วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพหรือลอยแพประชาชนครั้ังใหญ่?

นโยบายพัฒนา "อนามัย" ขึ้นเป็นโรงพยาบาล ดูผิวเผินเหมือนว่าดี แต่ใส้ในถ้าไม่ดีจริง สุดท้าย จะกลายเป็นการหลอกลวงประชาชน เพื่อเอาคนไข้ไปลอยแพครั้งใหญ่ อย่างไรหรือ? ผมจะอธิบายต่อไปนี้่ครับ


ในกรณีที่ึคิดว่าโรงพยาบาลปกติ ต้องรองรับคนไข้ที่มาด้วยบัตรทองรักษาทุกโรค (ของฟรี) ทำให้มีคนไข้มาก จนล้นโรงพยาบาล อีกทั้งเป็นภาระต้นทุนค่ายาที่ใช้จ่า่ยมากเกินจำเ็ป็นอีกด้วย ก็เลยต้องการลดภาระโรงพยาบาล ด้วยการพัฒนา "อนามัย" ให้ยกระดับขึ้นเป็น "โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ" ฟังดูดี ถ้าทำได้สำเร็จจริงนะครับ อย่างแรก คำว่า "โรงพยาบาล" นั้น ต้องมีหมอจริงๆ ครับ เช่น หมอนวดแผนโบราณที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้องน่าเืชื่อถือแล้วว่าทำหน้าที่นวดแผนโบราณได้จริง, หมอสมุนไพรไทยที่ผ่านการรับรองแล้วว่ามีมาตรฐานการรักษาจริง ฯลฯ ทั้งหมดนี้ ยังต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างดี และมี "จรรยาบรรณ" ในวิชาชีพแพทย์อย่างยิ่ง เช่น เรียนนวดน้ำมันมา ก็นวดแต่น้ำมัน จะไม่นวดอย่างอื่น ไม่ใช่อยู่ๆ เอายาอะไรไม่รู้มาแอบแฝงขาย หรือให้ผู้ป่วยทดลอง รับประทาน ผู้ป่วยต้องกลายเป็นหนูลองยา ไปโดยไม่รู้ตัว อย่างนี้ ไม่ได้ ผิดจรรยาบรรณการแพทย์ ซึ่งการทำแบบนี้ สุ่มเสี่ยงมากที่ประชาชนจะถูกหลอก เพราะเข้าใจผิดไปว่าอนามัยคือโรงพยาบาล คงมีหมอเหมือนโรงพยาบาลปกติที่รักษาโรคโดยใช้เครื่องมือของหมอแผนปัจจุบันได้จริง ทั้งๆ ที่อาจไม่ได้จริง เช่น ผมเห็นหมออนามัยบางคน จบอนามัยศาสตร์ (เรียน ๔ ปี) ไม่ได้จบแพทยศาสตร์ แล้วพอคนในท้องถิ่นเข้าใจว่าเป็นหมอ เ้ข้าใจว่าอนามัยคือโรงพยาบาล เขาก็เลยได้่ช่อง แอบเปิดคลีนิกรักษาโรคเฉยเลย ซึ่งเขาไม่มีใบประกอบโรคศิลป์แบบแพทย์นะครับ ไม่อาจเิปิดคลีนิกได้ ยิ่งกว่านั้น "วัยรุ่นใจแตกที่หาโรงพยาบาลทำแท้งไม่ได้" ก็อาศัยคลีนิกเหล่านี้แหละครับ "มาทำแท้งเื่ถื่อน" เพราะเกิดช่องว่าง ช่องโหว่ ที่คนเข้าใจผิดในคำว่า "โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ" อย่างไรละครับ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เกิดขึ้่นจริงแล้ว ไม่ใช่ไม่มีอยู่จริง ไม่เท่านี้ แม้แต่คนที่ไม่จบอะไรเลย ไปทำงานเป็นคนทำความสะอาดอนามัย อยู่ๆ ก็ฝันหวานอยากเป็นหมอบ้าง ก็พยายามให้ได้เป็นครับ ไม่ว่าอะไรเลย ถ้าเขามีใจอยากช่วยคนจริงๆ อยากรักษาโรคคนจริงๆ ผมก็ทำครับ ผมทำกับข้าวรักษาโรค แต่ไม่เอาอย่างอื่นมารักษาโรค เพราะผมมีความรู้แต่เรื่องอาหารเท่านั้นครับ เช่น เวลาเปลี่ยนฤดู ป้าเริ่มจะเ็ป็นหวัด ผมเอาดอกแีคไปให้ป้าต้มกิน, เวลาป้าเริ่มมีไข้เล็กๆ ผมรีบทำกับข้าวร้อนๆ รสเผ็ดจัด เต็มไปด้วยพริก, กระเทียม ฯลฯ ขับน้ำมูกและหวัดครับ, เวลาแม่ท้องไม่ดี ผมก็เอามะระมาต้มให้แม่กิน, เวลาแม่ธาตุไม่สมดุล ขาดๆ เกินๆ ผมก็ตุ๋นยาจีนให้แม่กิน ผมทำอย่างนี้ แ่ต่ไม่ทำอย่างอื่น เพราะผมไม่ได้เรียนมาว่ายาแผนปัจจุบันนั้นใช้อย่างไร ผมก็ไม่ใช้ในสิ่งที่ผมไม่ได้เรียน ไม่ได้ผ่านการสอบและการรับรองอย่างถูกต้องมาครับ แต่มีคนอีกมากทีเดียว ที่อยากเอาชีวิตมนุษย์เป็นหนูลองยาตัวเอง ตัวเองไม่รู้จักยาสมัยใหม่ดีพอ แ่ต่ชอบใช้มัน ไม่เท่านั้น ไม่ได้อยากรักษาชีวิตคนจริงๆ หรอก คนแถวบ้านป่วย ก็ไม่สนใจรักษาหรือดูแล แต่พอเห็นหมอมีตำแหน่งสูง เป็นใหญ่ มีเงินเดือนดี ก็เลยอยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็น อย่างเขาบ้างครับ อันนี้ มันเกิดขึ้นแล้ว เพราะนโยบายฯ ไปกระตุ้นเขาครับ


เดี๋ยวนี้ คนที่ไม่สนใจเรียน ไม่แสวงหาความรู้ แต่พอแก่ตัวแล้ว อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากแ่ย่งชิงตำแหน่งดีๆ งานดีๆ เงินเดือนเยอะๆ เอาทางลัด ไม่ได้มีจรรยาบรรณ ไม่ได้มีใจอยากช่วยคนจริงๆ ไม่ได้มีความรู้จริง ฯลฯ พวกนี้ เริ่มแพร่ระบาดเต็มบ้านเต็มเมืองแล้วครับ ไปทุกวงการ ทุกท้องถิ่น แก่งแย่งกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง, อำนาจ, เงินเดือน ฯลฯ เห็นแล้วน่าอนาถ ประเทศชาติมีคนแบบนี้มาก เข้ามาอยู่ เข้ามาครองอำนาจ คุณเชื่อไหม? แม้แต่นายกอบต. เดี๋ยวนี้มีผู้หญิงอายุน้อยๆ ไม่มีประสบการณ์ใดๆ เลย ก็อยากเป็นนายก อบต. ไปสมัครแข่งกับเขาแล้ว อายุมากกว่าผมปีเดียวเอง ผมยังไม่อยากจะแย่งอะไรกับเขาเลย (แต่บางทีคนเก่งมาก เก่งเกินไป ก็อาจเป็นภัยได้มากเหมือนกันนะครับ) ผมอยากจะขอเรียกยุคนี้ว่า "ยุคโชว์ห่วย" มีแต่คนที่อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากโชว์ แต่ความสามารถ คุณงามความดีไม่ถึงระดับ มาแก่งแย่งกันทั้งนั้น คนดีๆ เก่งๆ ผมเชื่อครับว่ายังมีอยู่ในสังคมไทยอีกมาก แ่ต่เขาไม่ได้มีนิสัยอยากได้ อยากมี อยากเป็น เห็นอำนาจวางอยู่ ไม่มีใครเอา ไม่ดูว่าตัวเองเหมาะสมไหม ก็รีบแก่งแย่งไขว่คว้าเอาแล้ว ทั้งๆ ที่คุณสมบัติยังไม่ถึงด้วยซ้ำ ไม่มีความละอายแก่ใจบ้างหรือไรหนอ?



2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

มันเป็นกรรมของคนสมัยนี้น่ะ คิดว่าเกี่ยวกันป่ะ

Unknown กล่าวว่า...

อีกหน่อยก็ "ล่มจมกันเอง" เพราะ "ทำตัวเองงงง"

เพราะความบ้าอำนาจของตัวเอง

แสดงความคิดเห็น