เมื่อคนไทยโดน "จิตวิทยาหมู่"

หลังจาก น.พ. ประกิตเผ่า ทมชิตชงค์ เปิดเผยในวงเสวนาถึงเรื่องการตกเป็นเหยื่อของจิตวิทยาหมู่ได้ไม่กี่วัน ผมก็ได้รับจดหมายจากเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเชื่อว่าตัวเองก็เคยตกอยู่ในอาการคล้ายๆ กัน
แต่เพื่อนของผมรายนึ้อาการหนักหน่อย เพราะโดนนานถึงกว่าห้าปี กว่าจะรู้ตัวก็เกือบเสียผู้เสียคนไปแล้ว
ตอนแรกก็อาย ไม่อยากให้ใครรู้ แต่พอเห็นคุณหมอประกิตเผ่า เปิดเผยเรื่องตัวเองอย่างหน้าชื่นตาบาน ก็เลยรวบรวมความกล้าเขียนจดหมายมาหาผมแถมกำชับให้ช่วยเผยแพร่ให้คนทั้งประเทศรับรู้ด้วย เพราะเขาเชื่อว่ามีชาวบ้านอีกไม่น้อยยังไม่ฟื้นจากฤทธิ์ของจิตวิทยาหมู่
อาการเริ่มแรกของแกเหมือนหมอประกิตเผ่าไม่มีผิด เริ่มต้นจากปฏิกิริยาต่อคนที่ใกล้ชิดที่สุดก่อน
วันไหนได้ยินเมียวิจารณ์รัฐบาลทักษิณ เลือดจะขึ้นหน้าทันที
“ผมรักภรรยาผมมาก แต่คุณเชื่อไหมครับ ถ้าเธอเริ่มด่าทักษิณให้ผมฟัง ผมจะเห็นเธอเป็นยักษ์ขมูขีทันที ทั้งเกลียดทั้งกลัว ไม่อยากอยู่ใกล้...” เพื่อนผมบรรยายถึงความรู้สึกที่อยู่เหนือการควบคุม
เพื่อนผมเล่าในจดหมายว่าอาการที่เกิดขึ้นน่าจะมีที่มาที่ไปจากจิตวิทยาหมู่ โดยเฉพาะทุกครั้งที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงที่คลั่งไคล้ในตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
“ลองคิดดูสิครับ เพื่อนทั้งกลุ่มห้าหกคนต่างก็ท่องเป็นเสียงเดียวกันว่า ทักษิณดีที่สุด ทักษิณเก่งที่สุด ทักษิณรวยแล้วไม่โกง ผมเหลืออยู่คนเดียวผมก็ต้องท่องตามสิครับ ยิ่งผมมีความเชื่อคล้ายๆ กันอยู่แล้ว แต่ถูกจิตวิทยาหมู่ให้ท่องแบบนี้ทุกวันและท่องวันละหลายๆรอบ ผมก็ยิ่งเชื่อจนหลงไปเลยครับ” เพื่อนผมเล่าในจดหมาย
เท่านั้นยังไม่พอ เพื่อนผมคนนี้ยังถูกเพื่อนๆพาไปนั่งสมาธิเกือบทุกคืน แถมมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญคอยกำกับจนแกเตลิดเปิดเปิงได้ยินเสียงทักษิณมากระซิบข้างหูและเห็นภาพทักษิณล่องลอยในอากาศเหมือนผู้วิเศษที่มาโปรดคนยากจน
บรรยากาศของสื่อมวลชนก็มีส่วนอย่างมากในการทำให้จิตวิทยาหมู่ต่อเพื่อนผมได้ผลเป็นพิเศษ เปิดทีวีไม่ว่าช่องไหน ก็เห็นแต่ข่าวที่ตอกย้ำความเป็นผู้เหนือมนุษย์ของทักษิณ
หมอประกิตเผ่าบอกว่าปกติคนบ้ามักไม่ยอมรับว่าตัวเองบ้า ซึ่งก็เหมือนเพื่อนผมเปี๊ยบเลยครับ เพราะเขาไม่เคยยอมรับว่าตัวเองมีอาการบ้าทักษิณไปแล้ว ขนาดเมียและคนใกล้ชิดหลายคนคอยเตือนว่ากำลังมีอาการผิดปกติ แต่แกก็ไม่เชื่อ กลับมีอาการฉุนเฉียวแทบจะฆ่ากันตายไปข้างหนึ่ง
คนที่เคยรู้จักเพื่อนผมคนนี้ต่างก็งงไปตามๆ กัน เพราะก่อนหน้านี้แกเป็นคนมีเหตุผล เรื่องการบ้านการเมืองถกเถียงกันได้ จะชอบหรือไม่ชอบนักการเมืองคนไหนก็ว่ากันไปตรงๆ ไม่ต้องคอยระวังว่าพูดไปแล้วจะมีเรื่องหรือเปล่า
เพื่อนผมยอมรับว่าถูกกระบวนการทำให้หลงทักษิณตั้งแต่พรรคไทยรักไทยกวาดที่นั่งในการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมกราคม 2544 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็แทบไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร
บางครั้งเหมือนสมองว่างเปล่าและบางครั้งก็เหมือนถูกตั้งโปแกรมไว้ ใครจะเอาความดีงามของทักษิณมายัดใส่ก็เชื่อโดยไม่ต้องมีข้อสงสัย แต่ถ้าใครลองมาวิจารณ์ทักษิณให้ได้ยินละก้อ จะเป็นคนละคนทันที บางครั้งพกปืนเดินตามซอกซอยคอยหาเรื่องยิงหัวคนที่บังอาจด่าทักษิณให้ได้ยิน
บางวันพกปืนสี่ห้ากระบอกเดินพล่านอยู่ในบ้าน ปากก็บ่น “มีคนจะฆ่าทักษิณ... มีคนจะฆ่าทักษิณ... มีคนจะฆ่าทักษิณ...” ทำเอาลูกเมียอกสั่นขวัญแขวนไปหมด
ยังโชคดีนะครับ เพื่อนผมถูกเมียหลอกให้เข้าไปรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เพราะถ้าขืนปล่อยไว้มีสิทธิ์กระเจิดกระเจิงมากกว่านี้แน่
และที่โรงพยาบาลนี่แหละที่แกเริ่มตั้งสติได้ เป็นครั้งแรกที่แกมีโอกาสได้ดูทีวีสองสามช่องที่ไม่เคยดูมาก่อน และอ่านหนังสือพิมพ์บางฉบับที่ไม่เคยอ่านมาก่อน และได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
และแกก็มาเริ่มปิ๊งเมื่อกลางปีที่แล้ว ในช่วงที่มีชาวบ้านเป็นหมื่นๆ คนชุมนุมกันที่สนามหลวงและเปิดเวทีไล่ทักษิณ แกนั่งอยู่หน้าจอทีวีฟังคนผลัดกันขึ้นเวทีชำแหละอดีตนายกฯ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทำเอาอาการที่ถูกจิตวิทยาหมู่ยัดเยียดให้หายเป็นปลิดทิ้ง
เพื่อนผมปิดท้ายจดหมายด้วยการเล่าว่าวันที่แกรู้ตัวว่ากลับมาเป็นคนปกติเหมือนเดิมก็คือ วันที่แกกับเพื่อนๆในโรงพยาบาลนับร้อยยืนอยู่จอทีวีและตะโกนพร้อมๆ กันว่า “ทักษิณ...ออกไป๊!”
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น