ทีนี้ กลับมาดูต่อว่า "การปฏิวัติโดยทหาร" จะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร? ได้ครับ ถ้ามันเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้งหลาย โดยไม่มีการครอบงำใดๆ คือ ประชาชนเป็นตัวของตัวเอง, คิด และตัดสินใจได้อย่างเสรีเต็มที่ เช่น ในการปฏิวัติทักษิณนั้น ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย ไม่ได้คัดค้าน แต่หลังจากนั้นจึงมีกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งถูกครอบงำโดยสื่อของนายทุน รวมตัวกันต่อต้านทางการแสดงความคิดเห็น อนึ่ง พึงแยกแยะด้วยว่าการปฏิวัติทักษิณในครั้งนั้น นับเป็นประชาธิไตยจริง แต่หลังจากได้ยกอำนาจให้แก่รัฐบาลชุดต่อไปแล้วกลับไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน อันนี้ นับว่า "การได้มาซึ่งอำนาจของรัฐบาลนั้น" ยังไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เมื่อรัฐบาลชุดนั้นยอมลาออก จึงนับว่าได้ทำสิ่งที่สอดคล้องกับประชาธิปไตยแล้ว ดังนั้น การปฏิวัติกับการยกอำนาจให้รัฐบาลชุดต่อไปนั้น จึงไม่อาจพ่วงกันเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ได้ทั้งหมด เช่น การปฏิวัติอาจได้รับการยอมรับ เพราะจัดการรัฐบาลที่ประชาชนไม่ต้องการ นับว่าเป็นวิถีประชาธิปไตยได้ แต่เมื่อยกอำนาจให้ตัวเองเมื่อไร มันก็อาจไม่ใช่ประชาธิปไตยอีกต่อไป เพราะคนส่วนใหญ่อาจจะไม่ยอมรับ เป็นต้น ทว่า มีคำถามเกิดขึ้นว่าแล้วในกรณีที่คนแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ก็มี, กลุ่มที่เห็นด้วย ก็มี และกลุ่มที่เฉยๆ กลางๆ ก็มี อย่างนี้แล้วจะนับว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างชอบธรรมได้อย่างไร? คำตอบก็คือ นับได้ตราบเท่าที่ยังไม่มีการประท้วงจนสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองนั่นแหละ เช่น รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ได้มาจากการปฏิวัติเมื่อลงจากอำนาจไปเพื่อไม่ให้บ้านเมืองวุ่นวายก็นับเป็นประชาธิปไตยได้ แต่เป็นประชาธิปไตยที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการปฏิวัติ นั่นเอง
ดังนั้น เราจึงควรกลับมาทบทวนความหมายของคำว่า "ประชาธิปไตย" ในมุมที่กว้างขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่ามันไม่จำเป็นหรอกที่จะต้องยึดโยงกับการเลือกตั้งเสมอไป อีกประการ การเลือกตั้งก็อาจไม่ใช่ประชาธิปไตยก็ได้ อาจเป็นเพียงทุนนิยมอธิปไตย เช่น การเลือกตั้งหลายๆ ครั้งในอเมริกา จะเห็นว่ามีการใช้่เงินซื้อสื่อครอบงำประชาชนมาก และประชาชนก็อ่อนไหวไปกับสื่อ ตัดสินใจด้วยข้อมูลมากมายที่ล้วนได้จากสื่อ แต่มิได้มาจากความคิดของตัวเองจริงๆ เรียกว่าในอเมริกา เงินซื้ออำนาจได้ ถ้าใช้เงินอย่างถูกวิธี ซึ่งในการตีความหมายของประชาธิปไตยนี้สำคัญมาก เพราะอะไร? เพราะมันจะส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการหยิบใช้เครื่องมือทางการเมืองต่างๆ ด้วย เช่น ถ้ายึดมั่นมากว่าการปฏิวัติจะต้องไม่ใช่ประชาธิปไตยเสมอไป ก็จะทำให้ไม่อาจใช้เครื่องมือปฏิวัติโดยทหารได้ ทำให้ต้องเสียเลือดเนื้อของประชาชนจำนวนมากแทน หรือทำให้บ้านเมืองวุ่นวายอย่างหนักและยาวนานแทนก็ได้ หรือแม้แต่การตีความจำกัดวงแคบแต่ว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ก็อาจจะส่งผลให้ "ระบอบทุนนิยมอธิปไตย" แฝงเร้นกายเข้ามาแทนที่ประชาธิปไตยได้อย่างแนบเนียนก็ได้ ดังนั้น จึงเกิดคำถามขึ้นอีกว่า "แล้วระบบกษัตริย์เป็นประชาธิปไตยหรือไม่?" คำถามนี้ตอบไม่ยาก ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ถูกอะไรครอบงำ มีความคิดได้อย่างอิสระเสรีจะเห็นว่าอย่างไร นั่นเอง ทว่า ปัจจุบันนี้ สภาวะที่เรียกว่า "ประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ถูกอะไรครอบงำ มีความคิดของตัวเองได้อย่างอิสระเสรีนั้น" เป็นสิ่งที่หาได้ยากทีเดียว เพราะส่วนใหญ่จะถูกสื่อครอบงำได้ง่ายๆ ดังนั้น ประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงเกิดได้ยากเย็นยิ่ง ภายใต้สถานการณ์เ่ช่นนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นมวลชนคนเสื้อเหลือง หรือมวลชนคนเสื้อแดง ก็ล้วนถูกครอบงำด้วยสื่อที่แตกต่างกันไปทั้งสิ้น ไม่ได้มีความคิดเป็นของตัวเองอย่างอิสระอย่างแท้จริง เช่นนี้ก็ไม่พ้นวังวนของ "ทุนนิยมอธิปไตย" เช่นเคย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น