วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำไมม็อบเสธ อ้าย จึงหยุดกลางคัน?

เรื่องนี้มีส่วนคล้ายประวัติศาสตร์จีนยุค พระเจ้าฮั่นอู๋ตี่ ในเหตุการณ์ที่พระองค์ทรงสั่งให้แม่ทัพคนหนึ่ง ไปปราบซ่งหนู โดยให้กำลังพลน้อยมาก ไม่พอที่จะทำการได้สำเร็จ ทำให้ผลกลับตรงข้าม คือ ล้มเหลวและทำให้ "แม่ทัพ" คิดเอาชีวิตรอดก่อน คือ ยอมแสร้งเข้ากับพวกซ่งหนู (อันที่จริง ฮั่นอู่ตี่ฮ่องเต้รู้แต่แรกแล้วว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้ แต่ท่านต้องการส่งแม่ทัพผู้นี้ให้ไปตาย เพราะเขามีจิตไม่ซื่อ หวังเอา "หวังเจาจิน" เป็นเมีย ทั้งๆ ที่หวังเจาจินคือ พระสนมในพระองค์) ต่อมา มีขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มีความคิดบรรเจิดแต่ใช้ไม่ได้จริง คือ คิดเก่ง เลิศเลอ จนได้รับความชื่นชมมากมายในเชิงทฤษฎีนะ แต่มันไม่รู้ความจริงนัยนี้ ก็เลยเข้าข้างแม่ทัพคนนั้น เถียงกับฮั่นอู่ตี่ฮ่องเต้ว่า "เขาอาจมีเหตุผลของเขาเองก็ได้นะ" ตายห่าละสิ ถ้าคนทุกคนคิดแม่งมันแบบนี้ ฮ่องเต้สั่ง ก็ไม่ต้องทำตาม เพราะทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเองนะค่ะ ประเทศมันคงต้องล่มสลายเป็นแน่ ว่าแล้วฮั่นอู๋ตี่ฮ่องเต้ จำต้อง "ตัดไฟแต่ต้นลม" จะปล่อยให้ความคิดบรรเจิดงี่เง่าไร้ซึ่งความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องความมั่นคงเช่นนี้ เผยแพร่ออกไปไม่ได้ จะฆ่าทิ้งเสียก็ได้ แต่เสียดายเพราะท่านเองก็นิยมในสำบัดสำนวนงานกวีของมันเสียด้วย ก็เลย "สั่งตัดจู๋" ไปเสียเลย เป็นตัวอย่างว่าอย่ามาคิดแบบนี้อีก "มันอันตรายต่อความมั่นคง" นั่นเอง เรื่องยังไม่จบ หลังจากนั้น ขุนนางคนนั้นก็ยังสิ้นคิด คิดไม่ได้อีกว่าทำไม เขาจึงได้ลงโทษตัวเองขนาดนั้น มันคับแค้นใจมาก ก็เลยไปเขียนตำราประวัติศาสตร์ซะเลิศหรูสวยงาม (แต่ใช้ไม่ได้จริงหรอก) ทำเอานักปราชญ์ทั่วแผ่นดินชื่นชมมัน พร้อมกับด่า "ฮั่นอู๋ตี่" กันเสียยกใหญ่ (เพราะสมองมันคิดได้เท่านั้น ได้แค่ทฤษฎีสวยหรู แต่ไม่เคยปฏิบัติจริง) เอาละ แต่สำหรับเรื่องของ เสธ อ้าย นี้ เกิดในระบอบ "ประชาธิปไตย" นะครับ อย่าลืมซะละ ว่า "ระบอบกษัตริย์" ที่ผมยกตัวอย่างมา "มันคืออดีตไปแล้ว" เดี๋ยวนี้พระไทยฮิตสอนว่า "ให้อยู่กับปัจจุบัน" นะจ๊ะ ...


เอาละ ผมจะล้วงลึกความลับประเด็นร้อนฉ่าที่สุดในประเทศตอนนี้ มาแฉกันให้ท่านทราบฟรีๆ เลยครับ เรื่องนี้เริ่มต้นจาก "โอบาม่า" มาเยือนไทยครับ มันเลยกระทบไปถึงจีนก็ต้องเข้ามาคานอำนาจด้วย ทีนี้ ในประเทศไทยคุณก็ทราบว่ามี "สองขั้วอำนาจใหญ่" อยู่ สายป่านสีแดงเชื่อมยาวไปถึงจีน สายป่านสีเหลืองก็เชื่อมไปยาวถึงอเมริกา เมื่อโอบาม่ามาแล้ว แสร้งทำเป็นดีกับนายกไทย แต่กลับพูดเชิงยุยงให้มีม็อบขึ้น และไม่นานนัก "ผู้มีอำนาจท่านหนึ่ง" ได้เรียก เสธ อ้่าย ไปพบ แล้วบอกว่า ประเทศไทยแย่แล้ว จำเป็นต้องอาศัยวีรบุรุษเช่นท่้านช่วยหน่อยเถิดนะ เพราะอีกไม่นานอาจเกิดข้อพิพาทย์ระหว่างจีนกับอาเซียนถึงขั้นมีสงครามเกิดขึ้น (และเป็นการยากที่ใครจะวางตัวเป็นกลางได้) ท่านผู้มีอำนาจนั้นก็ว่าเราเป็นกลาง (กลางไม่จริงนะ เพราะสายป่านยาวถึงอเมริกา) แต่นายกกำลังนำพาประเทศไปผิดทาง (ตามความคิดของท่านผู้นั้น) เพราะเข้าข้างจีนเสียแล้ว ประเทศก็จะไม่รอดวิกฤติไปได้ ท่านจึงต้องทำเพื่อชาติ เป็นทหารต้องเสียสละนะ ท่านต้องนำพาผู้คนไปโค่นอำนาจรัฐบาลลง เพื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมือง เอาคนอื่นเข้ามาเป็นนายกแทน จึงจะสับเปลี่ยนขั้วสายป่าน ไม่ให้ไทยถูกผูกโยงดึงไปเข้ากับจีนได้ (เออ ความคิดเขาก็เข้าท่าเหมือนกันนา) ทว่า เสธ อ้าย ก็คิดว่า "ทำไมต้องเป็นฉันเนี่ย ฉันทำไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ทำไปเดี๋ยวก็โดนด่า โดนเช็คบิล โดนเล่นงานตามหลัง ไม่มีประโยชน์อะำไีรเลย แล้วปฏิวัติแล้วอะไรมันจะดีขึ้นเร้อ ไหนตัวผู้นำที่ดีกว่านี้มีไหม? ก็ไม่เห็นมี ไม่เ็ห็นโผล่หน้ามาทำให้เรามีกำลังใจเสียหน่อย" ผู้มีอำนาจก็ว่าทำทุกอย่างเรียบร้อย ไม่ต้องคิดมาก ทำหน้าที่ของตนให้ดีก็พอนะ (ประมาณว่าตัวผู้นำมีแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครเป็นนายก) ทว่า ทหารหาญทุกคน คงไม่มีใครชอบถ้าจะต้องปฏิวัติโดยไม่รู้ว่าจะเอาอำนาจไปให้ใคร? ถ้ารู้และเชื่อมั่น ศรัทธาชัดเจนว่า "ตัวผู้นำใหม่" คนนั้ัน คือ คนที่ใช่ คือ คำตอบ แหม ทหารทุกคนก็พร้อมพลีชีพครับ เห็นยุคพระนเรศวรไหม ยอมตายเพื่อชาติ เชื่อฟังคำสั่งพระนเรศวรกันทั้งนั้น เรียกว่า ผู้มีอำนาจพลาดหมากที่สำคัญที่สุดไป คืิอ "หมากขุน" ในเมื่อหมากขุนไม่ชัดเจน หรือมีแต่ไม่ได้เรื่อง ไม่อาจทำให้ทหารศรัทธาได้ เสธ อ้าย ก็เลยเครียดหนัก เอาไงดีวะตรู อำนาจจี้คอหอยอยู่ จะปฏิเสธก็ไม่ได้ ก็เลยตบปากรับคำไปก่อน (เดี๋ยวไปหาทางหนีทีไ่ล่เอาทีหลัง)


ว่าแล้ว "ดราม่าชุดใหญ่" สุดอลังการก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยการประกาศกร้าวราวกับจะยกเก้าทัพมาบุกพระนครฯ ทำเอาทุกคนอกสั่นขวัญแขวนไปกันใหญ่ (ที่พวกเสื้อแดงเขาล้อว่า โฆษณาเกินจริง) ทำไงได้ละครับ มันต้องเล่นละครดราม่า มันก็ต้องตีบทให้แตกกระจุยกันสักหน่อย (ใครไม่เป็นกรู มึงไม่รู้หรอก หัวอกของคนที่ถูกบีบให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ มันเป็นยังไง) ว่าแล้ว "ลูกสาวผู้มีอำนาจ" คนหนึ่งที่มีหน้ากากเป็นคนดี บุคคลิกดังปราชญ์ ก็คอยมาบงการเบื้องหลัง  แน่นอนว่า "งานนี้ไม่มีเนิร์ซ" มันไม่ใช่เด็กๆ ขี้ๆ แน่นอน มันต้องมีตูมตาม และวุ่นวายอย่างแน่นอน อีกประการ เสธ อ้ายต้องเป็นคนรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด (หมายความว่าถ้ามีคนตายเท่าไร ก็ต้องรับผิดชอบหมดคนเดียวด้วย ทำไงได้ละ เป็นหนังหน้าไฟนี่นา?) เป็นรูปแบบว่า "ม็อบเสธ อ้าย" แสดงละครว่าทำตามกฏหมายทำโดยสงบ แต่ "เบื้องหลัง" จัดเตรียมเอาไว้แบบสุดๆ ชนิด ตายเป็นตายกันไปข้างหนึ่งเลย ไม่สนอะไรแล้ว ขอให้งานสำเร็จเป็นพอ เสธ อ้าย ก็เลยต้องเล่นตามบทของตนเองไป อาศัยจังหวะที่ทำหน้าที่ดูเนียนที่สุดแล้วเกิดการปะทะขึ้น สถานการณ์เริ่มรุนแรงและไม่อาจควบคุมได้ เสธ อ้าย คิด "มันมาแล้ว ไอ้เงามืดนั่น มันเริ่มเล่นกูแล้วโว้ย" มรึงจะให้กูรับผิดชอบขนาดนี้ แล้วแอบมาเล่นสร้างความวุ่นวายในม็อบกู ให้กูรับผิดชอบคนเดียว แล้วมรึงแม่งคนทำอยู่เบื้องหลัง ก็ตีสีหน้าเป็นผู้ดีต่อไปนี่นะ กูไม่เอากับมึงแล้ว ทุกคนแยกย้ายกลับบ้าน ทั้งๆ ที่อารมณ์กำลังได้ที่แล้วทีเดียว จะลุยต่อมันก็ได้ แต่ "หน้ากากบังหน้า" มันไม่มี ไม่ยอมทำหน้าที่แล้ว ถ้่าลุยต่อเดี๋ยวคนทั้งประเทศได้รู้กันว่ามันไม่ใช่ฝีมือ เสธ อ้่าย แต่มันมี "ตัวบงการเบื้องหลัง" ชักใยอีกทีหนึ่ง ว่าแล้วก็เลย "ประกาศหยุดม็อบ" ซะเลย ทุกอย่างก็เลยจบเห่ ละครฉากใหญ่เลยปิดม่านลงด้วยประการฉะนี้


2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณคับ สำหรับบทความ (แต่อาจจะ งงนิดๆ แต่ก็โอเค ขอบคุณมาก)

Unknown กล่าวว่า...

อันนี้เป็นแค่ "ความคิดเห็น" นะครับ คนเราก็คิดเห็นกันไปต่างๆ นานา ไม่รู้ว่าจริงบ้าง เท็จบ้าง ถูกบ้าง ผิดบ้าง ตามแนวทางประชาธิปไตยนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณเอาเองครับ


(ไม่รู้ว่าเขียนออกไปแล้ว เว็บจะเ็ป็นอะไรอ่ะป่าว)

แสดงความคิดเห็น