหาว่าประชาชนผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ เป็น "แม่มด" ครับ ในสมัยโบราณแถบยุโรป แม่มดมีภาพลักษณ์ที่แย่มาก เหมือนผีปอบบ้านเรา ใครถูกใส่ร้ายก็จะถูกจับไปเผาไฟทั้งเป็น โหดเหี้ยมทารุณครับ คนที่ทำเรื่องนี้่ ก็เพื่อสนองความเห็นแก่ตัว ให้ตนเองที่มีอำนาจและเงินล้นฟ้าอยู่แล้ว ได้มีอยู่ต่อไป ใครจะมาโดดเด่นเกินตัวเกิดความริษยาขึ้นมา ก็เลยต้องหาทางกำจัดแบบแนบเนียน ผมขอเรียกคนพวกนี้ว่า "เค้าท์แดร็กคูล่า" ครับ นี่แหละคือเจ้าลัทธิล่าแม่มด จับเอาประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปฆ่า และเผาไฟทั้งเป็นข้อหาเป็นแม่มด


ในประเทศไทยเริ่มมีแล้วครับ คือ "กลุ่มสลิ่ม" นั่นเอง พวกสลิ่มเป็นคำเรียกของคนเสื้อแดงครับ พวกเสื้อแดงนี่ ส่วนใหญ่จะเป็นรากหญ้า ซื่อๆ ใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบ "ผู้ดีจอมปลอม" ไม่เป็น ดีแต่ใช้กำลัง และไม่ค่อยรู้อะไรจริงมาก ได้แต่ฟังหัวหน้าของตนแล้วก็เชื่อตามนั้น จริงบ้าง เท็จบ้าง ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้หรอก อาศัยความเชื่อเป็นตัวนำครับ ตามสไตล์ไทยๆ แต่พวกสลิ่มนี่ ก็คือ "ผู้ดีจอมปลอม" ที่เบื้องหน้าทำตัวเป็นคนดี แต่ลับหลังก่อการลับๆ เล่นงานคนอื่น เอาประชาชนไปเป็นเครื่องมือทำลายศัตรูทางการเมือง และไม่สนใจว่าจะใช้วิธีใด แม้ว่าจะเป็นวิธีสกปรกก็ทำได้ "ขอเพียงไม่ให้ใครรู้" ก็พอครับ ปากก็ตอแหลหลอกลวงประชาชนว่าตนเป็นกลาง (แท้จริงหวังเล่นงานเสื้อแดง แล้วมันจะเป็นกลางได้อย่างไร?) แล้วยังหน้าด้านไปหลอกลวงประชาชนอีกว่าตนมีสัจจะ ให้สัจจะกับนายเหนือหัวของตัวเองไปแล้ว จะโกหกใครก็ได้ ถือว่าไม่ผิดสัจจะครับ (ชั่วช้าแบบแนบเนียนเลยไหมละ) โดยมีตัวบงการเบื้องหลังคือ "ผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นลูกสาวของคนที่มีอำนาจมากในประเทศนี้ มีภาพลักษณ์เป็นคนดี คนไทยนับถือกันมากมาย แต่จิตใจต่ำช้า เลวทรามครับ" เขาคนนี้ อดีตชาติคือ "ผังเจียน" ด้วยจิตที่ริษยา "ซุนปิน" เขาก็ "ตอแหล" โกหกและใส่ร้ายซุนปินจนซุนปิน ถูกทำร้ายขาพิการ, ถูกสลักหน้าว่าเป็นคนคุกไม่อาจปรากฏตัวให้ใครเห็นได้ ตัดอนาคตทางการเมืองของซุนปิน เพราะเขารู้ว่าซุนปินเก่งกว่าเขา เขาก็ริษยาครับ สุดท้าย เขาก็ตายอย่างโง่ๆ ด้วยความริษยานั้น ผลกรรมหนักทำให้เขาไม่ได้เกิดเป็นชายในชาตินี้ครับ (ถ้าเกิดเป็นชาย คงเลวได้มากกว่าเป็นนี้เป็นแน่แท้) และทำให้ "พ่อของเขา" ต้องนั่งรถเข็นตลอด เขาต้องทำงานให้คนนั่งรถเข็น เพราะวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรคือ "ซุนปิน" ตามมาทวงหนี้กรรมคืนจากเขาครับ (บอกให้รู้ไว้ จะได้รู้ตัวว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน ก็หนีกรรมชั่วของตนไม่พ้น) แต่ความแนบเนียนในการ "สร้างฉากละคร" ซ่อนความชั่วไว้เบื้องหลังของเขายังเหมือนเดิมและทำให้คู่ปรับของเขา "ซุนปิน" ไม่อาจออกมา่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนได้เหมือนเดิม เพราะเขาจ้องเล่นงานซุนปินอยู่ ส่วนซุนปินก็มีญาณหยั่งรู้ได้ครับ เอาละ ตอนนี้ เขาได้สร้างลัทธิล่าแม่มดขึ้นมาแล้ว เพื่อเล่นงานซุนปินคนนั้น เขาบีบให้ซุนปินที่เป็นกลางจะต้องกลายเป็นมีขั้วไปได้ ทั้งๆ ที่ซุนปินไม่อยากมีขั้วเลย ประเทศไทยเรามันไม่มีทางแตกแยกหรอก ถ้าใจเรา "ไม่แบ่งพรรคพวก ฝักฝ่าย" แ่ต่ที่มันแตกแยก "เพราะมีคนคิดแบ่งพรรคพวกฝักฝ่าย" นี่ละ


ต่อไป ผมจะใช้่พลังจิตพิเศษ อ่านความคิดของผังเจียนผู้นี้ออกมาแฉให้หมดเลยในฐานะที่เขาได้กระทำผิดต่อผม เขาเริ่มลงมือใช้บริวารชั่วของเขา สร้างลัทธิอุบาทว์ ลัทธิล่าแม่มดขึ้นมาแล้ว เพื่อเล่นงานใครบางคน บทความหลายชิ้นที่วิจารณ์การเมืองนั้น "ผมไม่มีข้อมูลหรือความรู้อะไรเลย" บอกตรงๆ ผมใช้พลังจิตสืบความลับเอาล้วนๆ ครับ ไม่รู้ว่ามันแม่นแค่ไหนด้วยซ้ำไป (แต่ท่านที่อยู่ในสถานการณ์จริง ก็ย่อมมีข้อมูลเป็นแน่แ้ท้ ดังนั้น ท่านจะทราบได้เองว่าผมแม่นแค่ไหน?) เอาละ ผังเจียน เจ้ายังชั่วช้าไม่จบ ชาติแล้วชาติเล่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะต้องทำหน้าที่ของเราเช่นกัน อย่าโทษใครนอกจากตัวเจ้า "ที่ชั่วช้าสามาน" ไม่เลิก ใส่หน้ากากผู้ดี แต่เบื้องหลังทำสิ่งชั่วช้าไม่เลิก อย่าโทษใคร จงโทษความชั่วของเจ้าเองเถิด ...



วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เบื้องหลัง "ทฤษฎีสองสูง" อันนำไปสู่นโยบายเพิ่มค่าแรงและค่าครองชีพ

ทฤษฎีสองสูงนี้ คนคิดก็คือ "ผู้มีอำนาจจากจีนครับ" แล้วส่งต่อให้ "ผู้มีอำนาจเบื้องหลังรัฐบาลไทย" อีกที เพื่อจะดึงไทยให้เข้าร่วมแผนการระดับโลก ที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้ามคือ พวกอเมริกาและยุโรป นั่นเอง จากนั้ันจึงแสร้งให้ "นายทุนไทยคนหนึ่ง" เป็นปากกระบอกเสียงพูดแทนเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือนั่นเอง  (นายทุนคนนั้นไม่ได้รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์อะไรเลย แต่เขาก็ทำธุกิจส่วนตัวสำเร็จโด่งดัง ก็เท่านั้นเองครับ) ก่อนอื่นผมจะขอกล่าวถึง "ทฤษฎีสองสูง" ให้ท่านเข้าใจง่ายๆ นะครับ ก็คือ ถ้าของแพงขึ้นพร้อมกับเรามีรายได้มากขึ้น ก็ยังสมดุลอยู่ได้ ใช่ไหมครับ คำถามคือ แล้วมันจะได้อย่างไร? สมมุติ เราเคยได้เงินเดือน ๑ หมื่นบาท แต่ราคาสินค้าไม่แพง ทำให้มีค่ารองชีพต่อเดือน ๑ หมื่นบาทพอดี แต่พอเรามีรายได้มากขึ้นเป็น ๒ หมื่นบาท ระดับราคาสินค้าก็เพิ่มทำให้ค่าครองชีพเพิ่มเป็น ๒ หมื่นบาท ผลคือไม่ต่างกันเลยในแง่ของผู้บริโภค แต่ผลมันต่่างกันตรงมุมอื่นครับ ผมจะอธิบายให้ท่านเห็นเป็นสองมุมมอง คือ


๑. ผลในแง่การกระตุ้นเศรษฐกิจ มันมีผลไม่ต่างจากการใส่ฟืนไฟเร่งเตาให้ไฟมันแรงขึ้น ให้เศรษฐกิจไปเร็วขึ้น เหมือนว่าจะพยายามถีบตัวเองให้ทันประเทศจีน โดยการเอา "โมเดลยุคปฏิวัติญี่ปุ่น" มาใช้ไงครับ กล่าวคือ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นได้รับผลกระทบมาก เขาจึงเลิกคิดที่จะเอาชนะใครด้วยสงคราม หันมาเร่งเครื่องเศรษฐกิจแทนครับ ด้วยการทำให้ทุกอย่างในประเทศ "เฟ้อ" ไปหมด คือ ราคาสินค้าแพงขึ้น ในขณะที่รายได้ก็มากขึ้น เร่งเครื่องให้มันเฟ้อไปมากๆ เหมือนเร่งเป่าฟองสบู่นั่นแหละ คนญี่ปุ่นบางคนแทบจะก้าวตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ทัน บ้างก็ต้องยอมให้แก๊งค์มาเฟียลากไปขายตัว, เล่นหนังโป๊ เอาเงิน เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวให้ทัน ไม่เช่นนั้นก็จะอยู่ไม่รอดครับ (มีผลกระทบทางสังคมเยอะ)

๒. ผลในแง่เศรษฐกิจระดับโลก มันเป็นการ "ทำสงครามทางเศรษฐกิจ" ครับ กล่าวคือ ยิ่งเราเร่งเครื่องให้เศรษฐกิจในโซนเอเชียร้องแรงขึ้นมากเท่าใด ทางโซนยุโรปและอเมริกา ก็จะยิ่งซบเซามากขึ้น ตลาดในแถบนั้นไม่น่าลงทุนอีกแล้ว นักลงทุนก็แห่ย้ายตามๆ กันมาที่เอเชียแทนครับ เพื่อจะืำืำบีบให้เศรษฐกิจยูโร ทรุดหนักลงไปอีก จนกว่าจะล่มสลายไปในที่สุดครับ เท่ากับเป็นการ "ประกาศสงครามทางเศรษฐกิจ" นั่นเอง ดังนั้น โอบาม่า จึงต้องเร่งมาทำกิจที่เอเชีย และโยนให้หมู่เกาะสแปซลี่ ซึ่งอเมริกาได้ครองเป็นเจ้าของต่อจากญี่ปุ่นหลังชนะสงครามโลกครั้งที่สอง กลับเป็นเหยื่อล่อให้กลายเป็นชนวนสงครามครับ


ในมุมมองของ "นายทุนไทย" ย่อมต้องมองว่าทฤษฎีสองสูงนี้ "เอื้อประโยชน์ต่อตนเอง มากกว่าประเทศชาติชัดเจนอยู่แล้ว" กล่าวคือ ในภาวะที่โลกมีวิกฤติเศรษฐกิจมากอย่างนี้ประกอบกับ "นายทุนนานาชาติ" ไม่อาจมั่นใจได้ในการลงทุนข้ามชาติในแถบประเทศอื่นๆ เช่น ยุโรปก็ยังไม่ฟื้น, อเมริกาก็ไม่ใช่คำตอบ, อาฟริกาก็ยังไม่เจริญ ฯลฯ ดังนั้น จึงเป็นแรงกดดันให้ "เงินทุนทั่วโลก" ที่หาทางระบายลงไม่ได้ ต้องไหลมาที่ "เอเชีย" และแน่นอนว่าอินเดียกับจีนยังไม่เปิดรับมากนัก การเข้าสู่ตลาดจีนได้จึงต้องลงที่อาเซียนก่อนแล้วขนส่งต่อไปยังจีนภายหลังอีกที ดังนั้น "แน่นอนว่าทุนต่างชาติอาจไหลทะลักเ้ข้ามาสู่ไทย" ผลที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ "นายทุนไทยต้องมีคู่แข่งที่แข็งแกร่งเพิ่มอีกมากมาย" ดังนั้น นายทุนไทยจึงต้อง "สกัดกั้นทุนนอก" เสียก่อนต้นลม ด้วยการสนับสนุนนโยบายตาม "ทฤษฎีสองสูง" นี้ ไม่ใช่ความคิดที่จะทำเพื่อชาติบ้านเมืองอะไรแท้จริงเลย แต่เพื่อตัวเองล้วนๆ แต่ถ้ามองในแง่การทำสงครามทางเศรษฐกิจแล้ว ก็จะมองได้ว่า "นายทุนไทยก็ลงขัน" ทำสงครามเศรษฐกิจระดับโลกครั้งนี้กับเขาด้วย


ดังนั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงพยายาม "เอาเงินลงไปหมุนในระบบ" ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เรียกว่าเร่งเครื่องเศรษฐกิจเต็มที่ หวังเล่นงานพวกฝรั่งให้มันหงายหลังไปเลย ตอนแรกกะจะเอาทองของหลวงตามหาบัวไปใช้ก่อน ทว่า ถูกเบรคโดย "ฝ่ายเสื้อเหลือง" ครับ ว่าไม่ให้ใช้ทองของหลวงตามหาบัวนะ ดังนั้น ก็เลยต้องใช้ "อำนาจนายก" ในการ "กู้เงิน" มาเป็นล้านล้านบาทเลย เรียกว่า "ดูดเงินในโลกให้ไหลมากองในภูมิภาคนี้ก่อน" เำพื่อบีบให้ยุโรปยิ่งขาดแคลนเงินไปใหญ่ ที่กำลังแย่อยู่แล้ว จะได้อาการทรุดหนักลงไปอีก จนกว่าจะหงายหลังพังไปข้างหนึ่งเลย อีกฝ่ายคือ พวกคนจีนก็คอยรวมหัวกัน "ปั่นราคาตลาด" ไม่ว่าจะเป็นตลาดอะไร ตลาดเงิน, ตลาดทองคำ, ตลาดหุ้น, ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ฯลฯ นายทุนจีนเขาก็รวมหัวกันเล่นครับ ถ้าคุณไม่เข้าใจ ผมจะอธิบายง่ายๆ เหมือนรวมหัวกันเล่นไพ่โกงเพื่อนนั่นแหละ สมมุติ ในวงมีเพื่อนคุณอยู่ครึ่งหนึ่ง รวมเงินกันแล้วเยอะมากเป็น ๗๕% ของเงินทั้งวงไพ่้ เราก็แสร้งลงขันแทงไปในทางเดียวกัน จะให้มันราคาแพงขึ้นในหุ้นตัวไหนหรือสินค้าตัวใด ก็ได้ครับ มันไม่่ใช่ราคาตลาดอันเกิดจาก "กลไกลตลาด" จริงๆ แต่มันเกิดจากคนปั่นแต่ปั่นแบบแนบเนียน, รวมหัว และไม่อาจจับผิดได้ไงครับ ทีนี้ ตลาดทั่วโลกก็ปั่นป่วนละสิ คุณเห็นข่าวไหมละ เดี๋ยวราคาทองขึ้นพรวดๆ อะไรไม่รู้ มั่วไปหมด นั่นแหละ ผมเรียกว่า "สงครามกระสุนเงิน" ใช้เงินเป็นอาวุธเล่นงานกันครับ ดังนั้น เศรษฐีอเมริกาคนหนึ่งก็เลยออกมาประกาศเป็นข่าวดังว่า "ตนขอสละเงินอุดหนุนกองทุนเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ" แล้วก็ดึงให้นายทุนคนอื่นๆ มารวมหัวกันด้วย นี่ละเขาตอบโต้กันแบบนี้ (แต่คุณต้องไม่ลืมว่าจีนถือเงินดอลล่าร์ไว้มากที่สุดในโลกนะครับ ดังนั้น เขาเหมือน "กุมหัวใจของอเมริกา" ไว้ในกำมือเลยทีเดียว! เรียกว่าถ้าจีน ปล่อยเงินดอลล่าร์ออกมามากหรือน้อย ก็จะส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน ทันที เขากำหนดได้เลย)


ทว่า เรากำลังถูก "คนจีนหลอกเอาครับ" เขาหลอกใช้งานเรา ผลักใสให้เราเข้าสู่ "วังวนสงครามเศรษฐกิจระดับโลก" เราจะเป็น "ทัพหน้า" ที่ "บาดเจ็บมากที่สุด" โดยที่พวกคนจีนไม่บาดเจ็บอะไรเลย รอคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างเดียวทั้งสองฝ่ายครับ อย่างไรหรือ? ผมจะอธิบายให้ฟังอย่างนี้ครับ จีนใช้กลยุทธ์ "สองต่ำ" อยู่ครับ เขาทำตรงข้ามกับแผนการที่เขาบอกให้เราทำเลย เพื่อให้เราหลงกล เขาทำให้ต้นทุนต่ำลงและขายสินค้าได้ในระดับราคาต่ำๆ ตีตลาดโลกเอาชนะคนอื่นด้วยราคา (ซึ่งไม่มีประเทศใหญ่ๆ ที่ไหนจะคุมต้นทุนให้ต่ำไ้ด้อย่างจีน มันจึงเป็นจุดแข็งของจีนครับ) ทีนี้ พอ "อาเซียน" ถูกทำให้ร้อนแรง ลุกโชน สว่างไสว ดึงดูดนักลงทุนมามากๆ แล้ว ไทยจะไม่ได้อะไรเลย เพราะประเทศอาเซียนอื่นๆ เขามีต้นทุนต่ำ ค่าครองชีพต่ำ นักลงทุนก็ต้องเลือกประเืทศอื่นที่ต้นทุนต่ำกว่าครับ (เงินทุนต่างชาติ จะไหลไปออกนอกประเทศ สมดังใจที่นายทุนไทยต้องการ) พออาเซียนชนกับอเมริกาและยุโรป จนเขาหงายหลังไปแล้ว จีนก็จะได้ทุกอย่าง เพราะเมื่อถึงเวลานั้น ระดับค่าครองชีพ, ราคาสินค้าของไทยก็จะเป็นเหมือนญี่ปุ่นไปแ้ล้ว ไทยไม่อาจลงไปแข่งขันในตลาดเดียวกับจีนได้อีกครับ เรียกว่า "หมากนี้เิดินหน้าได้อย่างเดียว ถอยหลังไม่ได้เลย" ในขณะที่จีนไม่ต้องขยับ ดันหลังให้คนอื่นชนกันโครมๆ แล้วรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่ครับ ไทยเราก็แค่ "ตัวหมากที่ใช้แล้วทิ้ง" ตัวหนึ่งเท่านั้นเองภายใต้กลยุทธ์ "สองสูง" นี้ ...



วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำไมม็อบเสธ อ้าย จึงหยุดกลางคัน?

เรื่องนี้มีส่วนคล้ายประวัติศาสตร์จีนยุค พระเจ้าฮั่นอู๋ตี่ ในเหตุการณ์ที่พระองค์ทรงสั่งให้แม่ทัพคนหนึ่ง ไปปราบซ่งหนู โดยให้กำลังพลน้อยมาก ไม่พอที่จะทำการได้สำเร็จ ทำให้ผลกลับตรงข้าม คือ ล้มเหลวและทำให้ "แม่ทัพ" คิดเอาชีวิตรอดก่อน คือ ยอมแสร้งเข้ากับพวกซ่งหนู (อันที่จริง ฮั่นอู่ตี่ฮ่องเต้รู้แต่แรกแล้วว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้ แต่ท่านต้องการส่งแม่ทัพผู้นี้ให้ไปตาย เพราะเขามีจิตไม่ซื่อ หวังเอา "หวังเจาจิน" เป็นเมีย ทั้งๆ ที่หวังเจาจินคือ พระสนมในพระองค์) ต่อมา มีขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มีความคิดบรรเจิดแต่ใช้ไม่ได้จริง คือ คิดเก่ง เลิศเลอ จนได้รับความชื่นชมมากมายในเชิงทฤษฎีนะ แต่มันไม่รู้ความจริงนัยนี้ ก็เลยเข้าข้างแม่ทัพคนนั้น เถียงกับฮั่นอู่ตี่ฮ่องเต้ว่า "เขาอาจมีเหตุผลของเขาเองก็ได้นะ" ตายห่าละสิ ถ้าคนทุกคนคิดแม่งมันแบบนี้ ฮ่องเต้สั่ง ก็ไม่ต้องทำตาม เพราะทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเองนะค่ะ ประเทศมันคงต้องล่มสลายเป็นแน่ ว่าแล้วฮั่นอู๋ตี่ฮ่องเต้ จำต้อง "ตัดไฟแต่ต้นลม" จะปล่อยให้ความคิดบรรเจิดงี่เง่าไร้ซึ่งความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องความมั่นคงเช่นนี้ เผยแพร่ออกไปไม่ได้ จะฆ่าทิ้งเสียก็ได้ แต่เสียดายเพราะท่านเองก็นิยมในสำบัดสำนวนงานกวีของมันเสียด้วย ก็เลย "สั่งตัดจู๋" ไปเสียเลย เป็นตัวอย่างว่าอย่ามาคิดแบบนี้อีก "มันอันตรายต่อความมั่นคง" นั่นเอง เรื่องยังไม่จบ หลังจากนั้น ขุนนางคนนั้นก็ยังสิ้นคิด คิดไม่ได้อีกว่าทำไม เขาจึงได้ลงโทษตัวเองขนาดนั้น มันคับแค้นใจมาก ก็เลยไปเขียนตำราประวัติศาสตร์ซะเลิศหรูสวยงาม (แต่ใช้ไม่ได้จริงหรอก) ทำเอานักปราชญ์ทั่วแผ่นดินชื่นชมมัน พร้อมกับด่า "ฮั่นอู๋ตี่" กันเสียยกใหญ่ (เพราะสมองมันคิดได้เท่านั้น ได้แค่ทฤษฎีสวยหรู แต่ไม่เคยปฏิบัติจริง) เอาละ แต่สำหรับเรื่องของ เสธ อ้าย นี้ เกิดในระบอบ "ประชาธิปไตย" นะครับ อย่าลืมซะละ ว่า "ระบอบกษัตริย์" ที่ผมยกตัวอย่างมา "มันคืออดีตไปแล้ว" เดี๋ยวนี้พระไทยฮิตสอนว่า "ให้อยู่กับปัจจุบัน" นะจ๊ะ ...


เอาละ ผมจะล้วงลึกความลับประเด็นร้อนฉ่าที่สุดในประเทศตอนนี้ มาแฉกันให้ท่านทราบฟรีๆ เลยครับ เรื่องนี้เริ่มต้นจาก "โอบาม่า" มาเยือนไทยครับ มันเลยกระทบไปถึงจีนก็ต้องเข้ามาคานอำนาจด้วย ทีนี้ ในประเทศไทยคุณก็ทราบว่ามี "สองขั้วอำนาจใหญ่" อยู่ สายป่านสีแดงเชื่อมยาวไปถึงจีน สายป่านสีเหลืองก็เชื่อมไปยาวถึงอเมริกา เมื่อโอบาม่ามาแล้ว แสร้งทำเป็นดีกับนายกไทย แต่กลับพูดเชิงยุยงให้มีม็อบขึ้น และไม่นานนัก "ผู้มีอำนาจท่านหนึ่ง" ได้เรียก เสธ อ้่าย ไปพบ แล้วบอกว่า ประเทศไทยแย่แล้ว จำเป็นต้องอาศัยวีรบุรุษเช่นท่้านช่วยหน่อยเถิดนะ เพราะอีกไม่นานอาจเกิดข้อพิพาทย์ระหว่างจีนกับอาเซียนถึงขั้นมีสงครามเกิดขึ้น (และเป็นการยากที่ใครจะวางตัวเป็นกลางได้) ท่านผู้มีอำนาจนั้นก็ว่าเราเป็นกลาง (กลางไม่จริงนะ เพราะสายป่านยาวถึงอเมริกา) แต่นายกกำลังนำพาประเทศไปผิดทาง (ตามความคิดของท่านผู้นั้น) เพราะเข้าข้างจีนเสียแล้ว ประเทศก็จะไม่รอดวิกฤติไปได้ ท่านจึงต้องทำเพื่อชาติ เป็นทหารต้องเสียสละนะ ท่านต้องนำพาผู้คนไปโค่นอำนาจรัฐบาลลง เพื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมือง เอาคนอื่นเข้ามาเป็นนายกแทน จึงจะสับเปลี่ยนขั้วสายป่าน ไม่ให้ไทยถูกผูกโยงดึงไปเข้ากับจีนได้ (เออ ความคิดเขาก็เข้าท่าเหมือนกันนา) ทว่า เสธ อ้าย ก็คิดว่า "ทำไมต้องเป็นฉันเนี่ย ฉันทำไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ทำไปเดี๋ยวก็โดนด่า โดนเช็คบิล โดนเล่นงานตามหลัง ไม่มีประโยชน์อะำไีรเลย แล้วปฏิวัติแล้วอะไรมันจะดีขึ้นเร้อ ไหนตัวผู้นำที่ดีกว่านี้มีไหม? ก็ไม่เห็นมี ไม่เ็ห็นโผล่หน้ามาทำให้เรามีกำลังใจเสียหน่อย" ผู้มีอำนาจก็ว่าทำทุกอย่างเรียบร้อย ไม่ต้องคิดมาก ทำหน้าที่ของตนให้ดีก็พอนะ (ประมาณว่าตัวผู้นำมีแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครเป็นนายก) ทว่า ทหารหาญทุกคน คงไม่มีใครชอบถ้าจะต้องปฏิวัติโดยไม่รู้ว่าจะเอาอำนาจไปให้ใคร? ถ้ารู้และเชื่อมั่น ศรัทธาชัดเจนว่า "ตัวผู้นำใหม่" คนนั้ัน คือ คนที่ใช่ คือ คำตอบ แหม ทหารทุกคนก็พร้อมพลีชีพครับ เห็นยุคพระนเรศวรไหม ยอมตายเพื่อชาติ เชื่อฟังคำสั่งพระนเรศวรกันทั้งนั้น เรียกว่า ผู้มีอำนาจพลาดหมากที่สำคัญที่สุดไป คืิอ "หมากขุน" ในเมื่อหมากขุนไม่ชัดเจน หรือมีแต่ไม่ได้เรื่อง ไม่อาจทำให้ทหารศรัทธาได้ เสธ อ้าย ก็เลยเครียดหนัก เอาไงดีวะตรู อำนาจจี้คอหอยอยู่ จะปฏิเสธก็ไม่ได้ ก็เลยตบปากรับคำไปก่อน (เดี๋ยวไปหาทางหนีทีไ่ล่เอาทีหลัง)


ว่าแล้ว "ดราม่าชุดใหญ่" สุดอลังการก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยการประกาศกร้าวราวกับจะยกเก้าทัพมาบุกพระนครฯ ทำเอาทุกคนอกสั่นขวัญแขวนไปกันใหญ่ (ที่พวกเสื้อแดงเขาล้อว่า โฆษณาเกินจริง) ทำไงได้ละครับ มันต้องเล่นละครดราม่า มันก็ต้องตีบทให้แตกกระจุยกันสักหน่อย (ใครไม่เป็นกรู มึงไม่รู้หรอก หัวอกของคนที่ถูกบีบให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ มันเป็นยังไง) ว่าแล้ว "ลูกสาวผู้มีอำนาจ" คนหนึ่งที่มีหน้ากากเป็นคนดี บุคคลิกดังปราชญ์ ก็คอยมาบงการเบื้องหลัง  แน่นอนว่า "งานนี้ไม่มีเนิร์ซ" มันไม่ใช่เด็กๆ ขี้ๆ แน่นอน มันต้องมีตูมตาม และวุ่นวายอย่างแน่นอน อีกประการ เสธ อ้ายต้องเป็นคนรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด (หมายความว่าถ้ามีคนตายเท่าไร ก็ต้องรับผิดชอบหมดคนเดียวด้วย ทำไงได้ละ เป็นหนังหน้าไฟนี่นา?) เป็นรูปแบบว่า "ม็อบเสธ อ้าย" แสดงละครว่าทำตามกฏหมายทำโดยสงบ แต่ "เบื้องหลัง" จัดเตรียมเอาไว้แบบสุดๆ ชนิด ตายเป็นตายกันไปข้างหนึ่งเลย ไม่สนอะไรแล้ว ขอให้งานสำเร็จเป็นพอ เสธ อ้าย ก็เลยต้องเล่นตามบทของตนเองไป อาศัยจังหวะที่ทำหน้าที่ดูเนียนที่สุดแล้วเกิดการปะทะขึ้น สถานการณ์เริ่มรุนแรงและไม่อาจควบคุมได้ เสธ อ้าย คิด "มันมาแล้ว ไอ้เงามืดนั่น มันเริ่มเล่นกูแล้วโว้ย" มรึงจะให้กูรับผิดชอบขนาดนี้ แล้วแอบมาเล่นสร้างความวุ่นวายในม็อบกู ให้กูรับผิดชอบคนเดียว แล้วมรึงแม่งคนทำอยู่เบื้องหลัง ก็ตีสีหน้าเป็นผู้ดีต่อไปนี่นะ กูไม่เอากับมึงแล้ว ทุกคนแยกย้ายกลับบ้าน ทั้งๆ ที่อารมณ์กำลังได้ที่แล้วทีเดียว จะลุยต่อมันก็ได้ แต่ "หน้ากากบังหน้า" มันไม่มี ไม่ยอมทำหน้าที่แล้ว ถ้่าลุยต่อเดี๋ยวคนทั้งประเทศได้รู้กันว่ามันไม่ใช่ฝีมือ เสธ อ้่าย แต่มันมี "ตัวบงการเบื้องหลัง" ชักใยอีกทีหนึ่ง ว่าแล้วก็เลย "ประกาศหยุดม็อบ" ซะเลย ทุกอย่างก็เลยจบเห่ ละครฉากใหญ่เลยปิดม่านลงด้วยประการฉะนี้


วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พระรามปราบทศกัณฐ์ ทำถูกต้องแล้วจริงหรือ?

วันนี้ขอมาแปลกหน่อยครับ ที่วิจารณ์พระราม เมื่อครั้งทำสงครามล้างเผ่ายักษ์ เพียงเพื่อชิงนางสีดากลับมาเพียง ๑ นางเดียว (เล่นเอาปวงสัตว์มากมายต้องมาตายในสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานนั้น) ผมจะไม่อ้อมค้อมนะครับ เพราะนี่ไม่ใ่ช่งานเขียนในหนังสือเล่มหนา ที่มุ่งหวังปริมาณให้คุ้มราคา เราเป็นสื่อเน็ต ต้องเร็ว, ลัด, สั้น, ง่าย ทันใจครับ สรุปว่า "พระราม" ทำผิดพลาดหลายประการ ดังนี้ครับ


๑. พระราม ไม่ได้สู่ขอนางสีดาต่อ "บิดามารดา" ผู้ให้กำเนิด ซึ่งบิดาผู้ให้กำเนิดนางสีดา ก็คือ "ทศกัณฐ์" นั่นเอง ดังนั้น การที่นางสีดาถูกทศกัณฐ์ลักพาไปนั้น หากสาวให้ลึกซึ้งถึงความเป็นมาของนางสีดาให้ชัดเจนแท้จริงแล้ว จะพบว่า "ทศกัณฐ์" ไม่ได้ทำผิด เพราะเท่ากับไปเอาลูกสาวของตนคืนมาจากชายผู้ไม่ได้ทำพิธีสู่ขอลูกสาวของตนให้เรียบร้อยก่อน ก็เท่านั้นเอง ทั้งนี้ ทศกัณฐ์ก็ไม่เคยล่วงเกินนางสีดา

๒. ต่อให้ทศกัณฐ์กระทำความผิดจริง ก็มีทางออกหลายทางที่ไม่จำเป็นต้อง "ทำสงครามล้างเผ่าพันธ์" พระรามเป็นผู้ที่เหี้ยมโหดมากยิ่งกว่ายักษ์ เพราะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยักษ์หมดโคตรหมดตระกูล แม้แต่ภิเภก ผู้ซึ่งจงรักภักดีทำงานให้พระรามมาตลอด ก็ไม่มีละเว้น ท่านแสร้งทำเป็นไม่รู้ แล้วยิงธนูเสี่ยงทายไปว่ามียักษ์เหลืออีกหรือไม่? สุดท้าย ศรนั้นจึงต้องแก่ภิเภก (ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเ็ป็นต้องยิงศรนั้นเลย ก็ได้)

๓. พระรามเป็นผู้กระหายสงคราม เพียงเพื่อ ๑ นางเดียว ถึงกับต้องทำสงครามยืดเยื้อยาวนาน ที่แท้ ก็คือ แผนการอันแยบคายของพระรามที่จะอ้าง "ความชอบธรรม" ในการทำสงครามล้างเผ่าพันธุ์ยักษ์เท่านั้นเอง กล่าวคือ อาศัยการอ้างว่าตนทำสงครามเพื่อชิงภรรยาตนเองกลับมา จะได้ดูเป็นพระเอก เป็นคนดี มีความชอบธรรมในการทำสงครามนั้น ทว่า เพื่อ ๑ นางเดียวคนนี้ ท่านได้ทำให้ปวงสัตว์ตายไปเท่าไร?

๔. มีหลายต่อหลายครั้งที่พระรามสามารถไว้ชีวิตพวกยักษ์ได้ แต่ไม่มีเลย ท่านไม่มีละเว้น ไม่มีผ่อนโทษ ไม่มีอภัยให้พวกยักษ์เลยแม้แต่น้อย ดังนั้น จึงเป็นผู้ไร้ความเมตตา อ้างเอาคุณธรรมความดี (ในแบบที่ตนอ้างนั้น) ขึ้นบังหน้า เพื่ออำพรางเป้าประสงค์อันแท้จริง คือ การฆ่าล้างเผ่าวงศ์ยักษ์ ก็เท่านั้นเอง จริงอยู่ยักษ์ย่อมมีวิสัยไม่ดีเพราะเขาคือยักษ์ เหมือนเสือก็ต้องเป็นเสือ แต่เราต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยหรือ?

๕. แม้แต่ฤษี พระอาจารย์ของทศกัณฐ์ก็ยังปกป้องทศกัณฐ์ไว้ ฤษีนั้นก็ไม่่ใช่ว่าเลวทรามชั่วช้า แต่ท่านก็มีอุดมการณ์ของท่านเอง เหตุใด พระรามผู้นับถือคุณธรรมความดี ไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า ทำไม นักบวชผู้ทรงศีลผู้นี้ ต้องปกป้อง หรือให้การช่วยเหลือแก่ทศกัณฐ์ (ด้วยการซ่อนกล่องดวงใจไว้ให้) ทศกัณฐ์เป็นยักษ์เลวทรามต่ำช้าจริงหรือ? หรือเพียงแค่ "ผิดครั้งเดียวเพราะละเมิดพระราม" จึงกลายเป็นบาปมหันต์?


เอาละ ผมขอสรุปเลยว่า "พระรามทำผิดต่อศีลธรรม ที่แก้ปัญหาแบบนี้" แต่พระรามทำถูกต้องแล้วตามวิถีของกษัตริย์เพราะ้ท่านมีภิเภกผู้หยั่งรู้ทุกอย่างอยู่ข้างกาย จะถามสักหน่อยว่าทำไม ทศกัณฐ์จึงชิงตัวนางสีดา สองคนนี้มีกรรมอันใดเกี่ยวกันมา ก็ย่อมได้ความแล้ว (เพราะขนาดเรื่องกล่องดวงใจหรืออะไรต่อมิอะไร ภิเภกก็รู้หมด) แต่ท่านกลับไม่ถามให้ชัดแจ้งก็โยนความผิดบาปให้ทศกัณฐ์ทันที นี่ก็เพื่อให้ตนไม่ต้องไปสู่ขอนางสีดาจากทศกัณฐ์นั่นเอง เพราะอะไร? เพราะถ้าสู่ขอเมื่อไร เมืองมนุษย์ของพระรามต้องตกเป็น "เมืองลูกเขยยักษ์" และแน่นอน เมืองใดเป็นเมืองลูกเขย ย่อมต้องเป็นเมืองลูก เมื่อเป็นเมืองลูก ก็ต้องเป็นเมืองขึ้นไปโดยปริยาย เฉกเช่นที่ "มะกะโท" ตกเป็นเมืองขึ้นของพ่อขุนรามฯ เพียงเพราะได้ลูกสาวของพ่อขุนรามฯ เป็นมเหสี นั่นเอง นี่แหละ "การเมือง" อย่าไปคิดเลยว่าจะมีใครดีแท้ หรือชั่วจริงๆ ไม่มีหรอก ทุกอย่างทำไปก็เพื่อตอบโจทย์การเมืองเท่านั้น ไม่มีใครถูกผิด, ดีชั่วจริงๆ ในการเมืองนี้หรอก


สุดท้ายก็คือ "หน้าที่สำคัญของพระราม" ที่ต้องจุติลงมาเพื่อปราบทศกัณฐ์ (แต่แทนที่จะหาทางฆ่าทศกัณฐ์ผู้เดียว กลายเป็นว่าทำสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยักษ์ไป นับว่ากระทำการณ์โดยขาดความรอบคอบ) นั่นคือ มันถึงวาระแล้วที่ทศกัณฐ์จะต้องตาย แต่ไม่มีใครทำให้ตายได้ ก็เลยต้องให้พระนารายณ์อวตารเป็นพระรามลงไปทำหน้าที่เท่านั้นเอง ดังนี้แล้ว ท่านจึงไม่ผิดในแง่ของ "สัจธรรมความจริง" ไม่ผิดต่อสวรรค์ เพราะท่านทำตามหน้าที่ ตามบัญชาสวรรค์เท่านั้นเอง แต่ถ้าจะมองในมุมของชาวโลกแล้วละก็ ก็เป็นอย่างที่ผมได้อธิบายไปข้างต้น นั่นแหละครับ สำหรับบทวิจารณ์นี้ "คงขัดใจท่านอย่างยิ่ง" เพราะไม่เคยมีใครไปว่ากล่าวพระรามว่าผิดสักที ท่านเป็นวีรบุรุษตลอดกาลอันหาความผิดไม่ได้อยู่แล้ว อนึ่ง ผมไม่ได้เข้าข้างทศกัณฐ์และไม่ได้เห็นดี เห็นงามอะไรกับการไปแย่งภรรยาเขามาแบบนั้นอีกด้วย เพราะถ้าเพียงทศกัณฐ์เอะใจบ้างว่า "ทำไมตนจึงแตะเนื้อต้องตัวนางสีดา ไม่ได้" ก็อาจสืบสาวจนทราบว่านั่นคือ บุตรสาวของตนเองที่หายไป นั่นเอง สุดท้ายนี้ ท่านจะเห็นต่างอย่างไร ก็ตามแต่ใจท่าน เสนอความคิดเห็นและมุมมองมาได้เลยครับ ...


วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"สงครามเย็น" กับ "สงครามไฟ" ใครได้เปรียบ?

ในบทความนี้ ผมจะขอวิจารณ์ต่อเนื่องจากบทความก่อนๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการขยายอิทธิพลของชาติมหาอำนาจสองยักษ์ใหญ่ นั่นคือ อเมริกา และ จีน ครับ ผมจะสรุปง่ายๆ สั้นๆ เลยก็แล้วกัน กล่าวคือ ฝ่ายอเมริกาจะใช้ "สงครามไฟ" คือ เปิดเผย, สู้รบโดยใช้อาวุธ และก่อให้เกิดผลเสียหายเชิงวัตถุด้วย ผมขอเรียกว่าเป็น "สงครามไฟ" ก็แล้วกัน ซึ่งอเมริกาใช้ได้ผลมากมาแล้วกับชาติอาหรับ และเมื่อปีที่แล้ว ก็ทำให้หลายชาติให้อาหรับเกิดการปฏิวัติลูกโซ่ต่อเนื่องกันหลายประเทศ เกือบจะเป็นโดมิโน่อยู่แล้ว แต่กระบวนการชะงักไปก่อนครับ ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจถ้าฝ่ายอเมริกาจะใช้กลยุทธ์ที่ประสบผลสำเร็จแล้วนี้ "เป็นโมเดลในการใช้กับเอเชีย" ด้วย ส่วนฝ่ายจีนจะใช้ "สงครามเย็น" ครับ (ธาตุน้ำ) กล่าวคือ จะไม่มีการสู้รบทางการทหารแบบตรงๆ หรือเปิดเผย แต่จะเป็นการ "กลืนเงียบ" เช่น การอยู่เบื้องหลังของผู้มีอำนาจทางการเมืองของประเทศต่างๆ เช่น กัมพูชา, ไทย, ลาว, พม่า เ็ป็นต้น ซึ่งภายหลังพม่ากำลังตีตัวออกห่างจากจีนแล้ว และเริ่มหันมาจับมือกับอเมริกาเพื่อถ่วงดุลอำนาจครับ ส่วนไทย ก็คานอำนาจด้วยสีเสื้อที่ต่างกัน (อันนี้ คงไม่ต้องบอกตรงๆ นะครับ น่าจะรู้ว่าสีอะไรอยู่ฝ่ายไหน) เพราะหลังจากที่จีนประสบผลสำเร็จกับ "กลยุทธ์กลืนเงียบ" ได้ ธิเบต ไปแล้ว ก็เริ่มขยายออกมาอีกหลายประเทศมากครับ


คำถามก็คือ สงครามรูปแบบไหน ใครได้เปรียบ เพราะอะไร? ตอบง่ายๆ สั้นๆ เลยครับ ถ้าใช้สงครามเย็นต่อไป "จีน" ได้เปรียบและกลืนเรียบแน่ แต่ถ้าใช้สงครามไฟ "อเมริกา" ได้เปรียบแน่นอนครับ ดังนั้น มันจึงขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถ "สร้างสถานการณ์ที่เื้อื้อต่อสงครามรูปแบบใด ให้เกิดขึ้น" ก็เท่านั้นเองครับ เช่น ถ้าจีนอ้างสันติภาพ แล้วทำสงครามเงียบๆ เย็นๆ กลืนเงียบอย่างนี้ต่อไป โดยไม่มีการต่อต้านไม่มีการสู้รบเลย จีนก็จะ "ชนะโดยไม่ต้องรบ" กินเรียบหมดครับ แต่ถ้าอเมริกา "จุดปมฉนวนสงคราม" ยั่วยุให้จีนถลำเปิดศึกแบบเปิดเผยเอง ทำสงครามไฟ อย่างเปิดเผยได้ อเมริกาก็จะมี "ข้ออ้างที่สวยหรู" ในการยื่นมือเข้ามาเล่นงานจีนครับ และนั่น จะทำให้อเมริกาได้เปรียบจีนทันที เช่น ยุให้ฟิลิปปินส์ปะทะตรงๆ กับจีนไปเลย เพื่อให้จีนเปิดศึก ถ้าจีนเปิดศึก อเมริกาก็จะอ้างว่า "ฉันจะขอเข้ามาช่วยเหลือฟิลิปปินส์ เพื่อนของฉัน" แล้วก็อัดสงครามไฟใส่จีนไปเลย รับรองว่าอเมริกาได้เปรียบแน่นอนครับ (อเมริกาก็ได้ชัยในศึกแถบอาหรับมากมายมาแล้วครับ) ดังนั้น เพื่อไม่ให้อเมริกาทำเช่นนั้นได้ จีนจึงต้องใช้ "กัมพูชา" ออกมารับหน้า "ชนกับฟิลิปปินส์" แทน ดังที่คุณเห็นในข่าววันนี้ (๒๐ พ.ย.) ในที่ประชุมอาเซียน กัมพูชาเสนอให้อาเซียนแก้ไขปัญหาข้อพิพาททะเลจีนใต้เอง โดยไม่มีอเมริกาเข้ามายุ่ง "เป็นฉันทามติ" แต่ทันใดนั้น "ฟิลิปปินส์" ก็ค้านทันทีว่า "ไม่ใช่ฉันทามติ เพราะฟิลิปปินส์ไม่ได้เห็นด้วยเลย" เป็นอันว่าจีนก็ไม่ต้องเปิดศึกโดยตรงกับใคร โดยใช้ "กัมพูชา" เป็นตัวเดินเกมแทน ทว่า ผมคิดว่าหมากเกมนี้ยังไม่จบง่ายๆ ครับ มันจะต้องมี "รุกไล่ต้อนให้จนมุม" ต่อไป เพื่อให้ "จีนถลำตัว ออกหน้า เปิดศึกเอง" เมื่อจีนเล่นงานคนอื่นเขาก่อน ก็ต้องเป็น "ฝ่ายรุกราน" และทำให้อเมริกาได้รับ "ความชอบธรม" ในการยื่นมือเข้าช่วยเหลือฟิลิปปินส์ทันที ดังนั้น คุณลองดูต่อไปว่าพวกเขาจะเดินเกมนี้หรือไม่? หรือว่าถอยทั้งคู่ เพราะตึงเครียดเกินไป (ใจไม่ถึง ไม่กล้าวางหมากต่อไป) แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่มีผลดีต่ออาเซียนเลยครับ ดังนั้น กลุ่มประเทศอาเซียนต้องหาทาง "เอาตัวเองรอด" จากวังวนนี้ให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปนะครับ


เอาละ ถ้าคุณเห็นผู้เข้าร่วมประชุมอาเซียนในประเทศกัมพูชาวันนี้ คุณคงแปลกใจมาก เพราะไม่เคยมีมาก่อนที่จะพบผู้นำระดับบิ้กๆ จากประเทศใหญ่ๆ หลายประเทศ จ้องรุมสุมหัวเข้าหากันขนาดนี้ มาหมดทั้งจีน, อเมริกา, รัสเซีย ฯลฯ ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่นอนครับ ซึ่งเราก็จะได้จับตามองกันต่อไป...



วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มวยคู่เอก : โอบาม่า VS สีเจี้ยนผิง

ข่าวร้อนสุดฮอตฮิตประจำสัปดาห์และเดือนนี้ ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรเกินไปกว่าการเดินทางมาเยี่ยมเยียนประเทศไทยของ "บารัค โอบาม่า" อันส่งผลใ้ห้ประเทศจีนส่งนายกฯ เข้ามาเยือนไทยด้วยในลำดับถัดมา แบบไม่น้อยหน้ากันเลยทีเดียว (โปรดสังเกตุว่าทางฝ่ายจีน จะรอดูอเมริกาก่อนว่าจะวางหมากอย่างไรจึงค่อยลงภายหลัง เช่น รอให้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาออกมาก่อน แล้วจีนจึงค่อยประชุมเลือกตัวผู้นำคนต่อไป) และจะกลายเป็น "ประเด็น" ที่ผมจะขอหยิบยกมาวิพากย์วิจารณ์กันในบทความนี้ด้วยนะครับ


อย่างแรก ผมขอสรุปสั้นๆ เท้าความถึงความเป็นมาก่อนหน้านี้สักหน่อย หลังจากที่โลกเริ่มสั่นคลอนและขั้วอำนาจเก่าเริ่มไม่อาจรักษาอำนาจเดิมไว้ได้ จีนได้ผงาดขึ้นมากลายเป็น "ขั้วอำนาจใหม่" ที่มีพลังและความสำคัญไม่แพ้อเมริกาในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันนั้น อเมริกา, ยุโรป ฯลฯ ที่เคยมีอำนาจมากเป็นกลุ่มอำนาจเก่ากลับยิ่งอ่อนแอและถดถอยลงเรื่อยๆ (ยุคของบารัก โอบาม่า คือ ยุคถดถอยของอเมริกาครับ) ทำให้พลังอำนาจของอเมริกาที่มีแต่เดิมทั่วโลกลดลง และถูกบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ โดยการขยายอิทธิพลของประเทศจีน โดยผ่านการค้าที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วของประเทศจีนนั่นเอง ในขณะที่ "โลกขั้วทุนนิยม" พยายามส่งสัญญาณให้ "ทุนจีน" เข้ามาช่วยหนุน และเปิดประเทศจีนให้มีการค้าขายอย่างเสรีและเท่าเทียมกันมากขึ้น อันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของ "โลกขั้วทุนนิยม" ได้ ทว่า กลับไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจาก "โลกขั้วสังคมนิยม" นัก ในขณะที่ประเทศจีน หันกลับมาสร้าง "ความเข้มแข็งจากรากฐานภายใน" แล้วจึงค่อยขยายอิทธิพลออกรอบนอกเช่น ธิเบต, ฮ่องกง, ไต้หวัน, เวียตนาม, ลาว และพม่า เป็นต้น ในขณะเดียวกัน "ภาพรวมทั่วโลก" เปลี่ยนแปลงไป ยุโรปถดถอยลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหาทางแก้ไขได้ แต่เอเชียกลับกำลังรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้นทุกวัน ทั้งจีนและเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ คือ "อาเซียน" ส่งผลต่อโลกทั้งใบทันที ความสนใจของทั่วโลก จึงต้องเบนเข็มจากยุโรปและอเมริกามาตั้งฐานการตลาดที่ "อาเซียน" เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทั้งการค้าและการทำสงคราม และเมื่อเป็นเช่นนี้ อเมริกา จึงต้องให้ความสำคัญกับอาเซียนมากขึ้น เห็นได้ชัดจากนโยบายการต่างประเทศที่ทำกับ "พม่า" ในขณะที่อองซาน ได้รับการยกย่องเป็น "วีรสตรี" เพื่อใช้เป็นหมากเดินเกมของโลกขั้วทุนนิยม การแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในกลุ่มประเทศอาเซียนจึงกระทบอย่่างยิ่งยวดต่ออเมริกา และทำให้อเมริกาต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ เช่น เพิ่มงบประมาณทางการทหารในกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น เป็นต้น และเพื่อไม่ให้จีนขยายอิทธิพลไปได้มากกว่านั้น อเมริกาจึงต้องหนุนให้ "อาเซียนงัดข้อกับจีน" เพื่อจะให้อาเซียนคานอำนาจกับจีนนั่นเอง โดยที่อาเซียนอาจไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลยกับหมากเกมนี้ เช่น การทำให้มี "ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้" เกิดขึ้น นั้นก็ "คาดว่า" เป็นเกมการเมืองที่อเมริกาเคยใช้ได้ผลกับประเทศในกลุ่มอาหรับมาแล้ว และกำลังถูกนำมาใช้กับประเทศในกลุ่มอาเซียนต่ออีก นั่นเอง หรือกล่าวโดยสรุปง่ายๆ ว่า "แนวนโยบายของเดโมแครต" ก็คือ การเมืองนำการค้า ใช้การทหารเข้าเปิดทาง เพื่อทำให้ได้โอกาสทางธุรกิจในลำดับต่อไป (แตกต่างจากรีพับริกัน ที่จะใช้การทหารน้อยกว่า พวกนั้นจะใช้กฏหมายและการเจรจามากกว่าการทหาร) คำถามก็คือ "อาเซียน" จะทำอย่างไร? เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากต่อการตัดสินใจ จะปล่อยให้อิืทธิพลของจีนรุกคืบเข้ามากลืนอาเซียนอย่างเงียบๆ หรือจะยอมเป็นเครื่องมือทางการทหารให้แก่ขั้วทุนนิยม เพื่องัดข้อกับประเทศจีน? แน่นอนว่า ไม่มีทางไหนที่ให้ผลดีแก่ประเทศในกลุ่มอาเซียนเลย เพราะล้วนแต่ตอบโจทย์ความต้องการของ "อภิมหาอำนาจ" ทั้งสองทั้งสิ้น


สิ่งที่เราจะมาจับตาดูกันต่อไป ก็คือ การเดินหมากของคนทั้งสอง ๑. ประธานาธิบดีอเมริกา "โอบาม่า" และ ๒. ประธานาธิบดีคนใหม่ของจีน "สีเจี้ยนผิง" เพราะเกมนี้ ถูกวางหมากไว้แล้วแต่แรก ก่อนที่คนทั้งสองจะตัดสินใจ ขั้วจีนก็มี "หูจิ่นเทา" วางหมากปูทางไว้ให้สีเจี้ยนผิง เดินเกมต่อแล้วอย่างงดงาม และเหนือชั้นยากที่จะแก้ ขั้วอเมริกาก็มี "องค์กรลับ" ที่อยู่เบื้องหลังการเมืองอเมริกา คอยเป็นผู้วางแผนส่งให้ประธานาธิบดีเดินเกมต่อไป เราจะมาคอยดูกันว่าบุคคลทั้งสองจะเดินเกมต่อไปอย่างไร โดยเฉพาะบทบาทใน "อาเซียน" ซึ่งส่งผลกระทบต่อเรามากที่สุด และฮิตฮอตที่สุดในยุคปัจจุบัน




วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มวยคู่เอก : นิวเอจ VS มอร์มอน

สำหรับมวยคู่เอกในวันนี้ ผมขอเสนอ "นิกายสองนิกาย" ซึ่งเป็นนิกายเกิดใหม่ของคริสตศาสนานะครับ ก่อนอื่น ผมจะสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับคริสตศาสนา่ก่อน เริ่มเดิมทีก็ไม่มีนิกายเหมือนกับพุทธศาสนานั่นแหละครับ จากนั้น ก็แยกเป็นสองนิกายใหญ่ คือ ๑. คาทอลิค (กลุ่มดั้งเดิม) ๒. โปรแตสแตนท์ (กลุ่มหัวก้าวหน้า) สรุปง่ายๆ คือ คาทอลิกจะอนุรักษนิยม ยึดถือสิ่งดั้งเดิมตามแนวทางของตน คล้ายๆ กับเถรวาทในพระพุทธศาสนานะครับ ซึ่งในนิกายนี้จะมี "พระสันตปะปา" เป็นศูนย์กลางของทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชาวคริสตร์ในประเทศใด จะต้องขึ้นตรงกับพระสันตปะปาครับ และจะไม่มีอะไรใหม่ไปกว่าสิ่งที่ได้รับการยืนยันและเชื่อกันมาแล้วว่า "ถูกต้อง" มากกว่านั้นไม่มีอีกครับ ดังนั้น จึงไม่มีการแตกหน่อ แตกกอ ไปเป็นนิกายใหม่อีกได้ครับ ส่วนนิกายโปรแตสแตนท์ จะตรงกันข้าม คือ จะหัวก้าวหน้า เน้นพัฒนาไม่เน้นอนุรักษนิยม อะไรที่เห็นว่าควรปรับเปลี่ยนก็สามารถปรับเปลี่ยนตาม "การตีความของแต่ละคนที่ต่างกันไป" ได้ครับ ดังนั้น แม้ในโปรแตสแตนท์เอง ก็มีการแตกหน่อแตกกอ ออกไปตามความคิดของคนแต่ละคนที่ต่างกันได้ครับ ที่สำคัญอีกประการคือ โปรแตสแตนท์ไม่ได้เอาพระสันตปะปาเป็นศูนย์กลางของทุกอย่างนะครับ (และเชื่อว่าแม้แต่พระสันตปะปาและนักบวชชาวคริสต์ทั้งหลาย ก็ล้วนทำผิดกันได้ครับ)


ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เกิด "ลัทธิ" ใหม่ๆ ขึ้นมาจากนิกายโปรแตสแตนท์ นั่นเองครับ ซึ่งมากมายเหลือเกิน ถ้าดูทั่วทั้งโลกนะครับ แต่ที่เห็นจะโดดเด่นและน่าสนใจจะมีอยู่ ๒ ลัทธิ อีกเช่นกันครับ ซึ่งผมจะได้นำมาเป็นหัวข้อในการวิจารณ์กันในวันนี้ นั่นก็คือ ๑. ลัทธินิวเอจ ๒. ลัทธิมอร์มอน ซึ่งลัทธิมอร์มอนนี้ ก็เป็นลัทธิที่ "มิต รอมนี่ย์" นับถืออยู่ด้วยสิครับ เอาละ ที่นี้น่าสนใจหรือยังละครับ? ว่าทำไม พรรครีพับริกันจึงสนับสนุนคุณ มิต รอมนี่ย์ ขึ้นชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และเกี่ยวข้องอะไรกันกับความเชื่อในลัทธิที่เขานับถือหรือไม่? (ลัทธิมอร์มอน เป็นลัทธิที่เกิดในอเมริกา ก่อตั้งโดยคนอเมริกัน ทั้งคัมภีร์มอร์มอนก็เขียนโดยชาวอเมริกัน จึงไม่ได้มีของที่ตกทอดมาจากยุโรปหรือต้องขึ้นกับพระสันตปะปาเลย) อย่างหนึ่งที่ผมอยากบอกคุณคือ "พรรครีพับริกัน" จะเน้นชาตินิยมมากกว่าพรรคเดโมแครต จะทำอะไรจะยึดเอาผลประโยชน์ของคนอเมริกันเป็นที่ตั้งมากกว่า และเคร่งครัดมากกว่าพรรคเดโมแครต (ดังนั้น ก็อาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า ถ้าบารัค โอบาม่า ได้เป็นประธานาธิบดีครับ เพราะว่าพรรคนี้จะไม่ทำเพื่อชาตินิยมมากเท่าไรนัก) อย่างนโยบายกำจัดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นี่ก็จะเคร่งครัดมากในพรรครีพับริกัน แต่เมื่อมาถึงมือพรรคเดโมแครตแล้วก็จะผ่อนคลายลง ปรับตามสถานการณ์มากกว่าครับ เอาละ ทีนี้ คุณเห็นภาพเชื่อมโยงหรือยังว่าทำไม "พรรครีพับริกัน" จึงต้องเลือกมิต รอมนี่ย์ เข้าชิงประธานาธิบดี และเกี่ยวข้องกับลัทธิมอร์มอนอย่างไร? อย่างนี้ครับ ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ผมจะอธิบายให้เข้าใจเอง สมมุติว่าคุณเป็นประเทศไทย นับถือคาทอลิค คุณก็ต้องขึ้นกับพระสันตปะปาซึ่งเป็นชาววาติกัน ถ้าคนทั่วโลกนับถือคาทอลิคหมดละ ไม่ต้องขึ้นอยู่กับนครรัฐวาติกันหมดหรือ? ใช่ไหมครับ? ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยนะครับ ในสมัยโบราณ อำนาจของคริสตจักรมีมากถึงขนาด สามารถสั่งให้ประเทศหนึ่งทำสงครามกับอีกประเทศหนึ่งได้เลย ดังนั้น แม้แต่พระราชาหรือผู้นำประเทศ ยังต้องเกรงอำนาจของพระสันตปะปาครับ และถ้าคุณทราบประวัติของพระนางอลิซาเบต ผู้นำของอังกฤษฝ่ายสถาบันกษัตรย์แล้วละก็ คุณจะทราบว่าท่านไม่ได้นับถือคริสตศาสนานิกาย "คาทอลิค" นะครับ และท่านก็เ็ป็นผู้นำของลัทธิใหม่ที่ท่านปกครองเองครับ


เอาละ ผมจะสรุปลัทธิสองลัทธิใหม่นี้ให้สั้นๆ ง่ายๆ ก็แล้วกัน


๑. ลัทธินิวเอจ ถูกจับตามองว่าจะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ "กลุ่ม New world order" ซึ่งมีอิทธิพลต่อโลกมาก ลัทธินี้สอนให้คน "ตั้งตัวเป็นพระเ้จ้า" เหมือนเวลาเราไปเรียนปริญญาโท MBA เขาก็จะสอนให้เราตั้งตัวเป็น "เจ้าของกิจการ" นั่นแหละ ทว่า ถ้าท่านเข้าใจผิดไปนิดเดียว ท่านก็จะหลงตัวเองว่าฉันเป็นพระเจ้าแล้ว (สนองกิเลสความอยากเป็นที่ถูกกดมานาน) แต่ถ้าคุณเข้าใจ "ความเป็นหนึ่งเดียวกันและหลักตรีเอกานุภาพ" แล้ว คุณก็อาจจะไม่เกิดอาการอย่างนั้นขึ้นมา ซึ่งในความเป็นจริง มันยากครับที่จะไม่ทำให้คนหลงเข้าใจผิด หลงตัวเองแบบนั้น ดังนั้น คนในลัทธินี้ จึงมีแนวคิด "สร้างโลก ควบคุมโลกให้เป็นไปตามที่ตนเองคิด" เพราะอะไร? เพราะพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาคือพระเจ้าอย่างไรละครับ


๒. ลัทธิมอร์มอน ถูกจับตามองว่าอาจเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรครีพับริกัน ในการเปลี่ยนเอาลัทธินี้ที่เกิดจากคนอเมริกันขึ้นมาแทนที่จะเปิดรับนิกายอื่นๆ เช่น นิกายคาทอลิคที่คุณต้องขึ้นตรงต่อพระสันตปะปา และนั่นก็หมายความว่าคุณต้องขึ้นตรงต่ออำนาจของคริสตจักรแห่งนครรัฐวาติกันอีกด้วย นี่แหละ พรรครีพับริกันก็เลยพิทักษ์ผลประโยชน์ตามแนวนโยบายอนุรักษนิยมของตน ด้วยการเชื่อของคนอเมริกันเอง แทนที่จะไปขึ้นตรงต่อชนชาติอื่น ใช่ไหมละครับ อนึ่ง ลัทธิมอร์มอนนี้ สอนให้คนเปิดใจกว้างมากขึ้น และเชื่อว่าพระเจ้าได้ประทานพระวัจนะเสมอๆ ทั้งอดีตและอนาคต ดังนั้น แม้แต่คัมภีร์มอร์มอนก็เป็นหนึ่งในคัมภีร์ที่มาจากพระวัจนะครับ (ในขณะที่นิกายอื่ืนๆ จะไม่ยอมรับคัมภีร์มอร์มอนนี้)


เอาละ หวังว่าท่านคงเห็น "ความเชื่อมโยง" ของลัทธิทั้งสองนี้ ที่มีต่อ "การเมืองระดับโลก" บ้างนะครับ ต่อไปผมจะเปิดเวทีเสรีให้ท่านทั้งหลาย ลองแสดงความคิดเห็น, วิพากย์, วิจารณ์ ร่วมกันในประเด็นนี้ ได้อย่างอิสระเสรี หากท่านใดมีข้อมูลข้อเท็จจริง จะนำเสนอประกอบก็สามารถทำได้เลย ขอเชิญครับ ...


วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โพรมีธีอุส ฤาคือ จินตนาการไร้สารความจริง

โอ้ย ท่านผู้อ่านครับ หมดยุคสมัยแล้ว ที่ท่านจะได้เห็น "ผลงานศิลปะระดับโลก" เช่น ภาพยนต์, เพลง, รูปภาพ ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไร ที่ดังได้เพราะอาศัย "การโฆษณาประชาสัมพันธ์" เพื่อให้ดังในระดับโลก ท่านจะไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ที่มาจาก "จินตนาการเสรี" อีกต่อไป แต่มันจะมาจาก "แผนการระดับโลก" ทั้งสิ้นครับ ทำไมผมจึงกล่าวเช่นนี้? อธิบายง่ายๆ นะครับ สมมุติ คุณจะทำหนังให้เป็นที่รู้จักระดับโลก ขายไปทั่วโลก ผมถามคุณหน่อยครับว่า คุณจะต้องใช้เงินในการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ระดับโลกเท่าไร? แม้ว่าคุณจะมีเงินมากมายล้นฟ้า แต่เชื่อเถอะครับว่า คุณคงไม่บ้า เอามาลงกับหนังเรื่องเดียว คุณก็ต้องสำรองเอาไว้เพื่อสถานภาพ, ความมั่นคงทางการเงิน, เพื่อเสถียรภาพของหุ้น ฯลฯ และเพื่ออะไรอีกมากมาย ดังนั้น อย่ามาเถียงเลยครับว่า "พวกเขารวย มีเงิน ไม่ต้องพึ่งพาทุนที่ไหน?" ไม่จริงหรอกครับ ใช้เงินมากทั้งนั้น พึ่งพานายทุนให้สนับสนุนกันทั้งนั้น และเมื่อคุณไ้ด้รับเงินทุนสนับสนุนแล้ว คุณก็ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับนายทุนครับ ซึ่งคนเหล่านี้ จะรับแผนการมาจาก "การเมืองระดับโลก" อีกที เช่น เลดี้ กาก้า ที่ดังได้ระดับโลก ก็ต้องอาศัยเงินทุนสนับสนุนมากมายครับ ดังนั้น เมื่อเธอมาประเทศไทย เธอจึงต้องโพสข้อความว่า "อิฉันจะไปซื้อโรแล็กซ์ปลอมในไทย หน่อยน่ะฮ่ะ" นั่นก็คือ เธอต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับ "กลุ่มทุนผู้สนับสนุน" (Capital Sponsor) นั่นเอง พวกนั้น ก็คือ "ผู้อยู่เบื้องหลังการเมืองระดับโลก" นั่นเอง และงานที่เขาจ้างให้เธอทำก็คือ "สร้างกระแสการต่อต้านของปลอมและสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์" อย่่างไรละครับ โอเคมั้ย? ตาสว่างอ่ะยังเจ้าคร่ะ? ยังทำบ่ฮู้บ่หัน อีกหรือเปล่าอ่ะก๊ะ


ตื่นได้แล้วท่านผู้ชมทั้งหลาย หมดยุคแล้วค่ะ ที่จะมี "หนังดังระดับโลกที่สร้างจากจินตนาการเสรี" ไม่มีหรอกค่ะ ไอ้ที่เป็นแค่จินตนาการน่ะ อันนั้น ตัวคุณเองละคะที่หลงคิดไปเองว่ามันเป็นแค่จินตนาการ เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงทุกวันนี้ "หมดโอกาสของจินตนาการเสรี" สำหรับ ใครก็ตามที่ต้องการดังระดับโลกไปแล้วค่ะ ดังนั้น สรุปนะคะว่า "ไม่จริงอย่างยิ่ง ถ้าบอกว่า หนังฮอลีวู้ด เป็นแค่จินตนาการเท่านั้น" ไม่ใช่เลย แม้แต่น้อยนิดค่ะ อันนั้น มันเป็นความคิดงมโข่งมากๆ ค่ะ ฮ่าๆๆ ปล่อยให้พวกหอยทาก หอยหลอด มันคิดกันไป คนเรามันไม่ต่ำขนาดที่จะไปหลงติดอย่างนั้นได้หรอกค่ะ เพราะ "สื่อระดับโลก" ทุกวันนี้ มีแผนการที่ทำไปเพื่อ "สร้างกระแสระดับโลก" เพื่อหวังผลทางการเมืองระดับโลกกันทั้งนั้น ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้คุณคิด จินตนาการได้อย่างเสรีอีกต่อไป คุณได้รับเงินสนับสนุนจากเขาแล้ว ให้ดังระดับโลกได้แล้ว ก็ต้องทำตาม "แผนการระดับโลก" ของเขาด้วยครับ ดังนั้น แม้่แต่การตั้งชื่อหนัง บางครั้ง คุณก็ต้องตั้งไปอย่างที่ไม่อยากจะตั้ง เช่น คุณสร้างหนังเรื่องหนึ่ง เนื้อเรื่องคือ คนไปท่องอวกาศแล้วถูกเอเลี่ยนไล่ล่าเอา คุณคิดแค่สนุกๆ ก็พอ สุดท้าย คุณต้องมาตั้งชื่อหนังว่า "โพรมีธีอุส" ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวแม่งอะไรกะ "โพรมีธีอุส" เลย แต่เขาก็ให้ตั้งชื่อแบบนั้นครับ (ทั้งๆ ที่ใจจริงอาจจะอยากตั้งว่า "เอเลี่ยน! ปีศาจเขมือบสยองอวกาศ" อะไรแบบนั้น) ก็เขาให้ตั้งชื่ออย่างนั้น ก็ต้องทำอย่างนั้น ตามตำสั่งของเจ้าของเงินครับ


กลับมาที่โพรมีธีอุสกันบ้าง ว่าทำไม เขาจึงต้องให้ตั้งชื่อนี้ละครับ? มันมีนัยยะสำคัญทางการเมืองระดับโลกยังไงกันเนี่ย? เอาละ ถ้าคุณสงสัยและอยากรู้ เมื่อลองเสิร์ซหาคำว่า "โพีมีธีอุส" คุณก็จะได้ความว่า เขาคือ มนุษย์ในตำนานเทพกรีก ที่เคยขโมยเอาไฟมาจากสวรรค์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ แต่แล้วก็ถูกลงทัณฑ์โดยเทพซูสครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรกะหนังอ่ะน่า? แน่นอน ไม่เกี่ยวเลย แต่เขาต้องการสื่อสารในระดับโลก เพื่อบอกนัยยะทางการเมืองอย่างหนึ่งครับ "ว่ามีคนแบบนี้ อยู่นะ ระวังตัวให้ดีละ จะโดนเหมือนโพรมีธีอุส" อ้่าว แล้วใครมันเหมือนโพรมีธีอุสละ ก็คนที่ชอบเอาอกเอาใจมนุษย์มากเกินไป เพื่อให้ได้มาซึ่งความนิยม คะแนนยินมมากๆ จะได้ครองอำนาจต่อไป โดยไม่สนใจดูว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ อะไรคือสิ่งที่ถูกต้องและจำเป็นต้องทำจริงๆ เหมือนกับโพรมีธีอุสที่ขโมยไฟมาให้มนุษย์นั่นแหละ เขาหารู้ไม่ว่าความหวังดีของเขาที่อยากให้มนุษย์ได้มีไฟใช้นั้นเอง คือ จุดเริ่มต้นของหายนะของมนุษย์ เพราะคนที่ไม่พร้อมรับมัน ก็จะใช้มันไปในทางที่ผิด ทำให้มนุษย์ใช้ไฟเข่นฆ่ากันเองมากมาย เช่น ระเบิดไฟในสงคราม เป็นต้น เอาละ ผมจะไม่อธิบายมากไปกว่านี้ ชัดเกินไป ก็กลายเป็นชี้ช่องให้จับผิดเสียอย่างนั้น ขอยกให้ท่านทั้งหลาย วิเคราห์วิจารณ์กันเอาเองว่าอะไรจริง อะไรเท็จ สำคัญคือ อย่าเพิ่งเชื่อตัวเองมากว่าตัวเองถูกต้องเสมอไปละ เพราะบางอย่างไม่มีใครรู้จริงหรอก คุณจะไปรู้ได้จริงๆ ไหมว่าเบื้องหลังการเมืองระดับโลก ใครเขา ทำอะไรกันบ้าง? โอ้ย คนอย่างเราก็ได้แค่คิด, สงสัย, วิจารณ์กันไป ก็เท่านั้นเอง (อย่าลืมว่า เราแค่วิจารณ์ ถึงแม้่ว่าเราจะรู้มาก มีข้อมูลเยอะ แต่เราก็อาจไม่ได้รู้จริง นะครับ)


ลองดูครับว่า "หนังดังระดับโลก" มันเป็นจินตนาการจริงๆ ไหม? หรือว่าแฝงนัยยะความจริงทางการเมืองระดับโลกอะไรออกมา เพื่อสร้างกระแส หรือสื่อสารโน้มน้าวใจคนให้ไปทางไหนได้บ้าง ลองเอาไปคิดดูแล้วเชิญโพสความคิดเห็นวิเคราะห์วิจารณ์กันได้อย่างเสรีเลยครับ