วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ย้อนเกร็ดประวัติศาสตร์แห่งอารยธรรม "ผ้า" สี่ยุคสมัยที่ท่านหาอ่านที่ใดไม่ได้ ดังนี้ฯ

อารยธรรมผ้า มีมายาวนานคู่กับมนุษย์ จนเราถึงกับยอมรับว่าเป็น "หนึ่งในปัจจัยสี่" ที่จำเป็นของมนุษย์เลยทีเดียว ทว่า ความเป็นมาของผ้านั้นยาวนานเพียงใด ไม่อาจประมาณได้ ผมจึงขอแบ่งเป็น ๔ ยุคดังนี้

๑. ยุคเปลือย คือ ยุคที่ยังไม่มีผ้า เกิดขึ้นบนโลก มนุษย์อยู่เหมือนสัตว์ ไม่ปกปิดร่างกาย เปลือยเปล่า ไม่ต่างจากสัตว์ ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างความรู้สึกของการเปลือยและการไม่เปลือย แต่อย่างใดเลย

๒. ยุคอำพราง คือ ยุคที่เริ่มหาใบไม้มาร้อยเรียง ปิดบังอำพรางบางส่วนของร่างกาย แต่ยังไม่รู้จักการใช้เส้นใยถักทอเป็นผ้าผืนเพื่อนุ่งห่ม แต่ยุคนี้เริ่มรู้จักการปิดบังอำพรางร่างกายแล้วสืบทอดแนวคิดต่อไป

๓. ยุคผ้านุ่ง-ผ้าผืน คือ ยุคที่รู้จักเส้นใย, การถักทอ ทำให้ได้ผ้าขึ้นมาครั้งแรก เป็นผืนๆ และมีการนุ่งห่มทั้งผืนโดยไม่มีการตัดเย็บให้เป็นรูปแขนขา เหมือนเสื้อและกางเกงอย่างที่เรานุ่งห่มกันอยู่ในทุกวันนี้

๔. ยุคผ้าตัดเย็บ คือ ยุคที่รู้จักการตัดเย็บผ้าผืน ให้เป็นรูปร่างต่างๆ เข้ารูป, เข้าตัว ทำให้มีเสื้อ (มีแขน), มีกางเกง (มีขา), มีกระโปรง (มีเอว) ฯลฯ เกิดขึ้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นยุคสมัยใหม่ของมนุษย์โลกเลยทีเดียว

สำหรับยุค "ตัดเย็บ" นั้น ผมไม่ขออธิบายมาก เพราะเป็นยุคร่วมสมัยที่เราเป็นกันอยู่ แต่การตัดเย็บของเรายังแยกกันระหว่างผ้าท่อนบนและท่อนล่าง ไม่แน่ว่ายุคต่อไปอาจสำเร็จได้ในชุดเดียว เรียกว่า เอาแค่ชุดเดียวก็ใส่ได้ทั้งตัวไปเลย ง่าย, เร็ว, ประหยัด ฯลฯ ว่าอย่างนั้น ก็ไม่แน่นะครับ เอาละ ผมขอขยายความย้อนไปในยุคที่เีรียกว่า "ยุคผ้านุ่ง-ผ้าผืน" กันก่อนดีกว่า ซึ่งยังคงหลงเหลือให้เห็นในยุคปัจจุบันน้อยมาก เช่น การห่มผ้าสาหรีของชาวอินเดีย, การห่มผ้าจีวรของพระ, การนุ่งโสร่งของชาวพม่า, การนุ่งผ้าขาวม้าของคนไทย ฯลฯ เป็นต้น ในยุคนี้ ไม่มีการตัดเย็บผ้าเป็นรูปร่างอื่นๆ นอกจากเป็นผ้าผืินเท่านั้น แต่ใช้การ "ผูก, รัด, มัด, พัน, พับ" ฯลฯ ในการนุ่งห่มแทน จึงเรียกว่า "ผ้านุ่ง" บ้าง "ผ้าห่ม" บ้าง แตกต่างกันออกไป ที่น่าสนใจคือ "วิธีการนุ่งห่มที่ต่างกัน" เช่น ในบางวรรณะจะนุ่งห่มอย่างหนึ่ง อีกวรรณะหนึ่งจะนุ่งห่มไปอีกอย่างหนึ่ง การนุ่งผ้าแบบพับด้านหน้าแล้วปล่อยชายผาตามปกติ เช่น การนุ่งสงบของพระ เป็นการนุ่งในแบบของวรรณะกษัตริย์ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็มาจากวรรณะกษัตริย์มาก่อน แล้วใช้การนุ่งผ้าแบบนี้ ส่วนการนุ่งผ้าอีกแบบเช่น การพันชายผ้าให้แข็งแล้วแทงใต้หว่างขา เหมือนหางแล้วเหน็บไว้ด้านหลังนั้น น่าจะมาจากการนุ่งผ้าแบบวรรณะพราหมณ์ ในสมัยก่อน ฝรั่งเห็นการนุ่งแบบนี้ ก็ล้อเลียนว่าคนไทยมีหางบ้าง เป็นลิง บ้าง ฯลฯ มาสู่สมัย ร. ๕ ก็เริ่มกำหนดควบคุมให้มีการนุ่งผ้าที่ได้จากการตัดเย็บ ผสมผสานกับการนุ่งผ้าแบบผ้านุ่ง ผู้หญิงที่เคยใช้ผ้ารัดอก ก็เปลี่ยนไปใส่เสื้อแทน วัฒนธรรมการนุ่งผ้าผืนจึงค่อยๆ หายไป


อนึ่ง วัฒนธรรมการนุ่งผ้าด้วยการ "ผูก, รัด, มัด, พัน, พับ" ฯลฯ ด้วยวิธีการต่างๆ นี้ค่อยๆ เลือนหายไปแล้ว นับว่าน่าเสียเดียดายเช่นกัน เพราะคนโบราณเริ่มนุ่งผ้าจากไม่กี่ผืน แล้วพัฒนาขึ้นซับซ้อนขึ้นจนมีหลายผืน ยิ่งในตระกูลคนร่ำรวยยิ่งใช้หลายผืน (ส่วนพระพุทธศาสนากำหนดให้ใช้เพียง ๓ ผืน เพื่อความสมถะ) เช่น ผ้าโผกศีรษะ ๑ ผืน, ผ้ารัดอก ๑ ผืน, ผ้าพาดไหล่ ๑ ผืน, ผ้านุ่ง (ท่อนล่าง) ๑ ผืน, ผ้าคาดเอว (คาดเอวแล้วปล่อยชายด้านหน้าเพื่อความสวยงาม) ๑ ผืน, ผ้าคลุมไหล่ ๑ ผืน ฯลฯ จะเห็นได้ว่า รายละเอียดของการใช้ผ้าผืนที่ไม่ผ่านการตัดเป็นรูปร่างต่างๆ นี้ มีมากมายทีเดียว และน่าสนใจมากอย่างยิ่ง ปัจจุบัน หากจะให้ใครสักคนลองนุ่งโจงกระเบนแล้ว คาดว่า คงยากที่จะนุ่งได้ หรือนุ่งเป็นนะครับ ทำให้เราไม่รู้ว่าคนโบราณใช้ผ้ากันอย่างไรบ้าง? ที่พอจะเป็นก็มีเพียง ผ้าขาวม้า, ผ้าขนหนู เท่านั้น แต่ผ้าที่ใช้ประดับตกแต่งอื่นๆ ก็เลือนหายไปหมด ซึ่งนับว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีคุณค่า อันจะช่วยสร้างคุณค่าของผ้าไทยให้กลับมามีบทบาทมากขึ้นได้อีกครั้งทีเดียว ทุกวันนี้ บางครั้งเรายังเห็นคนเข้าใจผิด ไปดูรูปแกะสลักภาพหญิงโบราณ คิดว่าเขาตัดชุดเป็นเสื้อ เป็นกระโปรง แล้วเอามาออกแบบเป็นเสื้อ เป็นกระโปรง ให้นางรำ ก็มี จะดูได้ในระบำสุโขทัย ซึ่งนับว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างมากครับ เพราะยุคนั้น ยังไม่มีเสื้อและกระโปรงเกิดขึ้นเลย มีแต่ "ผ้าผืนและวัฒนธรรมการผูก, รัด, มัด, พัน, พับ" ฯลฯ เท่านั้นเอง นับว่าน่าเสียดายครับ



วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คุณคือ "อลิซ ในแดนมหัศจรรย์" ของผม

เคยอ่านหนังสือหรือดูหนังเรื่ือง "อลิซ ในแดนมหัศจรรย์" ไหมครับ ถ้าท่านไหนไม่เคยทราบจะสรุปย่อๆ ให้ฟังดังนี้ครับ อลิซ คือ ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งในครั้งวัยเยาว์เธอได้เข้าไปสู่ดินแดนมหัศจรรย์ ที่ไม่่่น่าเป็นไปได้ แล้วเวลาผ่านไป เธอโตขึ้น จึงเปลี่ยนไป เธอมีชีวิตเหมือนคนทั่วไป วันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังจะแต่งงานกับลูกชายเศรษฐีคนหนึ่งนั้นเอง เธอได้กลับไปสู่ "ดินแดนมหัศจรรย์" อีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่สามารถจดจำมันได้ เธอจึงคิดว่าเธอกำลังฝันไป เธอได้ผจญภัยต่างๆ ในดินแดนมหัศจรรย์นั้น จนผ่านพ้นไปได้ราวกับปาฏิหาริย์ เหนือจินตนการของเด็กๆ บุคคลในจินตนาการคนหนึ่ง บอกเํธอว่า "เธอจะลืมพวกเขาอีก เธอจะจำพวกเขาไม่ได้" แต่เมื่อเธอได้กลับคืนมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง เธอกลับทำกับคนที่อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ราวกับสิ่งที่เธอทำกับตัวตนต่างๆ ในดินแดนมหัศจรรย์นั้น แท้แล้ว "ดินแดนมหัศจรรย์" ที่อลิซ เข้าไปนั้น คืออะไร? ความเป็นจริงก็คือ "อีกด้านหนึ่งของโลกแห่งความเป็นจริง" นี้นั่นเอง ซึ่งมันถูกปิดบังอำพรางไว้ด้วย "ความไม่เชื่อ ความคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ หรือไม่มีอยู่จริง" เมื่อใดก็ตามที่เราก้าวข้ามผ่านสิ่งขวางกั้นนี้ไปได้เราก็จะได้เห็น "ดินแดนมหัศจรรย์" นั้น ไม่ต่างจากอลิซ  และดินแดนมหัศจรรย์นั้น ไม่ใช่ที่ไหนเลย มันก็คือ โลกของเรา คนทุกคนรอบตัวเรานี่เอง ทว่า มันจะไม่อาจปรากฏขึ้นเป็นดินแดนมหัศจรรย์ได้เลย หากเรายึดมั่นใน "เปลือกนอกที่เรามองเห็นอยู่บนโลกนี้" ต่อไป เมื่อใดที่เรากล้าก้าวข้ามผ่านความเป็นไปไม่ได้ กล้าก้าวผ่านความไม่เชื่อว่ามันมีอยู่จริง เราจะได้เห็นมัน "ดินแดนมหัศจรรย์" ที่เป็นอีกมิติหนึ่งของโลกแห่งความเป็นจริงนี้ สุดท้าย อลิซตัดสินใจเลิกล้มการแต่งงานกับลูกเศรษฐี เธอเกิดความคิดที่ดีกว่าแล้วเธอได้ทำงานในบริษัทของเศรษฐีคนนั้น นั่นคือ โลกแห่งความเป็นจริง (ในดินแดนมหัศจรรย์นั้น เธอพบใครหลายคน แต่เมื่อเธอกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว เธอกลับพบว่าพวกเขาก็คือคนรอบตัวเธอนั่นเอง แต่มีเปลือกนอกปิดบังอำพราง ตัวตนในดินแดนมหัศจรรย์เอาไว้ เช่น คนบางคนดูเปลือกนอกเป็นคนดี แต่ในดินแดนมหัศจรรย์เขาอาจเป็นตัวร้ายก็ได้) สรุป เราทุกคนล้วนเห็นและเข้าไปสู่ "ดินแดนมหัศจรรย์" นั้นได้ เมื่อเรากล้าที่จะผ่านความคิดที่ว่า "มันไม่อาจเป็นไปได้" หรือ "มันไม่จริง" เหมือนดั่งอลิซที่ผ่านมันไปได้ แล้วได้บอกแก่มหาเศรษฐีว่าเธอจะขยายกิจการออกไปจนถึงเมืองจีนเลย ทำให้เศรษฐีตกใจ คิดว่าเธออาจจะบ้าไปแล้ว แต่ว่า ความคิดของเธอก็ยอดเยี่ยมและล้ำสมัยมากพอ กล้าหาญก้าวผ่านด่านความเป็นไปไม่ไ่ด้ และทำให้เขาพอใจ


โลกของเราทุกวันนี้่ ประกอบขึ้นจากหลายมิติ แท้แล้วมันไม่มีมิิติอะไรหรอก มิติ เป็นเพียงมุมมองโลกของเรานั่นเอง เช่น เรามองโลกแต่ในมิติของวัตถุ เราก็จะเห็นโลกอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าเรามองโลกในมุมมองเหมือนอลิซ ในแดนมหัศจรรย์ เราก็จะเห็นโลกในอีกมิติหนึ่ง ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่จริง ไม่น่าเป็นไปได้ อย่างเช่น ถ้าผมจะบอกคุณว่า "มหาเทพกำลังทำสงครามกัน" บนโลกนี้ พวกคุณก็อาจบอกว่ามันน่าขำ เป็นไปไม่ได้ ผมบ้าไปแล้ว เรื่องไร้่สาระของเด็กช่างจินตนการคนหนึ่ง อะไรเช่นนั้น แต่ถ้าคุณเป็นเช่นอลิซได้ คุณก็จะเห็นและเข้าสู่ดินแดนมหัศจรรย์อย่างที่ผมบอกคุณ และคุณจะเห็นการทำสงครามของเหล่ามหาเทพทั้งหลายนั้นบนโลกแห่งนี้ และเมื่อนั้นคุณก็คือ "อลิซ ในแดนมหัศจรรย์ของผม" นั่นเอง ...



วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปัตตานี "ศูนย์กลางแห่งไฟใต้" นั่นหรือคือนครรัฐลังกาสุกะที่ยิ่งใหญ่ในอดีต?

เดิมทีก็สงสัยครับว่าเพราะเหตุใด ไฟใต้จึงรุนแรงนัก และมีเป้าประสงค์เรื่องการแบ่งแยกดินแดน แต่พอได้อ่านประวัติศาสตร์แล้วต้องตกตะลึงทันทีว่าเพราะเหตุใดจึงมีปัญหาแบ่งแยกดินแดนได้อย่างนั้น เพราะอะไรหรือครับ? เพราะ "ปัตตานี" วันนี้ ในอดีตคือ "นครรัฐลังกาสุกะ" ที่ยิ่งใหญ่มากในแถบนี้เลยน่ะสิครับ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ก็คือ "เมืองท่าที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองฮั่นและโรมัน" นั่นเอง (หากข้อมูลผิดพลาดต้่องขออภัย) มีประวัติความเป็นมาที่ชัดเจน และมีบันทึกโบราณปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์จีนเสียด้วยสิ เอาง่ายๆ ครับ สมมุติว่า จังหวัดนี้ แบ่งแยกดินแดนไป เพราะถูกหลอกให้ตัดขาดกับประเทศไทย เป็นแค่นครรัฐเล็กๆ ขาดกำลังทหารสนับสนุน ไฉนเลยจะรอดจากการถูกกลืนด้วยประเทศที่ใหญ่กว่าได้ครับ? ไม่มีทางเลย ถ้านครรัฐลังกาสุกะที่ยิ่งใหญ่เป็นของมาเลเซีย และอาณาจักรขอมที่ยิ่งใหญ่ตกเป็นของกัมพูชาอีกที ไทยเราคงไม่มีที่จะอยู่แล้ว เพราะเราจะกลายเป็น "ขโมย" ที่มายึดเอาแผ่นดินเขาไปทีหลัง (เรายึดแต่ประวัติศาสตร์ที่นับจากสมัยสุโขทัย ในขณะที่เมืองโบราณก่อนนั้นมีมากมาย) นั่นเอง เอาละ ผมไปเจอหนังเรื่องหนึ่งชื่อ Clash of empires เป็นหนังเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่นี่พอดีเลยครับ ยังไม่ได้ดู แต่แนะนำให้ลองดูกันนะครับ ไม่ทราบว่าใครสร้างหนัง แต่ดูแล้ว ไม่ใช่คนไทยเรานะครับ ซึ่งมันอาจจะมีผลต่อ "ความเข้าใจของชาวโลก" ที่มีต่อประวัติศาสตร์ของผืนแผ่นดินนี้ครับ ว่าแท้จริงแล้ว เป็นของไทยหรือมาเลเซียกันแน่ (ในอนาคตที่อาจถูกบิดเบือน) เพราะดั้งเดิมเป็นพุทธนะครับ แต่ตอนนี้ กำลังกลายเป็นอิสลามไป หากเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของมาเลเซียเพราะศาสนาเหมือนกัน จะยุ่ง


นั่นหมายความว่า เราไม่ได้กำลังจะช่วงชิงกันแค่ดินแดนเสียแล้ว แต่เรากำลังตกอยู่ในบ่วงแห่งการแย่งชิง "ประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่" พูดตรงๆ นะครับ ผมรู้สึกว่า "อาณาจักรขอมและพระเจ้าชัยวรมัน" ยิ่งใหญ่มาก พอมาอ่านประวัติศาสตร์ของ "นครรัฐลังกาสุกะ" อีกที โอโห มันยิ่งใหญ่มากๆ ครับ เพราะมันเก่าแก่มาก และโด่งดังเป็นที่รู้จักระดับโลกครับ มันคือ "ศูนย์กลางเมืองท่า" ที่เื่ชื่อมโยงระหว่างอาณาจักรจีนและอาณาจักรโรมัน สองซีกโลกตะวันออกและัตะวันตก มันสุดยอดมากครับ กลับมาดูอีกทีว่าเริ่มต้นแต่ยุคไหน คำตอบคือ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 7 ครับ ก่อนเมืองตามพรลิงค์และศรีวิชัยทราวดี เสียอีก แถมไม่ใช่แค่เก่านะครับ ทั้งเก่าทั้งดัง ทั้งสำัคัญระดับโลกทีเดียว แถมมีอายุยาวนานมาถึง 1,400 ปี นานกว่าอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยารวมกันเสียอีก โอ้ว พระเจ้า สุดยอด อะไรจะขนาดนั้น ตอนนั้น มาเลเซียยังคงเป็นป่า ยังไม่พัฒนาขึ้นเป็นเมืองอะไรมากเลยมังครับ หรือถ้าจะมีเมือง ก็ไม่เจริญเป็นที่รู้จักขนาดนี้ ทว่า ทุกวันนี้ เรารู้จัก "ปัตตานี" แต่เพียงเรื่อง "ไฟใต้และความไม่สงบ" เท่านั้นเอง เราหาได้รู้เลยว่ามันมี ประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ขนาดนี้มาก่อน ภาพลักษณ์ที่คนภายนอกเห็นมาตลอดก็คือ เป็นเมืองของชาวมุสลิม ก่อการร้าย มีแต่ความรุนแรง แต่กลับไม่มีเรื่องของความเป็นเมืองท่าศูนย์กลางที่เชื่อมโยง โลกตะวันตกและตะวันออกมาแ่ต่ครั้งโบราณ ซึ่งส่วนนี้ มันสำคัญมากครับ และที่สำคัญ ณ ที่แห่งนี้ เดิมทีเป็นพุทธศาสนามาก่อนครับ แต่เพราะกษัตริย์องค์หนึ่งได้เปลี่ยนมาเป็นมุสลิม เพราะป่วย จนต้องขอให้หมอมุสลิมรักษา แล้วต้องทำตามสัจจะเลยต้องเปลี่ยนเป็นมุสลิมทั้งหมด สุดท้าย สิ่งก่อสร้างและทุกอย่่างที่เป็นพุทธ ก็ถูกทำลายทั้งหมดครับ ไม่เช่นนั้นเราคงมีพุทธสถานโบราณไม่แพ้ "บุโรพุทโธ" แน่ๆ   (บุโรพุทโธ ของอินโดนีเซียนะครับ) และคงจะเป็นเพราะดินแดนแห่งนี้ มีคุณค่่าและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ขนาดนี้ ถึงได้เกิดเรื่องการแบ่งแยกดินแดนขึ้นมากระมังครับ ซึ่งถ้าปัตตานี แยกตัวเป็นรัฐอิสระได้ ประวัติศาสตร์แห่งผืนแผ่นดิืนนี้ ที่เคยเป็นพุทธศาสนามาก่อน ก็คงต้องสูญไปอย่างแน่นอน ...




หมายเหตุ

อาณาจักรลังกาสุกะ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อาณาจักรลังกาสุกะ (พุทธศตวรรษที่ 7–11) อาณาจักรลังกาสุกะแห่งนี้ได้ตั้งขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 7 แล้วเจริญรุ่งเรืองในพุทธศตวรรษที่ 11 ขณะที่อาณาจักรฟูนันเริ่มเสื่อมอำนาจลง อาณาจักรลังกาสุกะตั้งอยู่ทางใต้ของอาณาจักรตามพรลิงก์ในคาบสมุทรมลายู บริเวณมัสยิดแห่งกรือเซะ ในบริเวณที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างอำเภอเมืองปัตตานีกับอำเภอยะหริ่ง และบริเวณอำเภอยะรัง ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปัตตานี พวกชวาเรียก “นครกีรติกามา” มีอาณาเขตครอบคลุมถึงทางเหนือตะกั่วป่าและตรัง ทางใต้ตลอดแหลมมลายู ลังกาสุกะมีการติดต่อกับจีนใน พ.ศ. 1052 ตามจดหมายเหตุจีนระบุว่า
“เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ กษัตริย์ประทับอยู่บนกูบช้างมีหลังคาทำด้วยผ้าสีขาว แวดล้อมด้วยองครักษ์ที่มีท่าทางดุร้าย และทหารตีกลองถือธงสีต่าง ๆ ประชาชนทั้งชายหญิงไว้ผมปล่อยยาว ใส่เสื้อไม่มีแขน” อาณาจักรลังกาสุกะนี้ ถูกอาณาจักรฟูนันโจมตีในพุทธศตวรรษที่ 11 แล้วกลายเป็นเมืองขึ้นต่อมา

อาณาจักรโบราณ

ลังกาสุกะเป็นนครรัฐตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 รุ่งเรืองยาวนานถึง 1,400 ปี จึงเสื่อมสลายไป[1] ไม่ใช่เพราะถูกอำนาจใดเข้าตี หากแต่ทะเลถอยห่างตัวเมืองออกไปทุกที จนผู้คนพากันทิ้งเมือง ซ้ำโดนน้ำท่วมโคลนถมทับตัวเมืองแทบหมด เพิ่งขุดเจอซากไม่นานมานี่เอง เชื่อกันว่าคนในหมู่บ้านกาแลจินอ อ.เมืองปัตตานีปัจจุบันคือผู้สืบเชื้อสายชาวเมืองลังกาสุกะ ที่เป็นลูกครึ่งชาวจีนกับคนพื้นเมืองที่ต้องทิ้งเมืองเก่ามาอยู่ในปัตตานีเมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว
อาณาจักรโบราณยิ่งใหญ่ที่เชื่อว่ามีพื้นที่คลุมไปถึงตอนเหนือมาเลเซีย เพราะพบสิ่ง ก่อสร้างโบราณ แบบเดียวกับที่พบในปัตตานีแถวริมฝั่งแม่น้ำบูจังและปาดังลาวาส (ปากแม่น้ำลาวาส) ในรัฐเคดาห์ หนังสือเหล่านั้นเรียกอย่างจืดชืดไม่ดึงดูดใจสักนิดว่า "เมืองโบราณยะรัง" เพราะซากเมืองเก่าพบที่ อ.ยะรัง ทั้งที่มีความเก่าแก่รุ่งเรืองมาก่อน อาณาจักรศรีวิชัยและอาณาจักรทวาราวดีตั้ง 500 ปี ศรีวิชัยและทวาราวดีตั้งในพุทธศตวรรษที่ 12 ลังกาสุกะเป็นนครรัฐที่โลกตะวันตกตะวันออก รู้จักกันแล้ว ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 เมืองโบราณยะรังจึงไม่ใช่เมืองเก่าธรรมดา หากแต่เป็นเมืองท่านครรัฐยิ่งใหญ่ สมัยโบราณเก๋ากึ๊กในภูมิภาคนี้โดยแท้
เมืองโบราณที่ กรมศิลปากร กำลังขุดแต่งอยู่ที่ อำเภอยะรัง ในขณะนี้คือ ศูนย์การปกครอง อาณาจักรลังกาสุกะ ในเมื่อบันทึก ชาวอินเดียและ ชาวอาหรับ ที่เรียกเมืองนี้ว่า "ลังกาสุกะ" กับบันทึก ของชาวจีนที่เรียก "หลาง หย่า ซุ่ย" ล้วนระบุทิศทางและ ที่ตั้งตรงกันหมด น.ส.พรทิพย์ พันธุโกวิท หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ โบราณคดี ผู้ควบคุมการขุดแต่งและ บูรณะมาตั้งแต่แรกถึง 16 ปี อธิบายว่า ปัตตานีวันนี้คือ ดินแดนเกิดใหม่ เมื่อทะเลถอย ห่างฝั่งออกไปทุกที ลังกาสุกะเลยกลายเป็น เมืองภายในแผ่นดิน อยู่ห่างชายฝั่งทะเล ในวันนี้เกือบ 25 กม. ชายฝั่งบริเวณท่าเรือใหญ่ครั้งโน้น ปัจจุบันนี้คือ คลองปาเละหมู่บ้านกาแลบูซา (ท่าเรือใหญ่) หมู่บ้านเทียระยา (หมู่บ้านเสากระโดงเรือ) ต.ตันหยงลูโละ อ.เมือง ปัตตานี
ร่องรอยทางโบราณคดี ชี้ให้เห็นว่ามีลักษณะเป็นเมืองเรียงกันถึง 3 เมืองด้วยกัน ได้แก่ เมืองที่กำลังขุดอยู่ที่บ้านวัด บ้านจาเละ และบ้านปราแว (พระราชวัง) อำเภอยะรัง บ้านปราแวอยู่ริมทะเล มีลักษณะ ค่ายคูประตูหอรบตามมุมเมือง คาดว่าน่าจะเป็นประชาคม 3 แห่ง ที่อยู่ร่วมกันมากกว่าเมือง โดยรวมแล้วพื้นที่ดังกล่าวนี้ พบร่องรอยทางโบราณคดีถึงกว่า 40 แห่ง ลงมือขุดไปเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ชิ้นใหญ่ ๆ ที่กำลังขุดอยู่เป็นศาสนสถานใน ศาสนาพราหมณ์และ พุทธศาสนา ทั้งพบคำจารึกภาษาปัลลวะอินเดียโบราณและภาษาสันสกฤตด้วย บ่งบอกอย่างเด่นชัด แรกเริ่มนั้นชาวลังกาสุกะนับถือศาสนาพราหมณ์ เปลี่ยนมาถือพุทธ แล้วเปลี่ยนมาเป็นอิสลามตามลำดับ
ลังกาสุกะเฟื่องเนื่องมาจากที่ตั้งเป็นกึ่งกลางเส้นทางค้าขายโลกตะวันตกและตะวันออก เป็นศูนย์กลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและศูนย์ค้าเครื่องเทศสินค้าสำคัญของภูมิภาคนี้ ที่ดังที่สุด ได้แก่ไม้หอม และกำยาน ซึ่งอินเดีย อาหรับยันยุโรปต่างต้องการอย่างมาก น่าเชื่อว่ากำยานชั้นดีที่สุดเป็นกำยานลังกาสุกะ เพราะเครื่องหอมทำจากกำยานที่โลกอาหรับ และชาติมุสลิมใช้อย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นเครื่องหอม ที่ไม่มีแอลกอฮอล์เจือปนไม่ผิด หลักทางศาสนาที่ชื่อว่า "ไซมีส เบนโซอีน" ที่ยังใช้กันมาจนทุกวันนี้ ลังกาสุกะเป็นท่าเรือ ส่งออกที่ใหญ่มาก
ลังกาสุกะอาจเป็นอาณาจักรเดียวในโลกที่ล่มสลายไปไม่ใช่เพราะการสงครามหรือโรคระบาด หากเกิดจากทะเลถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ เมื่อไม่สามารถทำมาหากินได้เหมือนเดิม ผู้คนก็อพยพทิ้งบ้านทิ้งเมืองไปอยู่ที่อื่นกันหมด พร้อม ๆ กับอาณาจักรอื่นใกล้เคียงเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแทนที่


ศูนย์กลางอาณาจักรลังกาสุกะ

อาณาจักรลังกาสุกะเป็นอาณาจักรโบราณ มีศูนย์กลางตั้งอยู่บริเวณ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี[3] มีอาณาเขตปกครองกว้างขวางครอบคลุมคาบสมุทรมลายูตอนล่างทั้งหมดโดยพัฒนามาจากเมืองท่าเล็กๆ ของชาวพื้นเมืองจนเติบโตเป็นรัฐและมีฐานะเป็นอาณาจักรมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 เป็นศูนย์กลางการค้าและศาสนา จนได้ล่มสลายไปในต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันปรากฏร่องรอยศาสนสถานประเภทสถูปเจดีย์ขนาดใหญ่ จำนวน 33 แห่ง ในพื้นที่ประมาณ 9 ตารางกิโลเมตร

จากตำนานและจดหมายเหตุ

จากตำนาน ไทรบุรี ปัตตานี กล่าวถึงเมืองลังกาสุกะ ของพระเจ้ามะโรงมหาวงศ์หรือราชามารงมหาวังสา ต่อมาคำว่าลังกาสุกะค่อย ๆ เลือนหายไป กลายเป็นคำว่าปัตตานีดารุสสาลามเข้ามาแทนที
จดหมายเหตุราชวงศ์เหลียง (พ.ศ. 1045-1099) บันทึกไว้ว่าอาณาจักรลังกาสุกะ สถาปนาขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 7 มีอำนาจปกครองระหว่างสองฝั่งทะเล คือด้านตะวันตกจรดไทรบุรี และด้านตะวันออกที่ปัตตานีข้อความในจดหมายเหตุนี้สอดคล้องกับตำนานไทรบุรี ปัตตานี
ปอล วิดลีย์ (Paul Wheatly) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแหลมมาลายู มีความเห็นว่าตำนานไทรบุรี ฯมีลักษณะเหมือนเทพนิยาย แต่งขึ้นเมื่อชาวอินเดียเดินทางมาถึงหัวเมืองมาลายูราวพุทธศตวรรษที่ 6 และเขาแสดงความคิดเห็นไว้ว่า ลังกาสุกะ ไม่ควรไปซ้ำซ้อนกับไทรบุรีน่าจะอยู่ทางปัตตานีทั้งหมด
ดี.จี.อี. ฮอลล์ (D.G.E. Hall) ได้กล่าวถึงรัฐเก่าแก่สามรัฐในแหลมมาลายู คือรัฐหลังยะสิว (ลังกาสุกะ) ตันหม่าหลิง (ตามพรลิงก์ หรือนครศรีธรรมราช) ตักโกลา (ตะกั่วป่า) ต่อมารัฐทั้งสามนี้ตกอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรฟูนันซึ่งเป็นอาณาจักรที่มีกองเรือยิ่งใหญ่ อยู่ในทะเลจีนตอนใต้ เมื่อตกอยู่ใต้อำนาจแล้วก็รับเอาวัฒนธรรมต่างๆ มาจากอินเดีย
ต่อมาพุทธศตวรรษที่ 11 อาณาจักรฟูนันเสื่อมสลายลง รัฐต่าง ๆ ที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลก็แยกตัวเป็นอิสระ ลังกาสุกะภายใต้การนำของพระเจ้าภคทัตก็ฟื้นฟูอำนาจของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
พุทธศตวรรษที่ 14-15 ลังกาสุกะกลับตกอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรศรีวิชัย พระเจ้าราเชนทร์โจระที่ 1 แห่งอินเดีย ยกทัพเรือข้ามมายึดรัฐต่าง ๆของศรีวิชัย ลังกาสุกะก็พลอยถูกยึดไปด้วย ต่อมาอีกอาณาจักรมัชปาหิตแห่งชวากลับเข้ามามีอำนาจ และชื่อลังกาสุกะค่อยเลือนจางหายไปแสดงว่าอาณาจักรลังกาสุกะนั้นอยู่ที่ปัตตานีนี่เอง และต้องนับถือพุทธศาสนาด้วยเพราะเมื่อเกิดการขุดค้นขึ้นพบทั้งศาสนาฮินดูและพุทธศาสนา เช่น สถูปสำคัญในพระพุทธศาสนาที่อำเภอยะรัง ที่ได้บูรณะตกแต่งแล้วก็แสดงถึงดินแดนในพระพุทธศาสนา และลังกาสุกะต้องมีอายุประมาณ 1,500 ปีมาแล้ว นับว่าเก่าแก่มาก แต่พึ่งรู้จักกันจริงไม่กี่ปีมานี้

การเข้ามาของศาสนาอิสลาม

กล่าวคือ ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 10 (ประมาณ พ.ศ. 1500 เศษ) ศาสนาอิสลามได้เผยแพร่เข้าสู่ปัตตานีและปาหัง ก่อนที่จะเข้าสู่มาละกา ในช่วงนั้นกษัตริย์หรือสุลต่านเมืองปัตตานีล้มป่วย ไม่มีหมอในปัตตานีรักษาได้ เกิดการตีฆ้องร้องป่าวหาผู้รักษามีแขกปาซายจากสุมาตราชื่อเช็กสะอิ หรือ เช็กซาฟียิดดิน ได้ขันอาสามารักษาสุลต่านแต่ขอคำมั่นสัญญาว่าถ้ารักษาหายแล้ว พระองค์จะต้องเข้ารีดนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อได้รักษาจนหายแต่เมื่อหายแล้วสุลต่านไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาเลยป่วยหนักอีก กลับมารักษากันใหม่ขอคำสัญญากันอีกกลับไปกลับมาเช่นนี้ถึง 3 ครั้ง สุลต่านเลยต้องยอมเปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาอิสลามหมอผู้รักษาได้รับการแต่งตั้งเป็น ดาโต๊ะ สะรี ยารา ฟาเก้าฮ์ (ผู้รู้ทางศาสนายอดเยี่ยม)เมื่อเจ้าเมืองเปลี่ยนศาสนาใหม่ โอรส ธิดา ขุนนาง และชาวเมืองก็เริ่มเปลี่ยนศาสนาตามเป็นศาสนาอิสลามต่อจากนั้นก็เริ่มมีการทำลาย พระพุทธรูป พุทธสถาน เทวรูป และเทวาลัย อาณาจักรที่เคยนับถือพระพุทธศาสนาอยู่หลายปีจึงมีโบราณวัตถุทางพุทธศาสนาน้อยเต็มที หรือแทบจะไม่มีเลย ก็มีพบบ้างกันที่ยะรังเมืองโบราณ {อ้างอิง}

ราชทูตลังกาสุกะ

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จีนที่จตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง มีภาพปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุราชวงศ์เหลียง หรือเหลียงชู ของจีน (พ.ศ. 1045-พ.ศ. 1106) บุคคลในภาพชื่อ อชิตะ (จีนออกเสียงเป็น อาเซ่อตัว) เป็นราชทูตจากประเทศลังกาสุกะ (จีนออกเสียงเป็น หลังหยาสิ้ว บางแหล่งเรียก หลาง หย่า ซุ่ย) มีคำบรรยายภาพว่า "เป็นคนหัวหยิกหยอง น่ากลัว นุ่งผ้า โจงกระเบน ห่มสไบเฉียง สวมกำไลที่ข้อเท้าทั้งสอง ผิวค่อนข้างดำ" โดยเดินทางไปเยือนราชสำนักจีนในปี พ.ศ. 1058 สมัยพระเจ้าอู่ตี้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียง ทางการจีนได้เขียนภาพ อาเซ่อตัว ไว้เป็นที่ระลึกพระเจ้าแผ่นดินแห่งลังกาสุกะในเวลานั้น ทรงพระนามว่า ผอเจี่ยต้าตัว หรือ ภัคทัตตเหลียงชู ซึ่งตรงกับรัชสมัย พระเจ้าภัคทัต (ประมาณพ.ศ. 1060)

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สงครามมหายักษ์ "ทอร์" ทุบสายฟ้า และการกำเนิดใหม่ครั้งใหญ่ของชาวไทย!

จากเรื่องของอธิบดีกรมป่าไม้ "ดำรงค์ พิเดช" อธิบดีคนเก่าที่ทุบอาคารรีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ถูกศาลสั่งให้รื้อถอนแล้วแต่ฝ่ายโจทย์ยังคงอยู่ในช่วงของการขอผ่อนผันสู้คดี อะไรประมาณนั้น ทำให้นึกถึงเทพองค์หนึ่งครับ แน่นอน! จะเป็นท่านใดไปไม่ได้นอกจาก "เทพทอร์" ท. ทุบสายฟ้า หรือ เทพผู้มีค้อนสายฟ้า ค้อนก็คือ อาวุธที่เวลาใช้จะต้องทุบและสายฟ้าก็คือพลังที่รวดเร็วฉับไวราวสายฟ้าฟาดจนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ผู้มีเชื้อสายครึ่งยักษ์ครึ่งเืทพน้ำแข็ง (ตามตำนาน) ตามมาด้วยการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นเองอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหลังออกจากตำแหน่งเดิมแล้ว และหลังจากออกรายการข่าวสรยุทธ์พร้อมกับคุณชูวิทย์ จึงทำให้สงสัยได้ว่า "ท่านดำรงค์ พิเดช" ท่านนี้ กำลังเป็น "หมากขุนตัวใหม่" ที่เข้ามาทำหน้าที่แทน "คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ในจังหวะที่หมากขุนของฝ่ายค้าน กำลังขาดไป และไม่มีใครที่เหมาะสมและยืนหยัดยืนยันแน่วแ่น่ชัดเจนอย่างนี้อีกแล้วว่า "ใครทำผิด พร้อมลงโทษตามกฏหมาย" เอาละ ลองมาดูหมากนี้ที่กำลัง "ถูกปั้น" กัน ว่าเขากำลังเตรียมการณ์อะไรกันอย่างลับๆ บ้าง ทำไม ทั้งๆ ที่เป็นพรรคเล็ก แ่ต่มั่นใจได้มากขนาดนั้น ท่ามกลางการส่งสัญญาณทางการเมืองของคุณชูวิทย์ ว่าควรมาร่วมพรรคกันดีกว่า แต่เขาก็ยืนยันที่จะเดินหน้าต่อไป เพราะอะไร? เพราะเขามีพลังฟ้าหนุนหลังไงครับ มาดูกันดีๆ ครับ


อย่างแรก ผมใช้จิตสัมผัสส่องดูแล้ว เห็นพลังของพ่อขุนรามฯ อยู่กับคุณดำรงค์ พิเดชด้วย นับว่าไม่ใช่ธรรมดาทีเดียว ชั้นที่สองมีพลังของเทพธอร์ เทพแห่งค้อนสายฟ้าอยู่อีก ยิ่งไม่ธรรมดาไปใหญ่ ชั้นที่สาม มีพลัง "ฟ้า" คุ้มครองอยู่ แต่ขาดพลังดินเกื้อหนุน หมายความว่า คนผู้นี้ มีแววขึ้นเป็นนายกไทยได้เหมือนกัน แต่้ถ้าขึ้นเป็นนายกแล้ว จะทำให้เกิดการปะทะกันครั้งใหญ่ของพลังฟ้าดิน เพราะตัวเขาเองนับว่าเป็นตัวแทนของพลังฟ้า แต่กลับไม่มีพลังดินเกื้อหนุนมากพอ (เมื่อเทียบกับพรรคของคนเสื้อแดงที่มีพลังจากคนรากหญ้าหนุนอยู่ตลอด) สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ การได้ขึ้นไปมีอำนาจโดยพลัง "ฟ้าส่ง" แต่พลังดินไม่หนุน หรือหนุนได้ไม่มากพอ เพราะเวลากระชั้นชิด มีำจำกัด จำต้องเดินหน้าทำกิจเร่งด่วนแล้ว พลังดินที่มีมากในกลุ่มคนเสื้อแดง ก็จะปะทะกับพลังฟ้าที่มาจากคุณดำรงค์ พิเดช ผู้ซื่อตรง ทำงานตรงไปตรงมาและไม่สนใจ ไม่แคร์ความรู้สึกใคร (อันนี้จะทำให้ดูเหมือนคนเลือดเย็นได้ เพราะเทพธอร์มีสายเลือดครึ่งหนึ่งมาจากเทพน้ำแข็งครับ) สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ การปะทะกันของมวลชนคนเสื้อแดงที่ปกป้องคุณทักษิณ อยู่ และพลังฟ้าของคุณดำีรงค์ พิเดช ที่จัดการทุกอย่างตรงไปตรงมาตามกฏหมาย โดยไม่สนใจใคร ไม่สนความรู้สึกของใคร ไม่แคร์ใครทั้งนั้น ถ้าคุณยังนึกภาพไม่ออกว่าจักรวาลกำลังออกแบบโลกนี้ไปอย่างไร ให้นึกถึงคำๆ นี้ครับ "ส้มตำมนุษย์" ซึ่งมีวิธีปรุงไม่ยาก เริ่มจากฝ่ายคุณทักษิณ ก็เอามวลชนมาเป็น "โล่ห์กำบัง" ตัวไว้ คอยปกป้องตัวเองไว้โดยตลอด ฝ่ายคุณดำรงค์ พิเดชก็จะใช้ค้อนสายฟ้าทุบอย่างไม่มีเยื่อใยหรือความรู้สึกส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง (แบบตรงไปตรงมาตามกฏหมาย ว่างั้นเหอะ) มันจะเกิดอะไรขึ้นละครับ ก็ "ส้มตำมนุษย์" ไง ปวงชนทั้งหลายจะถูกทุบ ถูกตำ ถูกขยำขยี้ บี้่จนเละ แล้วไปเกิดใหม่ซะ อะไรประมาณนั้น อ้อ ไม่ึถึงขั้นตายทางสังขารหรอกนะครับ แต่จะตายใน ตายทางใจ เหมือนคนที่หมดอาลัยตายอยากได้ เหมือนคนที่สร้างฝันไว้สวยหรูว่าจะฮุบป่าเขาใหญ่ วางแผนแนบเนียนไว้อย่างดี แล้วก็ก่อสร้างรีสอร์ทสวยหรูรอไว้ กะจะเอาเมียน้อยมาฟันสักสิบคน แต่ที่ไหนได้ จู่ๆ ก็โดนทุบเละเทะเป็นเศษอิฐ เศษหินซะอย่างนั้น ใจมันก็สลายได้เหมือนกันครับ เข่าอ่อนได้เหมือนกัน นี่ละ "ส้มตำมนุษย์"


และต้องไม่ลืมว่านี่เป็น "สงครามของยักษ์สองเผ่า สองสายพันธุ์" นะครับ คือ ๑. ยักษ์อสูร พลังงานเก่า ซึ่งมักโกงกิน กินบ้านกินเมือง ครองอำนาจอยู่มานานแล้ว ใครก็แตะไม่ได้ คนต้องยอมจำนน ให้ยักษ์มันกิน กลืนกินไปทั้งจิตวิญญาณ กลายเป็นพวกเดียวกัน คือ "โกงเหมือนกัน" ถึงอยู่รอด (ทางสังขาร แต่ทางจิตวิญญาณ ไม่รอดแล้วครับ ความเป็นมนุษย์มันตายไปแล้ว) และ ๒. ยักษ์น้ำแข็ง พลังงานใหม่ ที่ส่งตรงมาจากฟ้าเบื้องบน สายพันธุ์นี้่ไม่มีโกงกิน ทำงานซื่อตรง แต่คนไทยอาจไม่ชอบเพราะเลือดเย็นไปนิด ก็เพราะว่าเขามีเชื้อสายเทพน้ำแข็งอยู่ครึ่งหนึ่ง นั่นเอง เอาละ ตอนนี้ ยักษ์ก็ยึดอำนาจ ยึดประเทศไทยได้หมดแล้ว ที่เหลือยักษ์สองเหล่า ก็จะต้องปะทะกันเองละครับ ยักษ์พลังงานใหม่ หรือยักษ์พลังงานเก่าจะอยู่รอดต่อไปได้ ลองไปเอาหนังเรื่อง "ยักษ์วัดแจ้ง กับยักษ์วัดโพธิ์" ที่ตีกันจนเกิดเป็น "ท่าเตียน" ขึ้นมาดู ว่ากันว่ายักษ์ทั้งสองถูกสาปให้กลายเป็นหิน รอจนกว่าจะถึงวาระคนโกงกินบ้านเมืองมาถึง ยักษ์จะพ้นคำสาปแล้วมาปราบคนโกงกินครับ (ถ้าข้อมูลผิดต้องขออภัย) อีกอย่างคำทำนายของฝรั่งที่ดังมากๆ ก็มีอยู่ท่อนหนึ่งว่า "ยักษ์หินที่ถูกสาป จะลุกขึ้นมาอารวาด" หรืออย่างไรนี่แหละครับ ก็อย่าไปว่ายักษ์เขาผิดเลยนะ ถ้าไม่มีเหตุ ก็ไม่มีผลหรอกครับ และก็อย่าไปหวังว่ามันจะจบดีสวยหรูครับ งานนี้ "เละเป็นส้มตำ" แน่





วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การปฏิวัติโดยทหาร ก็เป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยได้?

หลังจากการปฏิวัติรัฐบาลทักษิณเกิดขึ้นมา มีคำถามว่า การปฏิวัตินี้เป็นประชาธิปไตยหรือไม่? หลายคนโดยเฉพาะฝ่ายเสื้อแดงมองว่า "ไม่เป็นประชาธิปไตย" เพราะมองว่าคำว่า "ประชาธิปไตย จะต้องหมายถึงการเลือกตั้งเท่านั้น" ซึ่งผมกำลังจะบอกว่า เป็นการตีวงแคบไป ในการให้นิยามของประชาธิปไตย อันจะส่งผลให้ประชาธิปไตยขาดความยืดหยุ่นในภายหลังได้ ยิ่งไปกว่านั้น ประชาธิปไตย ไม่ใช่สมการที่จะเขียนเครื่องหมายว่าเท่ากับ "การเลือกตั้ง" ได้ อีกทั้ง การเลือกตั้ง ก็อาจไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ไำด้ ยกตัวอย่างเช่น การเลือกตั้งที่เกิดจากนายทุน เอาเงินหาเสียงมากๆ สารพัดวิธี ส่งผลให้คนส่วนใหญ่หลงไปชั่วขณะทั้งสื่อโฆษณา, ประชาสัมพันธ์, การลดแลกแจกแถม ฯลฯ เช่นนี้ผมไม่นับว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ขอเรียกว่าเป็น "ทุนนิยมอธิปไตย" คืออำนาจไม่ไ่ด้มาจากประชาชนอย่างแท้จริง แต่มันมาจากอำนาจของทุนต่างหาก ผู้มีทุน ใช้เงินทุนครอบงำประชาชนได้ ประชาชนก็อ่อนแอหลงไปกับเครื่องมือต่างๆ ซึ่งผู้มีทุนใช้ครอบงำประชาชน อย่างนี้่ จะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้อย่างไร? เป็นได้เพียงประชาธิปไตยจอมปลอม คำว่า "ประชาธิปไตย" จะเกิดขึ้นได้ เมื่อประชาชนอยู่ในภาวะเป็นตัวของตัวเอง คิดได้ด้วยตัวของเขาเอง ไม่ใช่ถูกครอบงำโดยอะไรๆ จนไม่เป็นตัวของตัวเองเช่น ถูกครอบงำโดยสื่อที่นายทุนใช้เงินซื้อหามา หรือจัดสรรหามาอย่างนั้นเรียกว่า "ทุนนิยมอธิปไตย" ไม่ใช่ประชาธิไตยดังที่ผมได้กล่าวมาแล้ว


ทีนี้ กลับมาดูต่อว่า "การปฏิวัติโดยทหาร" จะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร? ได้ครับ ถ้ามันเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้งหลาย โดยไม่มีการครอบงำใดๆ คือ ประชาชนเป็นตัวของตัวเอง, คิด และตัดสินใจได้อย่างเสรีเต็มที่ เช่น ในการปฏิวัติทักษิณนั้น ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย ไม่ได้คัดค้าน แต่หลังจากนั้นจึงมีกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งถูกครอบงำโดยสื่อของนายทุน รวมตัวกันต่อต้านทางการแสดงความคิดเห็น อนึ่ง พึงแยกแยะด้วยว่าการปฏิวัติทักษิณในครั้งนั้น นับเป็นประชาธิไตยจริง แต่หลังจากได้ยกอำนาจให้แก่รัฐบาลชุดต่อไปแล้วกลับไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน อันนี้ นับว่า "การได้มาซึ่งอำนาจของรัฐบาลนั้น" ยังไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เมื่อรัฐบาลชุดนั้นยอมลาออก จึงนับว่าได้ทำสิ่งที่สอดคล้องกับประชาธิปไตยแล้ว ดังนั้น การปฏิวัติกับการยกอำนาจให้รัฐบาลชุดต่อไปนั้น จึงไม่อาจพ่วงกันเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ได้ทั้งหมด เช่น การปฏิวัติอาจได้รับการยอมรับ เพราะจัดการรัฐบาลที่ประชาชนไม่ต้องการ นับว่าเป็นวิถีประชาธิปไตยได้ แต่เมื่อยกอำนาจให้ตัวเองเมื่อไร มันก็อาจไม่ใช่ประชาธิปไตยอีกต่อไป เพราะคนส่วนใหญ่อาจจะไม่ยอมรับ เป็นต้น ทว่า มีคำถามเกิดขึ้นว่าแล้วในกรณีที่คนแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ก็มี, กลุ่มที่เห็นด้วย ก็มี และกลุ่มที่เฉยๆ กลางๆ ก็มี อย่างนี้แล้วจะนับว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างชอบธรรมได้อย่างไร? คำตอบก็คือ นับได้ตราบเท่าที่ยังไม่มีการประท้วงจนสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองนั่นแหละ เช่น รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ได้มาจากการปฏิวัติเมื่อลงจากอำนาจไปเพื่อไม่ให้บ้านเมืองวุ่นวายก็นับเป็นประชาธิปไตยได้ แต่เป็นประชาธิปไตยที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการปฏิวัติ นั่นเอง


ดังนั้น เราจึงควรกลับมาทบทวนความหมายของคำว่า "ประชาธิปไตย" ในมุมที่กว้างขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่ามันไม่จำเป็นหรอกที่จะต้องยึดโยงกับการเลือกตั้งเสมอไป อีกประการ การเลือกตั้งก็อาจไม่ใช่ประชาธิปไตยก็ได้ อาจเป็นเพียงทุนนิยมอธิปไตย เช่น การเลือกตั้งหลายๆ ครั้งในอเมริกา จะเห็นว่ามีการใช้่เงินซื้อสื่อครอบงำประชาชนมาก และประชาชนก็อ่อนไหวไปกับสื่อ ตัดสินใจด้วยข้อมูลมากมายที่ล้วนได้จากสื่อ แต่มิได้มาจากความคิดของตัวเองจริงๆ เรียกว่าในอเมริกา เงินซื้ออำนาจได้ ถ้าใช้เงินอย่างถูกวิธี ซึ่งในการตีความหมายของประชาธิปไตยนี้สำคัญมาก เพราะอะไร? เพราะมันจะส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการหยิบใช้เครื่องมือทางการเมืองต่างๆ ด้วย เช่น ถ้ายึดมั่นมากว่าการปฏิวัติจะต้องไม่ใช่ประชาธิปไตยเสมอไป ก็จะทำให้ไม่อาจใช้เครื่องมือปฏิวัติโดยทหารได้ ทำให้ต้องเสียเลือดเนื้อของประชาชนจำนวนมากแทน หรือทำให้บ้านเมืองวุ่นวายอย่างหนักและยาวนานแทนก็ได้ หรือแม้แต่การตีความจำกัดวงแคบแต่ว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ก็อาจจะส่งผลให้ "ระบอบทุนนิยมอธิปไตย" แฝงเร้นกายเข้ามาแทนที่ประชาธิปไตยได้อย่างแนบเนียนก็ได้ ดังนั้น จึงเกิดคำถามขึ้นอีกว่า "แล้วระบบกษัตริย์เป็นประชาธิปไตยหรือไม่?" คำถามนี้ตอบไม่ยาก ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ถูกอะไรครอบงำ มีความคิดได้อย่างอิสระเสรีจะเห็นว่าอย่างไร นั่นเอง ทว่า ปัจจุบันนี้ สภาวะที่เรียกว่า "ประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ถูกอะไรครอบงำ มีความคิดของตัวเองได้อย่างอิสระเสรีนั้น" เป็นสิ่งที่หาได้ยากทีเดียว เพราะส่วนใหญ่จะถูกสื่อครอบงำได้ง่ายๆ ดังนั้น ประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงเกิดได้ยากเย็นยิ่ง ภายใต้สถานการณ์เ่ช่นนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นมวลชนคนเสื้อเหลือง หรือมวลชนคนเสื้อแดง ก็ล้วนถูกครอบงำด้วยสื่อที่แตกต่างกันไปทั้งสิ้น ไม่ได้มีความคิดเป็นของตัวเองอย่างอิสระอย่างแท้จริง เช่นนี้ก็ไม่พ้นวังวนของ "ทุนนิยมอธิปไตย" เช่นเคย



วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพหรือลอยแพประชาชนครั้ังใหญ่?

นโยบายพัฒนา "อนามัย" ขึ้นเป็นโรงพยาบาล ดูผิวเผินเหมือนว่าดี แต่ใส้ในถ้าไม่ดีจริง สุดท้าย จะกลายเป็นการหลอกลวงประชาชน เพื่อเอาคนไข้ไปลอยแพครั้งใหญ่ อย่างไรหรือ? ผมจะอธิบายต่อไปนี้่ครับ


ในกรณีที่ึคิดว่าโรงพยาบาลปกติ ต้องรองรับคนไข้ที่มาด้วยบัตรทองรักษาทุกโรค (ของฟรี) ทำให้มีคนไข้มาก จนล้นโรงพยาบาล อีกทั้งเป็นภาระต้นทุนค่ายาที่ใช้จ่า่ยมากเกินจำเ็ป็นอีกด้วย ก็เลยต้องการลดภาระโรงพยาบาล ด้วยการพัฒนา "อนามัย" ให้ยกระดับขึ้นเป็น "โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ" ฟังดูดี ถ้าทำได้สำเร็จจริงนะครับ อย่างแรก คำว่า "โรงพยาบาล" นั้น ต้องมีหมอจริงๆ ครับ เช่น หมอนวดแผนโบราณที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้องน่าเืชื่อถือแล้วว่าทำหน้าที่นวดแผนโบราณได้จริง, หมอสมุนไพรไทยที่ผ่านการรับรองแล้วว่ามีมาตรฐานการรักษาจริง ฯลฯ ทั้งหมดนี้ ยังต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างดี และมี "จรรยาบรรณ" ในวิชาชีพแพทย์อย่างยิ่ง เช่น เรียนนวดน้ำมันมา ก็นวดแต่น้ำมัน จะไม่นวดอย่างอื่น ไม่ใช่อยู่ๆ เอายาอะไรไม่รู้มาแอบแฝงขาย หรือให้ผู้ป่วยทดลอง รับประทาน ผู้ป่วยต้องกลายเป็นหนูลองยา ไปโดยไม่รู้ตัว อย่างนี้ ไม่ได้ ผิดจรรยาบรรณการแพทย์ ซึ่งการทำแบบนี้ สุ่มเสี่ยงมากที่ประชาชนจะถูกหลอก เพราะเข้าใจผิดไปว่าอนามัยคือโรงพยาบาล คงมีหมอเหมือนโรงพยาบาลปกติที่รักษาโรคโดยใช้เครื่องมือของหมอแผนปัจจุบันได้จริง ทั้งๆ ที่อาจไม่ได้จริง เช่น ผมเห็นหมออนามัยบางคน จบอนามัยศาสตร์ (เรียน ๔ ปี) ไม่ได้จบแพทยศาสตร์ แล้วพอคนในท้องถิ่นเข้าใจว่าเป็นหมอ เ้ข้าใจว่าอนามัยคือโรงพยาบาล เขาก็เลยได้่ช่อง แอบเปิดคลีนิกรักษาโรคเฉยเลย ซึ่งเขาไม่มีใบประกอบโรคศิลป์แบบแพทย์นะครับ ไม่อาจเิปิดคลีนิกได้ ยิ่งกว่านั้น "วัยรุ่นใจแตกที่หาโรงพยาบาลทำแท้งไม่ได้" ก็อาศัยคลีนิกเหล่านี้แหละครับ "มาทำแท้งเื่ถื่อน" เพราะเกิดช่องว่าง ช่องโหว่ ที่คนเข้าใจผิดในคำว่า "โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ" อย่างไรละครับ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เกิดขึ้่นจริงแล้ว ไม่ใช่ไม่มีอยู่จริง ไม่เท่านี้ แม้แต่คนที่ไม่จบอะไรเลย ไปทำงานเป็นคนทำความสะอาดอนามัย อยู่ๆ ก็ฝันหวานอยากเป็นหมอบ้าง ก็พยายามให้ได้เป็นครับ ไม่ว่าอะไรเลย ถ้าเขามีใจอยากช่วยคนจริงๆ อยากรักษาโรคคนจริงๆ ผมก็ทำครับ ผมทำกับข้าวรักษาโรค แต่ไม่เอาอย่างอื่นมารักษาโรค เพราะผมมีความรู้แต่เรื่องอาหารเท่านั้นครับ เช่น เวลาเปลี่ยนฤดู ป้าเริ่มจะเ็ป็นหวัด ผมเอาดอกแีคไปให้ป้าต้มกิน, เวลาป้าเริ่มมีไข้เล็กๆ ผมรีบทำกับข้าวร้อนๆ รสเผ็ดจัด เต็มไปด้วยพริก, กระเทียม ฯลฯ ขับน้ำมูกและหวัดครับ, เวลาแม่ท้องไม่ดี ผมก็เอามะระมาต้มให้แม่กิน, เวลาแม่ธาตุไม่สมดุล ขาดๆ เกินๆ ผมก็ตุ๋นยาจีนให้แม่กิน ผมทำอย่างนี้ แ่ต่ไม่ทำอย่างอื่น เพราะผมไม่ได้เรียนมาว่ายาแผนปัจจุบันนั้นใช้อย่างไร ผมก็ไม่ใช้ในสิ่งที่ผมไม่ได้เรียน ไม่ได้ผ่านการสอบและการรับรองอย่างถูกต้องมาครับ แต่มีคนอีกมากทีเดียว ที่อยากเอาชีวิตมนุษย์เป็นหนูลองยาตัวเอง ตัวเองไม่รู้จักยาสมัยใหม่ดีพอ แ่ต่ชอบใช้มัน ไม่เท่านั้น ไม่ได้อยากรักษาชีวิตคนจริงๆ หรอก คนแถวบ้านป่วย ก็ไม่สนใจรักษาหรือดูแล แต่พอเห็นหมอมีตำแหน่งสูง เป็นใหญ่ มีเงินเดือนดี ก็เลยอยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็น อย่างเขาบ้างครับ อันนี้ มันเกิดขึ้นแล้ว เพราะนโยบายฯ ไปกระตุ้นเขาครับ


เดี๋ยวนี้ คนที่ไม่สนใจเรียน ไม่แสวงหาความรู้ แต่พอแก่ตัวแล้ว อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากแ่ย่งชิงตำแหน่งดีๆ งานดีๆ เงินเดือนเยอะๆ เอาทางลัด ไม่ได้มีจรรยาบรรณ ไม่ได้มีใจอยากช่วยคนจริงๆ ไม่ได้มีความรู้จริง ฯลฯ พวกนี้ เริ่มแพร่ระบาดเต็มบ้านเต็มเมืองแล้วครับ ไปทุกวงการ ทุกท้องถิ่น แก่งแย่งกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง, อำนาจ, เงินเดือน ฯลฯ เห็นแล้วน่าอนาถ ประเทศชาติมีคนแบบนี้มาก เข้ามาอยู่ เข้ามาครองอำนาจ คุณเชื่อไหม? แม้แต่นายกอบต. เดี๋ยวนี้มีผู้หญิงอายุน้อยๆ ไม่มีประสบการณ์ใดๆ เลย ก็อยากเป็นนายก อบต. ไปสมัครแข่งกับเขาแล้ว อายุมากกว่าผมปีเดียวเอง ผมยังไม่อยากจะแย่งอะไรกับเขาเลย (แต่บางทีคนเก่งมาก เก่งเกินไป ก็อาจเป็นภัยได้มากเหมือนกันนะครับ) ผมอยากจะขอเรียกยุคนี้ว่า "ยุคโชว์ห่วย" มีแต่คนที่อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากโชว์ แต่ความสามารถ คุณงามความดีไม่ถึงระดับ มาแก่งแย่งกันทั้งนั้น คนดีๆ เก่งๆ ผมเชื่อครับว่ายังมีอยู่ในสังคมไทยอีกมาก แ่ต่เขาไม่ได้มีนิสัยอยากได้ อยากมี อยากเป็น เห็นอำนาจวางอยู่ ไม่มีใครเอา ไม่ดูว่าตัวเองเหมาะสมไหม ก็รีบแก่งแย่งไขว่คว้าเอาแล้ว ทั้งๆ ที่คุณสมบัติยังไม่ถึงด้วยซ้ำ ไม่มีความละอายแก่ใจบ้างหรือไรหนอ?