Propaganda

Propaganda หมายถึง "การล้างสมอง" โดยผู้กระทำมักจะใช้่ "สื่อต่างๆ" เช่น โฆษณา, ประชาสัมพันธ์ เพื่อทำให้มวลชนหรือกลุ่มเป้าหมาย มีความเชื่อคล้อยตามสิ่งที่ตนต้องการ โดยอาจไม่ได้ให้ความจริงทั้งหมด อาจเป็นเพียงความจริงบางด้าน, บางส่วน, บางมุม เช่น นำเสนอแต่ด้านที่ดี, มุมดีๆ แต่ด้านที่ไม่ดี ปิดบังอำพรางไว้ ไม่ให้ใครรู้เห็น มีเบื้องหน้า เบื้องหลัง โดยเบื้องหน้าทำดีมาก อวดโชว์หรือแสดงให้คนเห็นมากมาย ผ่านสื่อต่างๆ มากมาย แต่เบื้องหลังแอบทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มากมาย เช่นนี้ ก็มีได้ เป็นไปได้ สำหรับผู้ที่เป็น "เหยื่อ" ของ Propaganda อาจทำให้เขาหลงไหล, นิยมชมชอบหรือศรัทธาอย่างบ้าคลั่ง ก็ได้ ซึ่ง Propaganda เป็นที่นิยมใช้ในหมู่นักการเมืองมาก เช่น การใช้ป้ายโฆษณาแสดงผลงานของตน การออกข่าว ออกสื่อ การทำประชาสัมพันธ์ผลงานต่างๆ ของตน เป็นต้น ดังนั้น เราผู้รับสื่อ จึงควรไม่ให้ตัวเองกลายเป็นเหยื่อของ Propaganda ต้องรู้จักตระหนักคิด รู้จักมองรอบด้าน และไม่เชื่อไปในทันทีที่ได้รับสื่อ (เพราะสื่อส่วนใหญ่ ถูกผู้ทำ Propaganda ใช้เป็นเครื่องมือได้) จึงจะรอดจากการเป็นเหยื่อของ Propaganda ได้ สำหรับเนื้อหาของ Propaganda ผมขออ้างอิงข้อมูลจากเว็บอื่นๆ มา ดังต่อไปนี้



Propaganda :การล้างสมองแบบเนียนๆ




ศ. ริชาร์ด อลัน เนลสัน(ม. หลุยเซียน่า) ให้คำจำกัดความ propaganda ไว้ว่า

Propaganda is neutrally defined as a systematic form of purposeful persuasion that attempts to influence the emotions, attitudes, opinions, and actions of specified target audiences for ideological, political or commercial purposes through the controlled transmission of one-sided messages (which may or may not be factual) via mass and direct media channels.

Propaganda คือระบบของการหว่านล้อมเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการมีอิทธิพลเหนือ อารมณ์ ทัศนคติ ความเห็น และ การกระทำ ของกลุ่มเป้าหมาย ในทางอุดมคติ การเมือง หรือ การพาณิชย์ ผ่านทางการสื่อสารทางเดียวที่ถูกควบคุม โดยไม่จำกัดว่า เป็นการสื่อสารทางตรง หรือ สื่อสารมวลชน  

สำหรับผม
Propaganda = ล้างสมอง และเป็นภัยร้ายแรงที่สุดต่อความเห็นเสรี(Freethought) ซึ่งย่อมเป็นผลโดยตรงต่อระบอบการปกครองที่ขึ้นกับเสรีของมวลชน เช่นระบอบประชาธิปไตย

Propaganda เป็นเทคนิคที่เล่นกับอารมณ์ ดังนั้นส่วนใหญ่แล้ว จะโจมตีข้อบกพร่องในกระบวนการคิดของมนุษย์ ทั้งในแง่ของข่าวสารลวง หรือ ใช้ตรรกะวิบัติช่วย(ฟังเผินๆเหมือนถูก แต่จริงๆแล้วผิด) เทคนิคเหล่านี้ เห็นได้ทั่วไปในไทย(คาดว่าถ้าห้ามไม่ให้นักการเมืองไทยใช้ตรรกวิบัติเลย การประชุมสภาจะเงียบ เพราะ สส 99.99% พูดอะไรไม่ได้เลย) และทำให้ชาติล้าหลังเลวร้ายกว่าระบอบอำมาตย์ หรือ ทุนนิยมเป็นร้อยเท่า ผมคงแจกแจงได้ไม่หมด เอาแค่ที่ชอบใช้กันเหลือเกินก็แล้วกัน

1. Factoid
แปลโต้งๆคือ "เหมือนจริง แต่ไม่ใช่" Factoid คือ สิ่งที่อ้างว่าเป็นข้อเท็จจริง แต่ไม่เคย/ไม่สามารถพิสูจน์ได้ บทบาทของ Factoid ใน Propaganda คือพูดมันซ้ำๆเข้าไป มันจริงหรือเท็จก็ช่าง ถ้ายิงซ้ำถี่พอ ลงท้ายจะมีคนเชื่อ โดยทั่วไป คนเราจะเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่ออยู่แล้ว ถ้าปลุกเร้าได้ดีพอ และ Factoid สนับสนุนความเชื่อนั้น กลุ่มผู้ฟังจะยอมรับ Factoid ว่าเป็นจริงไปด้วย โดยคนพูดไม่ต้องพิสูจน์(เทคนิคย้ำซ้ำๆนี้เรียกว่า Ad nauseam)
ตัวอย่าง
ปฏิญญาฟินแลนด์/คลิปตัดต่อเสียงนายก

2. Doublespeak 
บิดเบือนความหมายของคำและข้อความ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจผิด
ตัวอย่าง
การยกคำร้องของศาลแพ่ง เรื่องสิทธิในการสลายการชุมนุม(แกนนำพูดว่ายกคำร้อง เสื้อแดงเฮ แต่จริงๆ ศาลบอกว่าให้รัฐสลายได้เลย โดยไม่ต้องถามต่างหาก)
กรณีนี้ จำได้ว่าเสื้อเหลืองก็ใช้ แต่หาอ้างอิงไม่ได้

3. Ad hominem
โจมตีตัวบุคคล เห็นง่ายมาก แม้วโกงกิน ดังนั้นนโยบายแม้วผิด(เกี่ยวไรวะ) อภิสิทธิ์ หนีทหาร(อันนี้ factoid) ดังนั้นนโยบายอภิสิทธิ์ก็ผิด(โคตรเกี่ยว)
ทักษิณทำอะไรก็ผิด สำหรับเสื้อเหลือง และ อภิสิทธิ์ทำอะไรก็ผิดสำหรับเสื้อแดง ทั้งสองฝ่ายไม่เคยพิจารณาการกระทำ/คำพูด แต่ตัดสินว่า "ใครพูด"

4. Appeal to fear
สร้างความหวาดกลัว กระแสที่มาแรงในหลายปีนี้คือ ระบอบทักษิณ(มันจะล้างสถาบัน) 

5. Black and white fallacy
นำเสนอให้เห็นว่ามีทางเลือกแค่สองทาง แล้วบังคับให้เลือก (จะยุบสภา หรือยอมให้ชาติล่มสลาย/ไพร่หรืออำมาตย์/ไม่แดงก็เหลือง) ทั้งๆที่มีทางเลือกที่สาม กลยุทธนี้แทบจะเป็นไม้บังคับในการปลุกระดม แต่ในทางกลับกัน มันก็ทำให้ทั้งคนที่ใช้และคนที่ฟังโลกแคบลงไปมาก
มากขนาดมีนักวิชาเกินบอกว่าพวกไม่เลือกข้างเป็นขาวเนียน ก็คิดเอาเองละกัน(จะว่าไป พวกนี้หลายคนก็เป็นขาวเนียนเหมือนกัน อ่านสมัยเหลืองชุมนุม กับ แดงชุมนุม ทำไมเขียนไม่เหมือนกันหว่า?)

6. oversimplification
พูดให้ง่ายสุดๆ เพื่อให้บิดเบือนได้ เป็นอีกอย่างที่นิยมใช้กันมาก โดยเฉพาะเมื่อปัจจุบัน คนเรารู้เรื่องข้ามสายงานน้อยลงทุกที
ตัวอย่าง : การกู้ไม่ดี => รัฐบาลนี้กู้ => รัฐบาลนี้ผิด
ข้อเท็จจริง: ทุกชาติกู้หมด และตามทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ การกู้เงินของรัฐบาล ไม่สามารถตัดสินว่าไม่ดีได้ ต้องดูนโยบายอื่นๆหลังจากนั้น

7. ใช้สโลแกน และ สร้างอัตลักษณ์ร่วม(ชัดมาก เป็นสีเลย)

ซึ่งเทคนิคพวกนี้จะว่าไป ก็ใช้กันทั้งสองฝ่าย สิ่งที่เราต้องรู้คือเราจะเอาตัวรอดยังไง
1. ข้อมูลใดก็ตามที่มาด้วยเทคนิคพวกนี้ REJECT ทันที และให้ตั้งข้อสงสัยฝ่ายที่เริ่มก่อน ยิ่งถ้าพูดซ้ำๆ ซึ่งเป็นเจตนาของ Ad nauseam แล้ว คิดไว้ก่อนเลยว่าข้อเท็จจริงนั้น "ผิด" และถูกสร้างมาเพื่อล้างสมองคนโง่
2. แหล่งข่าวใดมีพฤติกรรมเหล่านี้ซ้ำๆ หรือมากผิดปกติ ไม่ควรอ่าน และไม่ควรให้น้ำหนักอะไรอีกเลย
3. แยกข้อเท็จจริงออกจากความเห็น การตีความข้อเท็จจริงเกิดได้หลายทาง แต่ข้อเท็จจริงควรมีเพียงหนึ่งเดียว หากข้อเท็จจริงขัดแย้งกัน "ต้อง" หาข้อมูลเพิ่ม
4. ถ้าเป็นไปได้ กลับไปหาต้นแหล่งเสมอ เช่น อ่านคำพิพากษาศาลเอง หรือ อ่านกฏหมายเอง หากจะอ้างความเห็นบุคคล ควรพิจารณาว่าบุคคลนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ และ ผู้เชี่ยวชาญนั้นเลือกข้างหรือไม่(เช่นความเห็นทางกฏหมายของ ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ น่าเชื่อถือกว่า 3 เกลอแน่นอน) หากความเห็นผู้เชี่ยวชาญขัดแย้งกัน ให้เลือกเชื่อผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลางที่สุด
5. การพิจารณาผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นกลางหรือไม่ ให้ดูจากความคงเส้นคงวาของข้อคิดเห็น ในช่วงที่ผ่านมา เช่นในเรื่องการชุมนุม ทัศนคติของผู้นั้น ต่อการยึดสนามบิน/ปิดทำเนียบ ควรมีลักษณะเช่นเดียวกับ ทัศนคติที่มีต่อการยึดราชประสงค์ ผู้เชี่ยวชาญนั้นไม่ควรมีร่องรอยของการใช้ตรรกวิบัติ/บิดเบือนข้อเท็จจริงในอดีต
6. ถ้ายังแยกไม่ออก ไปหาตำราเรียนในเรื่องนั้นมาอ่านซะ หรือไม่ก็ลืมๆมันไปซะ ไม่ต้องตัดสินมันละ
7. ข้อมูลวิจัยเป็นหลักฐานที่ดี เช่นกรณีเงินกู้ IMF ควรอ่านงานวิจัยของ TDRI ในสมัยปี 42-43 จะได้ข้อเท็จจริงครบ และจับได้ว่าใครโกหก ให้ลบเครดิตสำหรับคนโกหกประเด็นเหล่านี้ สำหรับเรื่องอื่นๆ ที่คนๆนี้จะพูดต่อไปด้วย
8. ประวัติศาสตร์ เป็นบทเรียนที่ดี แต่พอดีไม่ค่อยมีคนเรียน อ่านอดีตเยอะๆ จะเห็นว่ามุกพวกนี้มันซ้ำซาก แต่ก็หลอกคนได้ซ้ำซากด้วย -*-

กล่าวโดยสรุป ทำตัวเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย(ทุกคนโกหก จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าพูดจริง)และจำแม่น(ใครเคยโกหกไว้ อย่าไปฟังซ้ำ)ไว้ก่อน จะเอาตัวรอดได้ดีขึ้น

ขอให้ทุกคนเอาตัวรอดจากโลกแห่งการหลอกลวง 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น