วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

อีกขั้นของการพัฒนาสู่ประเทศพาณิชยกรรม ได้อย่่างไร?

ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่จะจมปลักอยู่แต่การเป็นประเทศเกษตรกรรมอย่างเดียว (แต่ก็ไม่ใ่ช่ว่าเราจะทอดทิ้งการเกษตรไปทั้งหมด ก็หาไม่) และไม่เหมาะสมที่จะก้าวขึ้นเป็นประเืทศอุตสาหกรรม (เพราะจะทำให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อม แล้วภัยพิบัติตามมา) แต่ประเทศไทยเหมาะสมที่จะก้าวขึ้นเป็นประเทศพาณิชยกรรมด้วยปัจจัยเกื้อหนุนต่างๆ โดยเฉพาะไทยเป็นเส้นทางขนส่งสินค้า (Logistic) จากประเทศจีนไปยังพม่า, ลาว, กัมพูชา ฯลฯ สภาพเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับประเทศสิงคโปร์ในสมัยโบราณที่เคยเป็นเมือง ท่า ทางผ่านของเส้นทางการขนส่งสินค้าทางทะเล ส่งผลให้ประเทศสิงคโปรค์เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน แต่ทว่า ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง และได้รับการพัฒนาให้ก้าวไปข้างหน้า แม้แต่สิงคโปร์เองก็จะจมปลักอยู่แต่ประเทศพาณิชยกรรมไม่ได้อีกต่อไป สิงคโปร์จะต้องพัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นนักลงทุนใหญ่ของอาเซี่ยน หรือ Bank of AEC ในขณะเดียวกันไทยก็ต้องก้าวไปสู่การเป็นประเทศพาณิชยกรรมเช่นกัน ด้วยการวางตำแหน่งของประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียนเช่นนี้ จะช่วยให้เกิดความแตกต่างกันของแต่ละประเทศ ไม่แข่งขันกันมากเกินไป และจะสามารถทำให้ทั้งไำทยและอาเซียนทั้งหมดจะเจริญก้าวหน้าต่อไปร่วมกันได้ ทั้งนี้ ผลจากการเปิดเสรีอาเซียนนั้นเอง จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างของเศรษฐกิจเลยทีเดียว (Economic structure change) แบ่งได้เป็นสามกลุ่มใหญ่ดังนี้

๑. กลุ่มนายทุนใหญ่กลุ่มเก่า ที่ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแสวงหาต้นทุนที่ต่ำกว่า
๒. กลุ่มนายทุนเล็กกลุ่มใหม่ ที่เน้นเจาะตลาดบน ขายสินค้าราคาแพง แต่คุณภาพดี เน้นแบรนด์ดังๆ
๓. กลุ่มนายทุนซื้อมาขายไป ซึ่งจะรับสินค้าต้นทุนต่ำจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามากินกำไรเ็ป็นทอดๆ

นี่คือ กลุ่มนักธุรกิจสำคัญๆ ของไทยในอนาคต ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป ซึ่งหลังจากเปิดเสรีอาเซียนแล้ว จะส่งผลกระทบต่อนักธุรกิืจไทยแต่เดิมอย่างยิ่ง เช่น กลุ่มนายทุนใหญ่กลุ่มเก่า ที่ไม่ยอมย้ายไปตั้งฐานการผลิตที่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อทำต้นทุนให้สามารถแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านได้ กลุ่มนี้ ก็จะประสบปัญหาอย่างมาก สุดท้าย ถ้าไม่ออกจากตลาดการแข่งขันนี้ไป ก็ต้องล้มละลายไปเองในที่สุด เพราะไม่ยอมปรับตัว นั่นเอง, กลุ่มนายทุนเล็กกลุ่มใหม่ (SMEs) ที่ไม่อาจจะสร้างตราสินค้าและคุณภาพในตลาดระดับบนได้ ก็จะไม่อาจขายสินค้าในราคาต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าของประเทศเพื่อนบ้านได้ และจะประสบปัญหาไม่ต่างจากกลุ่มแรก, กลุ่มนายทุนซื้อมาขายไป (Trader) ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนไปซื้อสินค้าต้นทุนต่ำจากประเทศเพื่อนบ้านยังคงซื้อสินค้าจากสายการผลิตเดิมๆ ก็จะประสบปัญหา ราคาสินค้า แพงกว่าของประเทศเพื่อนบ้าน และไม่อาจดำีรงอยู่ในตลาดต่อไปได้เช่นกัน


อนึ่ง อย่าลืมว่าเราได้เห็น "ความล่มสลายของกลุ่มประเทศยูโร" กันมาแล้ว อันเกิดจากการผูกโยงเงินเข้าด้วยกัน ส่งผลให้ค่าเงินไม่อาจเปลี่ยนแปลง, ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ของแต่ละประเทศได้ คราวนี้ เรารวมกลุ่มกันขึ้นเป็นอาเซียนบ้าง แม้ว่่าจะไม่มีการใ้ช้เงินสกุลเดียวกัน แต่การเปิดเสรีการค้า ไม่มีภาษี ก็จะส่งผลกระทบต่อ "เครื่องมือในการปรับฐานต้นทุนสินค้า" ได้ กล่าวคือเมื่อก่อนถ้ามีชาวจีนเอาผักราคาถูกมาขาย เพราะผลิตได้้ต้นทุนต่ำกว่า พอผ่านกำแพงภาษีก็มีราคาสูงขึ้น ทำให้ไม่อาจรบกวนดุลยภาพของตลาดในประเทศแต่เดิมได้ แต่พอกลายเป็นเขตการค้าเสรี ไม่มีภาษีแล้ว ของถูกๆ ก็จะไหลทะลักเข้ามาในประเทศ มาแข่งกับของในประเทศที่ราคาเท่าเดิม คือ แพงกว่า สุุดท้าย ก็จะส่งผลกระทบให้ผู้ผลิตในประเทศไทย ไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าที่มาจากต่างชาติได้ นี่คือ "ผลจากรัฐบาลไม่มีเครื่องมือเป็นภาษี" หลังจากเปิดเขตการค้าเสรีแล้ว ดังนั้น เพื่อปรับตัวให้ทันกับปัญหานี้ ประเทศไทยซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว, พม่า, กัมพูา ฯลฯ จึงต้องปรับตัวหลายอย่าง เพราะเมื่อตลาดได้รวมกันกลายเป็น "ตลาดอาเซียน ตลาดเดียว" แล้ว จะส่งผลให้ "ดุลยภาพตลาด" คือ ราคาสินค้าและปริมาณสินค้าที่ลูกค้าต้องการ กลายเป็น "มาตรฐานเดียวกันทั้งอาเซียน" ประเทศใดที่มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า ก็เสี่ยงที่จะต้องพบอุปสรรคในการแข่งขันกับมาตรฐานราคาที่ต่ำกว่า เรียกว่า การเปิดเสรีการค้านี้ ให้ผลดีกับประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนามากกว่า เพราะพวกเขามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า แต่จะมีปัญหาอย่างยิ่งในประเทศที่พัฒนามากกว่า เพราะมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า นั่นเอง อนึ่ง ผลกระทบนี้ จะเป็นผลเสียต่อนักลงทุน แต่จะเป็นผลดีต่อผู้บริโภค ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว หากนักลงทุนได้รับผลกระทบมาก ก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้ เมื่อนั้น แม้แต่ผู้บริโภค ก็ไ้ด้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนี้



วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

เขาพระวิหารเป็นของไทย ไม่ใช่ของกัมพูชา

สืบเนื่องมาจาก "กรณีพิพาทเขาพระวิหาร" ระหว่างไทยและกัมพูชา ผมได้ฟังข่าวแล้วงงมากถึงมากที่สุด คือ เขาสรุปว่า "ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา" ส่วน "พื้นที่โดยรอบ..ตรม." เป็นของไทยซึ่งมันเป็นไปไม่ไ่ด้ที่ประเทศสองประเทศจะมีกรรมสิทธิ์เหลือมซ้อนกันอย่างนี้ "ตัดสินแบบนี้ไม่ไ่ด้ ได้จบ" กล่าวคือ เขาสรุปการตัดสินคดีไปว่า "พื้นที่โดยรอบเป็นของประเทศไทย" แต่ "ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา" อ้างเอาจาก "สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส" ซึ่งหลักฐานนี้ไม่อาจใช้ได้แล้วครับ เพราะอะไร? เพราะ "ฝรั่งเศส" ไม่ใช่คู่กรณีในคดีนี้ สัญญาจึงเป็นอันสิ้นสุดลงด้วย ถ้าฝรั่งเศสยังคงยึดครองกัมพูชาอยู่ และรัฐบาลกัมพูชาทำตามอำนาจของฝรั่งเศส สัญญาฉบับนี้ นับว่ายังใช้ได้อยู่ครับ แต่เมื่อกัมพูชาไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสแล้ว "สัญญาที่ฝรั่งเศสทำกับไทย" ย่อมเป็นอันสิ้นสุดลงด้วย อันเป็นผลให้ "ตัวปราสาทพระวิหาร" ต้องตกเป็นของไทย ไม่ใช่ด้วยอ้างอิงตามสนธิสัญญาที่สิ้นสุดไปแล้ว แต่อ้างอิงตาม "แผนที่ซึ่งไทยมีอำนาจในพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารนั้น" (สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ถือเป็นโมฆะแล้ว)


พูดแล้ว ชาวบ้านบางคนอาจไม่เข้าใจ อธิบายง่ายๆ อย่างนี้ครับ คือ กัมพูชาอ้างว่าไทยทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศสไว้ แล้วส่งผลให้ไทยต้องยอมยกปราสาทพระวิหารให้ฝ่ายฝรั่งเศส ต่อมา กัมพูชาปลดแอกออกจากอำนาจการปกครองของฝรั่งเศสแล้ว ดังนั้น กัมพูชา ซึ่งไม่ใช่คู่กรณีในสัญญานั้นๆ ไม่ใช่ไทย ไม่ใช่ฝรั่งเศสเลย ดังนั้น จะมาอ้างเอา "สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส" ยกขึ้นอ้าง "หาได้ไม่" อุปมา เหมือนสัญญาของคนรุ่นพ่อทำไว้ พอถึงรุ่นลูก พ่อตายไปแล้ว สัญญาย่อมไม่มีผลผูกพันลูกด้วย หรือถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด "สิ้นสภาพตามกฏหมาย" ไปแล้ว ไม่ว่าจะตาย, ล้มละลาย, องค์กรถูกยุบ หรือหมดอำนาจในการปกครองประเทศอาณานิคม ก็ตาม "สนธิสัญญา" นั้นๆ ย่อมสิ้นสุดลงไปด้วย ตามกัน รัฐบาลใหม่จะนำสนธิสัญญาเก่า ที่ทำไว้โดยประเทศอื่น ยกขึ้นอ้าง ต่ออีกประเทศหนึ่งนั้น "หาได้ไม่" คือ ไม่มีผลทาง กฏหมายใดๆ เลย นั่นเอง กรณีคู่สัญญาเป็น "ประเทศต่อประเทศ" ก็ต้องดูว่า "ความสิ้นสุดไปของอำนาจในการปกครองประเทศ" นั้น สิ้นสุดลงเมื่อไร ถ้าอำนาจของฝรั่งเศสในการปกครองประเทศกัมพูชาสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้น สนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับไทย ก็ต้องสิ้นสุดลงด้วย และ "การที่ ร.๕ ยกดินแดนให้แ่ก่ฝรั่งเศส" นั้น ก็ถือว่า "สิ้นสุด" ดังนั้น "ประเทศกัมพูชา ยังต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของไทย ดังเดิม ยกเว้นว่า กัมพูชาจะขอต่อไทยเพื่อเป็นประเทศเอกราช แล้วประเทศไทยยอมยกให้แล้ว ประเทศกัมพูชาจึงจะเป็นประเทศราช มีอิสรภาพเป็นของตนได้ (ก่อนสมัย ร.๕ ประเทศกัมพูชาเ็ป็นส่วนหนึ่งของไทยแต่ ร. ๕ ได้ยกดินแดนส่วนนี้ให้แก่ฝรั่งเศสไปครับ เมื่อฝรั่งเศสยอมสละอำนาจเหนือดินแดนนี้ไปแล้ว ดังนั้น สนธิสัญญาระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ย่อมสิ้นสุดลงด้วย ทำให้ "ดินแดนของประเทศกัมพูชา" ย่อมต้องตกเป็นของประเทศไทยตามเดิม ก่อนสนธิสัญญานั้นๆ นั่นคือ สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศสเป็น "โมฆะ" นั่นเอง


ดังนั้น ตัวปราสาทพระวิหารจะเป็นของใคร ก็ต้องดู "เขตดินแดน" เป็นสำคัญ ซึ่งเขตดินแดนนั้นทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันชัดเจนว่า "ตัวปราสาทพระวิหาร" อยู่ในเขตดินแดนของไทย ดังนั้น จึงไม่มีการคิดเลยเถิดไปถึงเรื่องการพัฒนาเขาพระวิหารร่วมกัน เพราะเป็นกรรมสิทธิ์ของไทยโดยถูกต้องสมบูรณ์ครับ ทว่า เมื่อรัฐบาลไทยรุ่นก่อนๆ ยอมรับใน "สนธิสัญญา" ไปแล้วนั้น หาได้ส่งผลต่อ "รัฐบาลใหม่" ด้วย เพราะรัฐบาลใหม่มิได้ทำสัญญาหรือยอมรับ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ารัฐบาลเก่าทำเรื่องผิดพลาดไป แล้วรัฐบาลใหม่ซึ่งมีอำนาจมาได้ด้วยตนเอง มิใช่ลูกหลานของรัฐบาลเก่า ที่รับมอบอำนาจสืบๆ กันมา ดังนั้น ย่อมมีอำนาจของตนเองที่จะกระทำการณ์อย่างอิสระ และไม่ขึ้นกับรัฐบาลเก่า ดังนั้น จะแก้ไขสิ่งที่รัฐบาลชุดเก่าทำผิดพลาดไว้ ไม่ยอมรับการทำสิ่งผิดพลาดของรัฐบาลชุดก่อน ย่อมไม่ผิดแปลกแต่ประการใด



เส้นทางขนส่งสินค้าที่ดีที่สุดในเขตการค้าเสรีอาเซียน (The best logistic of AEC)

เมื่ออาเซียนกลายเป็นแหล่งตลาดและการลงทุนที่น่าสนใจ สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางการเงินและนักลงทุน, พม่า-ลาว-กัมพูชา กลายสามเหลี่ยมอุตสาหกรรมต้นทุนต่ำ (แรงงานราคาถูก), ไทยจึงกลายเป็น "เส้นทางขนส่งสินค้าที่ดีที่สุด" (The best logistic of AEC) เช่น เส้นทางเชื่อมโยง พม่า-ไทย-ลาว-จีน ที่ลัดสั้นที่สุด จากพม่าผ่าน "ตาก" ไปสุโขทัย-อุตรดิตถ์-ลาว-จีน หรือ จากพม่าผ่าน "ตาก" ไปสุโขทัย-พิษณุโลก-ลาว-จีน สองเส้นทางที่ลัดสั้นมากๆ (ผ่านไทยเพียงสามจังหวัด สั้นกว่าเส้นด่านกาญจนบุรี) ยิ่งตอกย้ำ "จุดยืนที่แตกต่าง" (Government Positioning) ของไทยแต่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียน และการเปิดด่านนี้เอง จะส่งผลให้เกิดการไหลเวียนของสินค้าจากทั้ง ๔ ประเทศสำคัญๆ คือ พม่า-ไทย-ลาว-จีน ที่มีสินค้า "ราคาถูก" จาก พม่า-ลาว-จีน จำนวนมากไหลเข้ามาในอนาคตอย่างแน่นอน ส่วนไทยนั้นต้นทุนสูงขึ้นไปแล้ว จำต้องเลือกตลาดบนและผลิตสินค้ามาตรฐานสูงอย่างเดียวเท่านั้น จึงจะขายในราคาที่สูงกว่าตามต้นทุนที่สูงกว่า และเป็นที่ยอมรับของตลาดได้ เส้นทางนี้นับว่า "น่าสนใจมากที่สุดครับ" เพราะลัดสิ้นที่สุด ยิ่งตอนนี้ราคาน้ำมันสูงขึ้นใครก็ต้องการเส้นทางการขนส่งสินค้าที่ลัดสั้นที่สุด "จริงไหมครับ"    ดังนั้น การเดินเกมนี้ของ "นายกปู" ต้องขอยกนิ้วให้ครับ "เต็ม ๑๐๐" เอาไปเลย ยอดเยี่ยมครับ ที่เหลือก็จะลงงานจริงกันละ โดยเฉพาะเรื่องการขยายถนน ทำให้เป็นมาตรฐานรองรับรถบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ได้ การวางแนวเส้นทางคู่ขนาน เช่น มีเส้นขนส่งสินค้าแล้ว มีเส้นทางการท่องเที่ยวคู่ขนานไปด้วยไหม? เพราะต่างชาติไม่ได้มาค้าขายอย่างเดียว นักท่องเที่ยวก็จะมาด้วยคู่กันครับ ซึ่งเส้นทางนี้มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจไม่แพ้เส้นทางอื่นๆ เลย เช่น ภูเขา, น้ำตก, ธรรมชาติ ในอุทยานภูหินร่องกล้า ก็ดี อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยที่สมบูรณ์มาก (เพราะไม่ถูกพม่าเผาเมืองเหมือนอยุธยา) และเป็น "มรดกโลก" เสียด้วย มีแหล่งวัฒนธรรมโบราณที่น่าสนใจศึกษาไม่แพ้วัฒนธรรมล้านนาหรืออื่นๆ เช่น เตาเผาสังคโลก, หมู่บ้านทำเครื่องเงินเครื่องทอง, งานทอผ้าซิ่นตีนจก, ต้นกำเนิดประเพณีลอยกระทง, โบราณสถานอันเกี่ยวเนื่องในสมัยสมเด็จพระนเรศวร (พิษณุโลก) ทั้งยังมีของดีเมืองอุตรดิตถ์ คือ ผลไม้ต่างๆ ทั้งทุเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย ที่อุดมสมบูรณ์คล้ายเป็นเมืองจันทบุรีสำหรับภาคเหนือตอนล่างเลยทีเดียว เรียกว่าไม่ใช่น้อยๆ นะครับ ของดีและน่าสนใจในบริเวณนี้ แม้ว่าจะเ็ป็นเส้นทางสั้นๆ ก็ตาม แต่เพราะมันสั้นนี่ละครับ เวลา "จัดตารางเส้นทางเดินรถทัวร์" มันง่าย ทำได้ในแพคเก็จ ๓ วัน คือ สามวัน-สามจังหวัด-สามประเทศ-สามรสชาติ ไปเลย คือ แพคเก็จสามวันนี้ ท่านจะได้ไปสามจังหวัด (ตาก-สุโขทัย-และอุตรดิตถ์หรือพิษณุโลก เลือกเอา) สามประเทศ คือ พม่า-ไทย-ลาว คือ พาไปชมด่านผ่านแดนและสินค้าสองฝั่งด้วย สามรสชาติคือ ๑. ชมธรรมชาติ ๒. ชมอุทยานประวัติศาสตร์ ๓. ชมแหล่งวัฒนธรรม นี่ไงละครับ มันง่ายสำหรับจัดแพคเก็จทัวร์ให้ดูคุ้มค่า และง่ายต่อการเดินทางสามวัน ซึ่งเส้นทางนี้ ไม่ต้องผ่านป่าเขามากเหมือนในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ข้อดีของภาคเหนือตอนล่าง อยู่ตรงนี้แหละ ผมถึงบอกว่ามันเป็นเส้นทางคู่ขนานไปได้ ทั้งการค้าขายและการท่องเที่ยวครับ เพียงแต่รองบพัฒนาเท่านั้นเอง


ผมมองว่่าการที่เราจะทำให้จุดหนึ่งจุดใดน่าสนใจมากขึ้นไปได้ เป็น "ตลาดใหม่" ได้ เราก็ต้องเริ่มจากจุดเล็กๆ นี่แหละครับ เราจะทำตลาดอาเซียนเชื่อมโยงจีนและอาจจะต่อไปยังอินเดียด้วยแต่เราก็ต้องเริ่มต้นจาก "ไทย-ลาว-พม่า" นี่แหละ ก่อนอื่นใดเลย เมื่อสามประเทศมีพลังน่าสนใจแล้ว เดี๋ยวก็ค่อยๆ ดึงดูดให้มีประเทศที่สี่, ห้า, หก ฯลฯ มาเอง และที่น่ายินดีอีกก็คือ "เราทำเอง" ไม่ใช่การหยิบยืมมือคนอื่น ประเทศอื่นมาทำ เราควบคุมเองได้ทั้งหมด ไม่มีพันธสัญญาหรือประสงค์ือื่นแอบแฝงมา นะครับ หลายครั้งในการพัฒนาประเทศๆ ที่กำลังพัฒนามักได้รับเงินช่วยเหลือจากต่างชาติ แต่อย่าคิดว่าดีนะครับ ทุกอย่างย่อมมีต้นทุน, มีจุดประสงค์ และไม่มีของฟรีในโลกหรอกครับ เขาเอาเงินมาให้เราพัฒนา ก็ต้องมีการตักตวงคืนไปในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ตอนนี้ ไทยเรากู้เงินมาเยอะ เพราะเรามีทองคำสำรองในคลังมาก ตอนแรกก็เอาไปลงทุนแบบระยะสั้น หมุนเศรษฐกิจโดยไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่โอเคอาจเพราะต้องใช้ช่วยเศรษฐกิจในระยะสั้น นั่นเอง ตอนนี้ โอเคมากขึ้นแล้ว คือ เริ่มได้เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นผลงานชัดเจนในรัฐบาลชุดนี้ คือ "ยกระดับประเทศไทยให้เป็น The best logistic of AEC นั่นเอง ถือว่า "ใช้ได้สอบผ่านครับ"




วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

หมากสื่อรัก วัฒนธรรมหมากที่หลายท่านอาจเข้าใจผิด?

การกินหมากเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย ซึ่งถูกห้ามในสมัย ร. ๕ ก่อนนั้น การกินหมากจึงเป็นเรื่องปกติ ทว่า วัฒนธรรมการกินหมากนั้น มีรายละเอียดความเป็นมาอย่างไรบ้าง? หลายท่านคงจะเห็นในชาวชนบทหรือในหนังบ้างนะครับ แต่ดั้งเดิมนั้น เขามีวิธีกินหรือความเชื่อในเรื่องการกินหมากกันอย่างไร?


อย่างแรก การกินหมากปกติเป็นเรื่องของผู้หญิงนะครับ คือ เขาเชื่อกันว่ากินแล้วฟันสวย ปากแดง อะไรแบบนั้น แต่ผู้ชายก็กินได้ครับ แต่เขาจะไม่ค่อยติดหมากกันนักเพราะไม่ใช่วิสัยของผู้ชาย กล่าวคือ หมากนั้นปกติ เขาจะใช้กินเวลาว่่างๆ พูดคุยกันในวงสนทนาของพวกผู้หญิงเสียส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าผู้ชายจะกินหมากด้วยครับ แต่ปกติ ผู้ชายไม่ค่อยมีเวลานั่งกินหมากกันแบบนั้น จะมีเรื่องนอกบ้านให้ทำมากกว่าจะมานั่งกินหมากเข้าวงสนทนากันนะครับ ทีนี้ ด้วยผู้ชายปกติจะไม่ค่อยกินหมากนี่เอง ถ้าได้ลองกินครั้งแรก ก็จะรู้สึกแย่ทีเดียว เพราะหมากมันมีรสฝาดและขม ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดค่านิยม "ลองใจคนรัก" ด้วยหมากครับ คือ แกล้งให้ผู้ชายที่มาชอบ กินหมากดู แล้วสังเกตุดูว่าเขาจะปฏิเสธไปเลย คายทิ้งแบบไม่มีเยื่อใย หรือว่าอดทนความ "ขมขื่นปนฝาด" นั้นได้ ถ้าเขายอมทนเคี้ยว ยอมกิน ทั้งๆ ที่ไม่เคยกินเลย ก็มีนัยยะว่า "เขาจะรักจริง" นั่นเอง ดังนั้น เขาจึงใช้หมากในการส่งให้คนที่รักหรือกำลังสนใจกันอยู่ แบบไม่พูดถามกันตรงๆ นะครับ อนึ่ง ถ้าผู้ชายกินหมากได้ตามปกตินี่ การลองใจแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ คือ มันจะไม่อาจบอกได้ว่าเขาจะยอมกล้ำกลืนฝืนทนกับรสชาติที่ขื่นขมและฝาดนั้นหรือไม่? เพราะถ้าเขากินหมากได้ มันก็จะไม่รู้สึกแบบนั้นไงครับ คือ อย่างไรก็กินได้ ไม่ว่าจะรักหรือไม่รักผู้หญิงคนนั้น ดังนั้น เขาจึงไม่ให้ผู้หญิงห่อหมากให้ผู้ชายกินแบบไม่คิด เขาจะให้หมากผู้ชายกินก็เฉพาะกรณีที่จะลองใจคนรัก ก็เท่านั้น ปกติไปห่อหมากส่งให้กันนี่ ไม่ไ่ด้นะครับ ทีนี้ ฝ่ายชายก็มีวิธีลองใจผู้หญิงบ้าง ด้วยการ "ไปขอหมากผู้หญิงกิน" ครับ คือ ถ้าผู้หญิงมีใจหรือเปิดใจบ้าง ก็จะห่อหมากให้กิน แต่ถ้าเขาไม่ชอบ เขาก็จะไม่ห่อหมากให้กินครับ แล้วเด็กๆ นี่จะยังไม่กินหมากนะครับ มันฝาดและขมเกินไปสำหรับเด็ก ผู้หญิงจะเริ่มหัดกินหมากเมื่อเริ่มเข้าวัยสาว นั่นคือ จุดเริ่มต้นของการเริ่มเข้าสังคมแบบผู้หญิงๆ นะครับ ส่วน "พระ" และนักบวช ก็ไม่ได้นิยมกินหมากกันทั้งหมด ผมมาตกใจและแปลกใจที่พระสมัยนี้ชอบกินหมากให้ปากแดง งงดี? ยิ่งเวลาเห็นผู้ชายนั่งเรียบร้อย จับเครื่องหมากเข้าห่อทีละนิด ห่อเรียบร้อยสวยงาม ทำของกินอันเล็กๆ ได้ ยิ่งแปลกใจใหญ่ (ปกติ ไม่ใช่วิสัยผู้ชายที่จะมานั่งหยิบจับของเล็กๆ นั่งห่อของกินอะไรแบบนั้นครับ) ถ้าเห็นผู้หญิงกินหมากเืพื่อเข้าสังคม ส่วนผู้ชายกินเหล้าเพื่อเข้าสังคม อันนั้น ผมไม่แปลกใจ


อย่างหนึ่งที่อยากให้เราๆ ท่่านๆ ทราบเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยโบราณคือ คนไทยจะไม่สื่อสารทุกเรื่องอย่างเปิดเผยนะครับ บางเรื่องจะสื่อสารโดย "อวัจจนะภาษา" ไม่ใช่การพูดตรงๆ ครับ โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกทางใจ รักใครชอบใคร อะไรแบบนั้น จะไม่พูดออกมาตรงๆ แม้แต่ผู้หญิงนี่ จะจ้องตาผู้ชายแบบไม่หลบสายตาเลย ก็ไม่ได้ครับ มันผิดปกติของยุคนั้น ผู้หญิงไทยโบราณจะต้องมี "ความเหนียมอาย" อยู่เยอะมาก ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็น "ผู้หญิงร่าน ใจกล้าหน้าด้าน" ไปเลย เวลาผู้ชายมองก็อย่ามองจ้องตอบ  ให้หลบสายตา อย่างมากถ้าจะสื่อรัก ก็ให้มองแค่หางตาแล้วหลบไปเท่านั้นเอง แล้วมันจะกลายเป็นเสน่ห์ของผู้หญิงที่ทำให้ผู้ชายยิ่งอยากเข้าใกล้ อยากติดตามครับ แต่เดี๋ยวนี้จะไม่มีแล้ว ผู้ชายจ้องตาผู้หญิงๆ ก็จ้องตาตอบ จ้องกันเขม็ง แถมบางทีผู้หญิงจ้องก่อน หรือจ้องกลับแบบไม่ลดละเลย อันนี้ เป็นของใหม่นะครับ ไม่ใช่แบบผู้หญิงไทยโบราณ ลองไปดูนะครับ คนไทยโบราณรักกันนานยั่งยืนทีเดียว ทนทานทายาท แต่คนไทยเรายุคนี้ "รักง่ายหน่ายเร็ว" ขนาดไหน ต่างกันจริงๆ ไม่มีอะไรผิดหรือถูกหรอกนะครับ เป็นความไม่เที่ยง เปลี่ยนไปตามยุคสมัยเท่านั้นเอง แต่เล่าให้กันฟังเป็นเกร็ดเล็กๆ เท่านั้นว่าอะไรที่ทำให้เราคบกันได้ไม่นาน มันเำพราะอะไร? ผู้หญิงไทยเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน? ทำไมมีรักไม่ยั่งยืน!



วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

ซามูไร VS นินจา

ซามูไร กับ นินจา นั้น เรามักเข้าใจสับสนและจำผิด คิดว่าเหมือนกัน จริงๆ แล้วไม่เหมือนกันเลยนะครับ คืออย่างนี้ "ซามูไร" ก็คือ "องครักษ์" ที่ทำหน้าที่อย่างเปิดเผย และมีหมู่คณะหลายๆ คน เยอะกว่าพวกนินจา เวลาทำงานก็ไปเยอะครับ ไปทีเป็นหมู่คณะเลย และซามูไร จะไม่ได้มีแต่กษัตริย์นะครับ ในบางประเทศ "องครักษ์" นั้น เขาไว้ใช้เรียกเฉพาะผู้ที่อารักขากษัตริย์นะครับ แต่ในประเทศญี่ปุ่น ระบบกษัตริย์จะอ่อนแอลงมาก ก่อนยุคเมจิหรืออย่างไรไม่ทราบ (หากผิดต้องขออภัย) กษัตริย์ก็เริ่มมีอำนาจเทียมๆ ผู้ที่มีอำนาจแท้จริงคือ "โชกุน" ที่มีกำลังกล้าแข็งกว่าแต่โดยฐานะและการยอมรับแล้ว ไม่อาจขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ เขาก็จะอยู่ในฐานะโชกุนเท่านั้น เหมือน "ท่านอ๋อง" ในประเทศจีนอะไรแบบนั้น แล้วเขาก็เริ่มมีองครักษ์ส่วนตัวกัน ตระกูลใครตระกูลมัน มีได้มีไป เอ็งมี ข้ามีบ้าง แข่งกันมีไป แข่งกันซ่องสุมกำลังไม่มีใครห้ามได้ เพราะกษัตริย์อ่อนแอครับ แต่เขามีวัฒนธรรมอยู่อย่างว่า "ซามูไรก็คือซามูไร" จะต้องอยู่อย่างซามูไร จะไปทำหน้าที่เป็นทหาร คือ ตั้งกองทัพรบกันเลย จากโชกุนตระกูลหนึ่งกับตระกูลหนึ่งนั้น จะไม่เหมาะสมครับ เขาต้องมีวัฒนธรรมของซามูไรคุมไว้ เรียกว่า่ "วิถีซามูไร" ไม่งั้นมั่ว ไม่งั้นได้กลายเป็นยิ่งกว่าสามก๊กแน่ครับ เพราะโชกุนมีกี่ตระกูลละครับ เยอะแยะ ครองกันคนละแคว้น หลายแคว้น แต่ละแคว้นก็มีหลายตระกูล แต่ละตระกูลที่ไม่มีระดับถึงโชกุล ก็ดันมีพรรคพวกซามูไรอีก อ้่าว ตายละ ถือดาบกันเต็มบ้าน เต็มเมือง ถ้าไม่มีการล้อมกรอบบ้าง ได้ฆ่ากันตายไม่เว้นแต่ละวันแน่ เขาจึงต้องมีการควบคุมที่เคร่งครัดมากครับ เหมือนการมีปืนในครอบครองนั่นแหละ ถ้าไม่ควบคุมก็ได้นองเลือดสิครับ


ทีนี้ มาดูฝั่ง "นินจา" บ้าง เขาก็คือ "นักฆ่า" นั่นเอง ซึ่งจะกระทำการโดยลับๆ เพราะว่ามีนักฆ่านี่แหละ ก็เลยต้องมีองครักษ์หรือซามูไรมาคอยคุ้มกันโชกุนไงละครับ นินจาจะมีวิถีที่แตกต่างจากซามูไรมาก แบบตรงข้ามกันเลย ในขณะที่ซามูไรเปิดเผย มีตำแหน่ง มีเงินเดือน และมีพรรคพวกมาก แต่นินจาจะไม่มีเงินเดือน ไม่มีตำแหน่ง เปิดเผยตัวตนไม่ได้และเวลาทำกิจ "มักทำคนเดียว" น้อยนักที่จะประสานงานเป็นทีมครับ เพราะมันคล่องตัวกว่า และนินจาแต่ละคน ก็มีวิธีฆ่าคนแบบเฉพาะที่ต่างกันไป มันเลยทำงานเป็นทีมได้ยากหน่อย แต่ก็มีเป็นทีมเหมือนกันครับ เช่น งานฆ่าคนสำคัญแค่ ๑ คน แต่ต้องผ่านด่านซามูไรเป็นร้อยคน นินจาบางคนต้องแปลงกาย ปลอมตัวเป็นผู้หญิงเข้าไปครับ สมัยนั้นก็เป็น "เกอิชา" ไงครับ เกอิชานี่เดิมเป็นผู้ชายครับ ผู้หญิงไม่มีใครเขาทำงานนี้กัน ต่อมา พอยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้หญิงถึงกล้ามาทำงานเป็นเกอิชา รู้สึกว่าจะหลังปฏิรูปเมจิมังครับ ถึงเริ่มมีเกอิชาผู้หญิง ก่อนนั้นก็ผู้ชายหมดเลย และก็มี "นินจา" ปลอมตัวเป็นเกอิชาเยอะมาก เพื่อเข้าถึงตัวคนสำคัญๆ ให้ได้ไงครับ นั่นละ แล้วก็หาวิธีฆ่าแบบเงียบๆ ลับๆ ไม่มีใครรู้หรอกครับว่านินจาฆ่าคนอย่างไร รู้อีกทีก็ตายแล้ว แถมงงว่า ตายได้อย่างไร เป็นอะไรตายวะ? มันบอกไม่ได้หรอกครับ บอกไปก็เป็นภัยแก่นินจา เขาทำงานลับๆ วิชาของเขาก็ลับ ไม่บอกกันง่ายๆ ที่แปลกคือ เขาไม่ค่อยใช้อาวุธปกติฆ่ากันหรอกครับ ส่วนอาวุธลับ พวกอาวุธซัดนั้น เขามีไว้ก็เพื่อฉุกเฉิน เวลาความแตก โดนจับได้ แล้วต้องเอาตัวรอด เขาจึงจะสู้เพื่อเปิดทางหนีให้ตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ใช้พวกอาวุธซัดนั้น ฆ่าศัตรูเป้าหมายของเขาจริงๆ หรอก เพราะคนจะตายนี่ "มันตายได้หลายวิธี" แหละครับ เรียกว่า ที่อยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกันเนี่ย ไม่มีใครรู้หรอกว่า "ใครเป็นนินจา" เพราะพวกนินจาก็อยู่ปะปนกับคนเหมือนคนปกติ นั่นแหละ นั่นคือ วิธีการซ่อนตัวที่ดีที่สุด ยิ่งกว่านั้น "ซามูไร" บางคนก็เป็นนินจาด้วย (ลอบฆ่าคนอื่นลับหลังด้วย) และแม้แต่โชกุนบางคน ก็เป็นนินจา ก็มี! ส่วนนินจาที่ถูกจับได้แล้วก็ต้องตาย ไม่ก็ไปอยู่ป่าหาที่หลบซ่อนตัว เพราะเขารู้แล้ว มีหมายจับแล้ว อยู่ร่วมกับสังคมปกติไม่ได้ครับ ซึ่งก็มีเหมือนจะยุคหนึ่ง ที่เขากวาดล้างนินจากัน ก็จัดการพวกที่หนีไปหลบซ่อนตัวในป่า นั่นแหละ แต่พวกที่ยังไม่ถูกเปิดเผยตัว ยังอยู่ร่วมกับสังคมคนปกติ "ยังมีอยู่มากมายเลยครับ" น่ากลัวไหมละ!



วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

ผู้หญิงถูกข่มขืน ก็มีความสุขจริงไหม?

เรื่องสืบเนื่องมาจากข่าวการข่มขืนในประเทศอินเดีย ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งแม้กระทั่งในรถโดยสารและแม้ว่าจะมีผู้โดยสารอยู่มากก็ตาม จึงทำให้เกิดความสงสัยขึ้นว่า ผู้ชายคิดอย่างไรกับการข่มขืนผู้หญิง และผู้หญิงที่ถูกข่มขืนมีความสุขอย่างที่ผู้ชายหลงเชื่อกันหรือไม่? เราลองมาล้วงลึกกันดูนะครับ


อย่างแรก ควรเข้าใจเรื่องสรีระของผู้ชายและผู้หญิงก่อนว่าไม่เหมือนกันแน่นอน ในการมีเพศสัมพันธ์ เพราะความสุขที่ผู้ชายรู้สึุกนั้น มาจากการล่วงล้ำภายในร่างกายของผู้อื่น และร่างกายของผู้ชาย ไม่ได้ถูกล่วงล้ำด้วยเลย ดังนั้น แม้ผู้ชายถูกข่มขืนบ้าง ผู้ชายอาจไม่ได้รู้สึกแย่อะไรนัก เพราะอย่างไรเสียก็ไม่ถูกล่วงล้ำภายใน (ยกเว้นกรณี ถูกผู้ชายด้วยกันข่มขืนและมีการล่วงล้ำภายในร่างกาย) ส่วนผู้หญิงนั้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์ แน่นอนว่าผู้หญิงจะถูกล่วงล้ำภายในร่างกายอยู่แล้ว ผมอยากให้คุณเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงง่ายๆ อย่างนี้ครับ เวลาคุณชอบกินอะไร คุณกินแล้วอร่อยก็มีความสุข ใช่ไหม? อ่ะ นั่นอุปมาเหมือนความสุขที่ผู้หญิงเต็มใจมีเพศสัมพันธ์ แต่ถ้าคุณไม่ต้องการละ สมมุติ คุณถูกล้วงคอให้อาเจียนเอาสิ่งไม่ดีออกมา คุณจะรู้สึุกแย่แค่ไหน? เมื่อคุณไม่ต้องการให้ "สิ่งแปลกปลอมใดๆ ล่วงล้ำไปภายในร่างกาย" ยิ่งกว่านั้น ถ้าคุณกินปลาแล้วก้างติดคอละ แม้คุณจะเอาก้างออกได้แล้ว คุณก็ยังวิตกกังวลยังรู้สึกไม่ดีต่อไปอีกยาวนานเลย นั่นแหละ ที่ผมจะอธิบายให้คุณเข้าใจง่ายๆ ว่าผู้หญิงไม่ไ่ด้มีความสุขที่ถูกข่มขืน การถูกล่วงล้ำร่างกายเป็นทุกข์มากกว่าสุข เป็นธรรมชาติของร่างกายสิ่งมีชีวิตที่จะมีการป้องกันตัวเองจากการถูกคุมคามจากสิ่งแปลกปลอมภายนอก เช่น เชื้อโรคและสิ่งใดๆ ก็ตาม และร่างกายจะมีการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ ด้วย เช่น การไอหรือจาม เพื่อขับเอาสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ ออกไป หรือบางรายอาจมีอาการแพ้อย่างรุนแรง เกิดขึ้นได้ นั่นแสดงถึงภาวะของร่างกายที่ไม่ต้องการให้สิ่งแปลกปลอมเข้ามารุกล้ำภายในร่างกาย ยกเว้นว่า ร่างกายจะได้รับการเรียนรู้มาว่าสิ่งนั้นดีต่อร่างกาย เช่น การกินอาหารที่ครั้งแรกเราอาจไม่ได้รู้สึกชอบมันนัก เช่น เด็กที่เริ่มหัดกินผัก แต่พอมีความรู้สึกที่ดีต่อมันแล้ว ก็จะสามารถเปิดรับมันเข้าไปได้อย่างมีความสุข ดังนั้น หากผู้หญิงไม่เต็มใจที่จะมีเพศสัมพันธ์ เช่น ยังไม่พร้อมที่จะมีเพศสัมพันธ์แม้ว่าเขาจะเป็นสามีของตนเองที่แต่งงานอย่างถูกต้องก็ตาม แต่ถ้าเขาไม่พร้อม  เขาก็จะรู้สึุกแย่ ที่ถูกกระทำ ถูกล่วงละเมิด ถูกล่วงล้ำร่างกายเช่นนั้น ไม่เพียงเท่านั้น ความรู้สึกที่แย่เหล่านั้น ยังคงตามหลอกหลอนผู้หญิงที่ถูกข่มขืนไปอีกนาน เหมือนเวลาที่คุณแพ้หรือไม่ชอบอะไร แล้วกลับถูกบังคับให้รับสิ่งนั้นๆ เข้าสู่ร่างกายๆ ของคุณอาจจะต่อต้าน ด้วยการสร้างสารแอนติบอดี้ เพื่อต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ ถ้ามากเกินไป ก็ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ ถึงขั้นแพ้รุนแรงได้ คุณลองคิดดูสิว่า คนที่แพ้ต่อสิ่งแปลกปลอม หรือร่างกายไม่ยอมรับสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ ยังแย่แค่ไหน? การถูกข่มขืนก็จะรู้สึกแย่ไม่ต่างกัน แต่ในกรณีนี้ ผู้หญิงจะเครียดและวิตกกังวลมากขึ้นไปอีก เพราะชีวิตจริงของเขา ยังต้องเผชิญหน้ากับอะไรอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการครหานินทา, การถูกปฏิเสธจากสังคมและคนรัก, การไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม จนกระทั่งถึงเรื่องปัญหาการตั้งครรภ์และการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ นั่นคือ สิ่งที่ผู้หญิงต้องแบกรับและคิดมาก หลังจากถูกข่มขืนตามมา ดังนั้น ผู้หญิงจึงไม่ได้มีความสุขเลยเมื่อถูกข่มขืน แม้ว่าจะเป็นการถูกสามีที่แต่งงานถูกต้องตามกฏหมาย ข่มขืน ก็ตาม และไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม


หวังว่าบทความเรื่อง "ผู้หญิงถูกข่มขืน ก็มีความสุขจริงไหม?" จะช่วยไขความจริงให้กระจ่าง ล้วงความลับที่ผู้ชายไม่เข้าใจ และผู้หญิงก็ไม่อาจอธิบายได้ ให้ผู้ชายได้เข้าใจผู้หญิงกันบ้างนะครับ จบ!



วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

แฉกลโกงบริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต มันเล่นกันอย่างนี้!

ก่อนอื่น เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาฟ้องร้องกัน ผมจะไม่ใส่ชื่อบริษัทนั้นๆ นะครับ เรื่องนี้ผมเจอกับตัว กล่าวคือ ผมสมัครอินเตอร์เน็ต ตามโปรโมชั่นพิเศษ ซึ่งจะต่ออายุให้อัตโนมัติเมื่อเติมเงิน แต่้ถ้าเราเติมเงินช้าจนเลยเวลา่ต่ออายุแล้ว เราจะไม่ได้โปรโมชั้นนี้ เราจะถูกคิดในอัตราอื่นที่ไม่มีโปรโมชั่น "ซึ่งแพงมาก" จากเคยใช้ได้ ๑ เดือน จะเหลือแค่ไม่ถึง ๑ สัปดาห์ และแผนการของเขาคือ หลอกล่อให้เราไม่ได้โปรฯ นี้


ทีนี้ บริษัทนี้ มีวิธีโกงอย่างนี้ครับ อันดับแรก เขาส่ง SMS มาบอกเราว่า โปรฯ เราจะหมดอายุ วันนี้ 14 ม.ค. เวลา 24 น. แต่แล้ว เขากลับมาตัดเน็ตเรา เวลาประมาณ ๑๙ น. กว่าๆ (ประมาณเอาครับ) ทำให้เงินของเราที่เหลืออยู่ในมือถือ ถูกหักอัตโนมัติในอัตราที่ไม่ใช่โปรโมชั่นอีกด้วย (ไหนบอกว่าเน็ตเราจะหมดตอน ๒๔ น. ไง? แล้วทำไมมาตัดเราตอน ๑๙ น.) แล้วจู่ๆ มันก็โผล่หน้าจอมาให้เรารู้ว่าเราจะต้องเติมเงินผ่านระบบของมัน ซึ่งถ้าผมเติมเข้าไป โดยไม่รู้ว่า "เวลาในการใช้โปรฯ เดิม หมดแล้ว" ผมก็จะไม่ได้โปรฯ เดิม จะถูกคิดในอัตราอื่น ซึ่งแพงมาก ดังกล่าว และบริษัทก็วางแผนให้มันเป็นเช่นนั้น เมื่อเขาตัดเน็ตเราก่อนเวลาที่แจ้งจริง ก่อนเวลาที่หมดจริง (ครั้งก่อนผมเติมเงินเวลาประมาณ ๒๔ น. ของวันที่ประมาณ ๑๕ ธ.ค. ครับ เน็ตจึงต้องหมดวันนี้ เวลา ๒๔ น. แต่เขาตัดก่อนเวลาจริง โกงไหมละ?) คือ ถ้าผมไม่รู้แล้วเติมเงินลงไป แล้วเล่นเน็ตต่อเลย มันก็จะคิดให้เราในอัตราที่แพงมาก ไม่ใช่อัตราโปรโมชั่นที่เราเคยใช้ เพราะมันตัดเราก่อน (มีเงื่อนไขว่าถ้าเติมเงินก่อนหมดเวลา จะต่ออายุโปรฯ ให้อัตโนมัติ ระบบแจ้งมาว่าเรามีเวลาถึง ๒๔ น. แต่เขากลับมาตัดเน็ตเราเวลา ๑๙ น. แล้วโผล่หน้าจอ ให้เราเติมเงิน ทางคอมฯ ซึ่งการเติมเงินทางคอมฯ นี้ เสี่ยงมากที่เราอาจไม่รู้ว่า "เราไม่ได้รับโปรโมชั่นเดิม ตามโฆษณาที่ว่าจะต่ออายุโปรโมชั่นให้เราอัตโนมัติ) ซึ่งคราวก่อน ผมก็เคยโดนมาแล้ว โทรไปคุยกับ call center เขาก็พยายามอธิบาย ทำให้เรารู้ว่า "เราพลาดท่าเขาเอง" คือ เราไม่ดูให้ละเอียดว่า "โปรโมชั่นนี้ ต้องเติมเงินก่อนหมดอายุ" ไม่เช่นนั้น จะไม่ได้โปรฯ นี้ จะถูกคิดอัตราอื่นซึ่งแพงมาก ผมถือว่าครั้งก่อน ผมพลาดท่าไป ไม่ละเอียดเอง คราวนี้ มันชัดเจนเลยครับ "มันโกงเราเห็นๆ" และหลอกให้เราเล่นเน็ต โดยไม่ทันรู้ว่าเราได้โปรโมชั่นเิดิมหรือไม่? โดยการตัดเน็ตเราก่อนเวลาจริง แล้วหลอกให้เราเติมเงินทางคอมฯ แทนมือถือ


เอาละ ผมเอามาเล่าเป็นอุทาหรณ์ให้ฟังเท่านั้น ไม่ต้องการจะเอาเรื่องอะไร เพราะตอนนี้ เขามีองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคเรื่องมือถือ, เน็ต ที่ค่อนข้างเข้มแข็งทีเดียว ผมมีหลักฐานหมด ในมือถือผมมี SMS ที่บอกว่าเวลาไหนหมดเน็ต และเวลาไหนที่เขาตัดเน็ตผมจริงๆ (ซึ่งไม่ตรงกัน เขาตัดเราก่อนเวลาจริง) เตือนให้ท่านทั้งหลายระวัง เวลาเติมเงินแต่ละครั้ง ก็ตรวจเช็คดูให้ละเอียดว่าได้โปรโมชั่นนั้นจริงหรือไม่ นะครับ เพราะเขามีวิธีทำให้เรา "พลาด" หลายวิธี แต่ครั้งนี้ "มันโกงกันครับ" ถ้าผมโทรไปคุยกับ call center ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเขาเป็นแค่พนักงานเอาใจเราเท่านั้นเอง อย่างมาก ก็ขอโทษที่ตัดเน็ตเราผิดเวลา อ้อ ระบบผิดพลาดค่ะ ขออภัย ที่จริง มันแกล้งผิดพลาด เพื่อให้เราเติมเงินผิด นั่นเอง




วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

อุดมการณ์คู่ขนาน ที่กำลังจะพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่แผ่นดินจีน?

ก่อนอื่นเพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจง่ายที่สุดผมจะสรุปให้เข้าใจง่ายๆ สั้นๆ นะครับ (หากข้อมูลไม่ดีนักในรายละเอียดต้องขออภัย เพราะมันจะซับซ้อนเกินจนผู้อ่านบางส่วนไม่เข้าใจได้) เรื่อง ประเทศจีนหลังสิ้นยุคระบอบกษัตริย์ครับ สรุปง่ายๆ ก็คือ มีขั้วอำนาจ ๒ สาย ๑. สายเหมาเจ๋อตุง เป็นเผด็จการหัวรุนแรงเต็มตัว  ๒. สายซุนยัดเซ็น เป็นหัวก้่าวหน้า นิยมประชาธิปไตย เรื่องเริ่มจาก ซุนฯ เป็นผู้ปฏิวัติราชวงศ์ชิงลงไปได้ ด้วยการขอความร่วมมือจาก "หยวนซือไข่" ทำให้ต่อมา ซุนฯ ยอมอ่อนข้อแล้วยกอำนาจให้หยวนซือไข่ โดยตนปรับสถานะลงมาเป็น "ที่ปรึกษา" แทน ทว่า หยวนซือไข่ ไม่ได้เชื่อฟังคำของซุนฯ เลย มิหนำซ้ำก็เล่นงานซุนฯ ด้วย จนซุนฯ อยู่ในจีนไม่ได้ต้องอพยพไปอาศัยกำลังต่างชาติช่วย แล้วกลับมาพยายามล้มหยวนซือไข่ต่อ ทว่า สุดท้าย หยวนซือไข่ก็ป่วยตายไปเอง หมดยุคของ "ทรราช" ก็เข้าสู่ยุค "แม่ทัพ" คือ ๑. เจียงไคเช็ค ใช้กองกำลังทหารเืพื่อรวบอำนาจ ๒. เหมาเจ๋อตุง ใช้กำลังประชาชน เข้าห้ำหั่นกัน ซึ่งซุนฯ ไม่เห็นด้วยแน่นอน ทว่า เขาก็ตายไปแล้ว เหลือแต่ภรรยาของเขา "ซ่งชิงหลิง" ที่พยายามสืบสานปณิธานของซุนฯ ต่อ ขณะนั้น ซ่งชิงหลิง มีอำนาจในจีนพอควร แล้วเลือกเข้าข้างพรรคคอมมิวนิสต์แทน เพราะเห็นว่าจะนำพาประเทศรอดจากการยึดครองของญี่ปุ่นและพวกฝรั่งได้ ทว่า ภรรยาของเหมาฯ ก็นำพากลุ่มเรดการ์ดไปสู่การปฏิวัติวัฒนธรรมและทำให้คนจีนต้องตายจำนวนมาก พร้อมกับการสูญเสียวัฒนธรรมโบราณไปมากมาย ในยุคของเหมาเจ๋อตุงนี่เอง จีนจึงแตกแยกออกมาเป็นสองสายคือ ๑. สาย เหมาเจ๋อตุง (เผด็จการ) ๒. สายเจียงไคเช็ค (ประชาธิปไตย) ภายหลังเจียงไคเช็คต้องหนีไปอยู่ไต้หวัน และได้ก่อตั้งประเทศขึ้นเป็นประชาธิปไตย สรุปง่ายๆ ตรงนี้คือ ๑. ซุนยัดเซ็นคือ ผู้นำการปฏิวัติล้มระบอบกษัตริย์สำเร็จ ๒. เหมาเจ๋อตุงคือ ผู้นำในการก่อตั้งประเทศจีนเป็นคอมมิวนิสต์ ๓. เจียงไคเช็ค คือ ผู้นำในการก่อตั้งไต้หวันเป็นประชาธิปไตยได้สำเร็จ เรียกว่่า ทั้งสามคนนี้่ ก็สำเร็จไปคนละอย่างตามปณิธานของตนเองบางส่วน แม้ผู้ปฏิวัติ (ซุนยัดเซ็น) จะไม่ใช่ผู้ที่ได้ครอบครองอำนาจ ส่วนผู้ที่ได้ก่อตั้งประเทศจีน (เหมาเจ๋อตุง) กลับไม่อาจปกครองให้สงบร่มเย็นได้ และสุดท้ายผู้ก่อตั้งประชาธิปไตย (เจียงไคเช็ค) ไม่ได้ก่อตั้งในบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง แต่ก็นับว่า "ทั้งสาม" ต่างก็ประสบความสำเร็จไปบางส่วน


จากการเปลี่ยนแปลงที่ยาวนานนั้น ส่งผลมาถึงปัจจุบัน ทำให้ประเทศจีนแท้แล้วมี "สองสายเลือด" คือ คนที่เป็นสายของเหมาเจ๋อตุง ซึ่งมีอำนาจมานานมากแล้ว และมักทำความผิดบ้าง, คอรัปชั้นบ้าง, เอาผลประโยชน์เข้าแต่ตระกูล (แซ่) ตัวเองบ้าง ฯลฯ และคนที่เป็นสายของซุนยัดเซ็น ปัจจุบัน อำนาจของสายเหมาเจ๋อตุงค่อยๆ ลดลงอย่างมาก และคาดว่าอนาคตจะลดลงมากขึ้นไปอีก หลังจาก "สีเจี้ยนผิง" ซึ่งเป็นลูกของ "สีจงชุน" (สีจงชุน ถูกเหมาเจ๋อตุงลงโทษให้ไปเป็นกรรมกร เพียงเพราะค้านไม่ให้ปฏิวัติวัฒนธรรม อันจะส่งผลให้คนตายมากและสูญสิ้นวัฒนธรรมโบราณไป ด้วยการอนุมัติให้มีการวิจารณ์ท่านเหมาฯ ในทางไม่ดี) ได้เป็นประธานาธิบดีและเรขานุการพรรคคอมมิวนิต์จีน (ปกติ สองตำแหน่งนี้ เดิมแยกเป็นคนละคนกัน คานอำนาจกันเอง แต่ปัจจุบัน ถูกรวบอำนาจเรียบร้อย) ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ "เปาปุ้นจิ้น ๒,๐๑๒" นั่นเอง กล่าวคือ จับข้าราชการ, นักการเมือง ฯลฯ ที่โกงกิน, คอรัปชั่น, ทำความผิด ฯลฯ ในยุคก่อนหน้านี้นั้น ไปลงโทษ ซึ่งก่อนหน้านี้ อิทธิพลของเหมาเจ๋อตุงยังมากอยู่ และทำให้ประเทศถูกผูกขาดอำนาจอยู่แต่ในตระกูลใครตระกูลมัน ระบบไม่สนับสนุนคนมีความสามารถอย่างแท้จริง แต่ถ้าได้ปฏิรูปเช่นนี้แล้ว ประเทศจีนคงต้องก้าวสู่ "ยุคที่สาม" หลังสิ้นระบอบกษัตริย์เ็ป็นแน่แท้ ที่น่าสนใจคือ จีนเริ่มมีแนวคิดเปิดกว้าง ทั้งยังมีการอนุญาติให้เลือกตั้งผู้นำระดับท้องถิ่นได้เองด้วย นั่นแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทางความคิด "สายซุนยัดเซ็น" มิได้สิ้นสุดลงไป แต่ได้ดำรงอยู่อย่างมั่นคงในหัวใจของกลุ่มคนที่รักชาติอย่างแท้จริงและกำลังกลืนกันไปมาเพื่อก้าวไปสู่ "จุดสมดุลที่ลงตัว" ของสองสายเลือดที่สำคัญนี้ ดังนั้น "การปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศจีนไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย" จึงไม่มีความจำเ็ป็นสำหรับจีนแต่อย่างใด (แต่อาจจำเป็นสำหรับอเมริกาที่จะยุยงให้คนจีนตีกันเอง) เพราะจีนเองก็กำลังก้าวไปสู่จุดร่วมของทั้งสองระบบอยู่แล้วในตัวที่น่าสนใจที่สุดคือ "สีจิ้นผิง" ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิดีได้ทั้งๆ ที่เริ่มต้น  จากการถูกปฏิเสธมาตลอด ทั้งยังเป็นลูกของคนที่ถูกลงโทษอย่างไม่เป็นธรรมโดยเหมาเจ๋อตุงอีกด้วย นั้น ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้เลยถ้าขาด "Back up" ที่ดี นั่นสินะ? ใครกันที่วางแผนเดิมเกมนี้ เลือกดันเอา "สีจิ้นผิง" มาจนถึงจุดนี้ได้? ท่ามกลางอิทธิพลเก่าสายเหมาฯ ที่มากมาย ขวางหน้าอยู่เต็มไปหมดนั้น?


วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

ทำไมฝรั่งคิดว่า "ปราสาทขอมเป็นของกัมพูชา" ขอมเป็นคนไทยหรือกัมพูชา?

เฉลยเลยละกัน แท้จริงแล้ว "ขอมคือคนไทยกลุ่มหนึ่ง" เดิมมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ในประ้เทศกัมพูชาในปัจจุบัน ซึ่งได้แผ่อิทธิพลเข้ามาครอบครองดินแดนแถวภาคเหนือตอนล่าง (ยุคก่อนสุโขทัย) ด้วย แต่ไม่อาจแผ่อิทธิพลไปได้ถึงดินแดนล้านนา อาจเนื่องด้วยข้อจำกัดทางภูมิประเทศในสมัยนั้น ขอมจึงนับได้ว่าเป็นทั้งคนไทยและคนกัมพูชาในปัจจุบัน แต่คนมากมาย หลงเชื่อว่า "ขอมคือเขมร ก็คือ กัมพูชา ไม่ใช่คนไทย" ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดมาก และทำให้ฝรั่งคิดว่า "ปราสาทขอม" ก็ต้องเป็นของเขมรหรือกัมพูชาด้วยเช่นกัน ซึ่ง "ไม่จริง" นะครับ เรื่องเป็นมาอย่างนี้ในยุคสมัยก่อนสุโขทัยนั้น ขอมคือ "เชื้อชาติหนึ่งที่ครองดินแดนทั้งส่วนกัมพูชาและอีสานของไทย แล้วแผ่อิทธิพลเข้ามาในดินแดนแถบสุโขทัย สมัยนั้น ขอบเขตประเทศ, ดินแดนไม่เป็นเช่นนี้ ดังนั้น ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เหมือนประเทศไทยเราปัจจุบันนี้ มีขอบเขตดินแดน "ครอบคลุมหลายๆ แคว้นในอดีตนั้น" เช่น อาณาจักรล้านนา ก็อยู่ทางภาคเหนือ ใช่ไหมละครับ, อาณาจักรขอม ก็อยู่แถบอีสาน, ยังมีอาณาจักรสุวรรณภูมิ ที่อยู่ภาคกลาง และอาณาจักรศรีวิชัยที่อยู่ทางภาคใต้ด้วย ฯลฯ เหมือนเป็นคนละประเทศนะครับ ยังไม่มีการรวมแผ่นดินเป็นรูปประเทศไทยอย่างทุกวันนี้ เหมือนคนละประเทศกันมาก่อน พอถึงยุคอาณาจักรสุโขทัย ก็มีการแผ่ขยายอำนาจจนครอบคลุมประเทศไทยเราที่มีอยู่ทุกวันนี้ทั้งหมดทั้งยังรวมไปถึงบางส่วนของลาว,  พม่า, กัมพูชา และมาเลเซียด้วยนะครับ ยุคนั้นอาณาจักรสุโขทัยมีอิทธิพลกว้างใหญ่ไพศาลมาก ที่เรานับเอาอาณาจักรสุโขทัยเป็นอาณาจักรแรกของประวัติศาสตร์เราก็คือ "นับจากขอบเขตที่ครอบคลุมประเทศของเราทั้งหมดในปัจจุบันนี้" ก็เท่่านั้นเอง ที่จริงแล้ว ก่อนหน้านั้น มันก็ไทยเหมือนกันแหละครับ แต่เป็นอาณาจักรอื่นๆ ดังที่ได้ยกตัวอย่างมา เหมือนประเทศจีน เขาก็มีัประวัติศาสตร์หลายยุค คำว่า "ชาวฮั่น" ก็อุปมาคล้ายคำว่า "ชายไทย" นั่นแหละ แต่คนจีนก็ไม่ได้มีแต่ชาวฮั่นนะครับ ไม่ว่าจะเป็นมองโกล, แมนจูเลีย ฯลฯ ก็เป็นคนจีนนะครับ ในอดีต ประเทศจีนก็มีหลายอาณาจักร เป็นยุคสามก๊กบ้าง, ยุคเลียดก๊กบ้าง ไทยเราก็มีแบบนั้นเหมือนกันครับ บางยุคก็ไม่ได้รวมเป็นประเทศเดียวเหมือนตอนนี้่ มีหลายอาณาจักรแต่ละอาณาจักรอาจขึ้นหรือไม่ขึ้นแก่กัน ก็ได้ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ต่อมา หลังยุค ร. ๕ ได้มีการเสียดินแดนให้ต่างชาติไปโดยไม่ทันได้รบ เพื่อเอาตัวรอด ทำให้บางส่วนของดินแดนไทยในยุคก่อนนั้น กลายเป็นของชาติอื่นไป เช่น บางส่วนกลายเป็นของพม่า, ลาว, กัมพชา, มาเลเซีย และสิงคโปร์ก็มีด้วยครับ


อนึ่ง ในสมัยโบราณ จะอยู่กันเป็นอาณาจักร ซึ่งในหนึ่งอาณาจักรอาจมีหลายเมือง เมืองหลวงก็คือเมืองที่กษัตริย์จะอยู่ปกครอง แต่เมืองอื่นๆ กษัตริย์อาจส่งลูกหลานไปปกครอง หรือให้ "ขุนนาง" ไปปกครองก็ได้ ซึ่ง "พ่อขุนผาเมือง" และ "พ่อขุนบางกลางหาว" นั้น ทั้งสอง "ไม่มีเชื้อสายกษัตริย์มาก่อน" เป็นพวกชนชั้นขุนนางที่ได้รับความไว้วางใจ ให้ไปปกครองเมืองราด และเมืองบางยาง เท่านั้น เรื่องนี้ สืบสาวได้จากการเทียบเคียงประวัติศาสตร์ "ล้านนา" กล่าวคือ ที่ล้านนามีกษัึตริย์ปกครองอยู่ ท่านจะเรียกขานกันว่า "พระยา" เช่น พระยาเม็งราย จะไม่เรียกขานกันว่า "พ่อขุนเม็งราย" แต่เพราะความที่คนติดปาก เคยเรียกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ว่า "พ่อขุน" ครั้งที่ยังเป็นขุนนาง ก็เลยเรียกติดปากกันเช่นนั้น คำเรียกนี้ ก็หมดสิ้นไปในยุค "พระธรรมราชาลิไท" ยุคนั้นเริ่มเรียกกันเต็มปากว่า "พระยาลิไท" แล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทั้งพ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนศรีฯ นั้น ไม่ใช่เชื้อสายกษัตริย์เลย แต่ "จ้องรอโอกาสที่เจ้าชัยวรมันที่เจ็ด" ได้สวรรคตลง พ่อขุนผาเมืองได้ "นางสิงขรเทวี" ธิดาของเจ้าชัยวรมันเ็ป็นภรรยา ได้อาศัยความรักที่นางมีให้ จึงขโมยเอาตราคุมทัพมาได้ (ภายหลัง คำว่า "สยาม" ก็มาจากภาษาขอมว่า "เสียม" แปลว่า ขโมย) เมื่อได้โอกาสแล้ว จึงได้ยกทัพไปยึดเมืองสุโขทัยโดยง่าย แล้วตั้งเมืองสุโขทัยขึ้นเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรใหม่ เรื่องที่มีคนไปเขียนประวัติศาสตร์ว่าพ่อขุนผาเมืองรบชนะเจ้าชัยวรมันที่เจ็ดนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเจ้าชัยวรมันที่เจ็ดเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มาก หากชนะำได้ด้วยการทหารแล้ว ทั่วทั้งแผ่นดินต้องยอมสยบ และไม่มีทางที่ศึกนั้นจะไม่ถูกจารึก เพราะชนะเจ้าชัยวรมันที่เจ็ดได้นั้น ย่อมเหนือกว่าชนะศึก "ขุนสามชน" (ของพ่อขุนรามคำแหง ครั้งนั้น ท่านดังมาก จนคนทั่วหล้าไม่กล้าหือเลย) เรียกว่า การก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยนั้น "ไม่ได้ชนะด้วยกำลังทหาร" แต่เป็นการใช้่ "อุบายล้วนๆ" เรียกว่าชนะโดยไม่ต้องรบ นั่นแหละ อาศัยจังหวะที่เจ้าชัยวรมันที่เจ็ดผู้ยิ่งใหญ่สิ้นลง ขอมก็อ่อนแอและอาจจะแย่งอำนาจกันเอง บวกกับเมืองสุโขทัยในยามนั้น "ไกลปืนเที่ยง" คือ อยู่ไกลจากศูนย์กลางการปกครองของขอม


ดังนั้น ถ้าฝรั่งจะคิดว่า "ขอมคือ เขมร คือ กัมพูชา" ก็ต้องเข้าใจใหม่ เพราะเป็นความเข้าใจที่ผิดนะครับ จริงอยู่ว่าสมัยสุโขทัยนั้น เราต้องมองขอมว่าเป็น "อริราชศัตรูไว้ก่อน" เพราะเราไปยึดอำนาจจากขอมมา เราจะพูดไ้ด้อย่างไรละครับว่า "ขอมเป็นคนไทยนะ" มันไม่ได้ใช่ไหม? ก็ต้องพูดว่า "ขอมเป็นอริราชศัตรู" เป็นต่างชาติมารุกรานเรา แท้แล้วมันก็จริงแต่ในยุคนั้นแหละ แต่มันไม่จริงหลังจากนั้น เพราะหลังจากนั้น อาณาจักรสุโขทัยก็แผ่ขยายอำนาจและเอา "พวกขอม" นี่หละ มาเป็นส่วนหนึ่งของคนสุโขทัยด้วย อยู่ใต้อำนาจการปกครองของอาณาจักรสุโขทัย ดังนั้น "ขอมก็คือคนไทยและคนกัมพูชาปัจจุบันครับ" ไม่ใช่มีแต่คนกัมพูชาเท่านั้นที่มีเืชื้อสายขอม ดังนั้น การที่จะเชื่อว่าปราสาทขอม ต้องเป็นของกัมพูชาทั้งหมด นั้น ไม่ถูกนะครับ ส่วนใดที่อยู่ในกัมพูชา แน่นอนว่าคือของกัมพูชา แต่ส่วนใดที่อยู่ในดินแดนไทย ก็ต้องเป็นของไทยครับ เพราะ "ชาวขอมในอดีต ก็คือ คนไทยและกัมพูชา" นะครับ อนึ่ง คนไทยนี้ ไม่ได้มีแต่ "ชาวไต" (ไท) เท่านั้น ชาวไท ก็คือ คนอพยพมาทีหลัง เป็นชนกลุ่มน้อยด้วยซ้ำ แต่มีอิทธิพลมาก เรืองอำนาจในยุคสุโขทัยเพราะช่วยในการก่อตั้งอาณาจักรนะครับ จริงๆ แล้วคนไทย ประกอบด้วยชนหลายเชื้อชาติมาก มารวมกัน นับเป็นอาณาจักรที่ครอบคลุมทั้งประเทศไทยในปัจจุบัน ก็เริ่มนับจากยุคสุโขทัยครับ แต่ก่อนหน้านั้น ก็คือ "ยุคเลียดก๊ก" บ้าง, "สามก๊ก" บ้าง แบบจีนแหละครับ เรามีประวัติศาสตร์ในยุคนั้นเหมือนกัน แต่เพราะเราไม่ได้แสดงให้ชัดเจน ใครๆ เขาก็นึกว่าเรามีประวัติศาสตร์เริ่มนับมาได้แค่ในยุคสุโขทัยเท่านั้น ซึ่งไม่จริงครับ อย่าง "ชาวล้านนา" ก็เป็นชนพื้นเมืองเก่าแก่มากๆ กว่าสุโขทัยอีกครับ



วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

เบื้องหลังนโยบายราคาข้าว ที่ทำเอาทั้งตลาดปั่นป่วน???

เอาละ ก่อนผมจะแฉเรื่องนโยบายราคาข้าวที่เป็นปัญหาวุ่นวายอยู่ในตอนนี้นั้น ขออนุญาติแปลงร่างเป็นกระเทยก่อนเพื่อความหนุกหนานไม่เครียดเกินไป คุยแบบผู้ชายมากๆ เดี๋ยวฆ่ากันตาย กลายเป็นฉนวนสงครามได้ครับ เอาละฮ่ะ ในที่สุดหนูก็เป็นกระเทยแล้ว ขอแฉเลยก็แล้วกันนะฮะว่าไอ้นโยบายนี้เนี่ย มันมีที่มาจากไหน?


มันก้อปปี้มาจาก "นโยบายฮั้วะราคาตลาดของคนจีนคร่ะ" จะเล่าให้สั้นๆ ก็คือ ราคาสินค้าในตลาดนี่ เมื่อก่อนมันเป็นไปตามกลไกลราคา "ตามธรรมชาติของการซื้อขายปกติ" แต่หลังๆ มันไม่ใช่แล้วคร่ะ หลายปีมานี้ หลายตลาดปั่นป่วน โดยเริ่มจากตลาดหุ้น, มาตลาดเงิน, ตลาดทอง, ตลาดสินค้าเกษตร ฯลฯ เำพราะอะไรคะ? อธิบายง่ายๆ อย่างนี้ค่ะ สมมุติเรามีเพื่อนเล่นไพ่ในวง ๘ คน จากทั้งวงมี ๑๐ คน เราก็ฮั้วะกับเพื่อนเรา ๘ คนนั้น กำหนดทิศทางให้ผลที่จะออกมาในวงไพ่มันเป็นอย่างไร ก็ได้ตามแต่เราจะว่ากันไป ให้เพื่อนเราคนใดคนหนึ่ง "กินเรียบไป" นะคะ ผลัดๆ กันไปเรื่อยๆ มันก็ไม่รู้ค่ะว่าเราฮั้วะกัน ลับหลังเราก็เอาเงินมาแบ่งกัน กลายเป็นว่า "อีกสองคน" โดนแดกทุกงวดค่ะ เข้าใจไหมคะ นี่คือ ตัวอย่างง่ายๆ แต่ในตลาดสินค้าโลกนั้น คนจีนเขาก็ฮั้วะกันแบบนี้ แต่อาจจะซับซ้อนเกินไป เดี๋ยวคนไทยอ่านไม่เข้าใจนะคะ สรุปคือ เขาสามารถเล่นตลาดทั่วโลกให้มีระดับราคาอย่างไร ก็ได้ค่ะ ทีนี้ "นายใหญ่" ของ ... ก็เลยเอามั่ง คิดจะใช้กลยุทธ์นี้เ่ล่นกับ "ตลาดข้าว" ค่ะ โดยถือว่า "ไทยคือผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก" ดังนั้น ย่อมมีพลังมากพอที่จะกำหนดกลไกลราคาได้ ใช่ไหมคะ? คือ ถ้าเรากุมข้าวในโลกไว้ ๘๐% เราจะกำหนดราคาอย่างไรก็ได้ค่ะ นายใหญ่เลยทำเพื่อชาวนา หวังดี อยากให้ชาวนารวยก็เลยทำให้ราคามันสูงขึ้นตั้งแต่ต้น  โดยรัฐบาลยอมขาดทุนก่อนค่ะ ทว่า ผลมันไม่เป็นเช่นนั้น "เพราะเบื้องหลังนายใหญ่อีกที" ดัดหลังเข้าให้ค่ะ "มึงจะก้อปปี้กลยุทธ์กูรึ? หนอย ยังอ่อนหัดไป เดี๋ยวกูจะดัดหลังมึงให้รู้สึก" ว่าแล้ว ตลาดข้าวเอเชียซึ่งไม่เคยรวมตัวกันได้ก็กลายเป็น "รวมตัวกันได้ทันที" และเมื่อพวกเขารวมหัวกันแล้ว รวมๆ ก็มีปริมาณการส่งออกทั่วโลกสูงกว่าไทยมากสิคะ ทีนี้ละคะ คนจีนมันก็ดัดหลังนายใหญ่ซะเลย ทำเอานโยบายพลิกคว่ำไปเลยค่ะ มันก็เลยส่งผลกระทบจากปลายน้ำมาถึงต้นน้ำไงคะ นี่จะบอกอะไรให้นะ ชาวนาที่เข้าโครงการนี้บางคนขายข้าวตั้งนาน ป่านนี้ยังไม่ไ่ด้เงินเลยค่ะ โอ้ย ถ้าคุณควบคุมตลาดได้ มีอิทธิพลในตลาดจริงๆ ก็ทำไปเหอะค่ะ แต่นี่มันไม่ใช่นะคะ ยังอ่้อนหัดไปค่ะ คนจีนเขาว่ามา "อย่างเอ็งยังต้องหัดอีกนานไอ้หนู!"


ก็ดีคร่ะ ชาวนาหัวดื้อ สอนอะไรยากเย็น เราใจดีอยากให้เขารวยๆ บอกอะไรไป เขาก็ไม่ทำหรอก แต่อย่าไปว่าเขาเลย มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ใครเล่าจะเปลี่ยนอะไรกันได้ง่ายๆ ก็เลยเปลี่ยนจากจนเป็นรวยได้ยากค่ะ ถ้าเปลี่ยนพฤติกรรมง่าย เช่น ใช้ปุ๋ยแต่พอดี, ใช้ยาฆ่าแมลงเท่าที่จำเป็น ฯลฯ มันก็รวยกันไปได้ง่ายๆ สิคะ เอาละ ต้องปล่อยให้มันปั่้นป่วนไปก่อนค่ะ ไม่งั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเริ่มต้นใหม่ ถ้าจะให้ดีก็เจ๊งๆๆ ไปเลยค่ะ สักครึ่งหนึ่ง ที่เหลือก็กลายเป็นไม้ใหญ่ (พวกไม่ได้เรื่องก็สิ้นไป พวกเก่งๆ ก็ได้อยู่ทำนาต่อ รวยไปเลย เพราะไม่ค่อยมีคนมาแย่งทำ) ที่เหลือตายแล้วจะได้เกิดใหม่ มาปลูกข้าวสาลีกันดีักว่าค่ะ ถ้าแน่จริงก็มาหัดคิดวิธีเพิ่มผลผลิตสิคะ จากไร่ละ ๓๕๐ กิโลกรัมๆ ละ ๒๕ บาท รายได้ีรวมเป็น ประมาณ ๘๕,๐๐ บาท ไม่จูงใจเท่าปลูกข้าวที่จะได้ไร่ละเป็นหมื่น เพราะผลผลิตข้าวเจ้าออกมาได้มาก กว่าข้าวสาลี (แต่ราคาข้าวเจ้ากิโลกกรัมละ ๑๐-๑๕ บาท ใช่ไหมครับ? ผมไม่แน่ใจในข้อมูลนะ แต่มันก็ถูกกว่าข้าวสาลีนะคะ) เราจะได้ปล่อยให้เวียดนามขายข้าวอันดับหนึ่งไป แบกข้าวสารหนักๆ ซื้อน้ำมันไปขนส่งราคาแพงๆ ส่วนเราจะได้ครองตำแหน่ง "เส้นใหญ่อันดับหนึ่ง" แปรรูปข้าวเจ้า, ข้าวสาลี เป็นเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, เส้นก๋วยเตี๋ยว, เส้นราเม็ง ฯลฯ ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ เวลาขนส่งเบากว่ามาก แพงกว่าด้วย แต่พระเจ้าช่วย "ขายได้ราคาดีกว่าค่ะ" โอ้ย เลิกเหอะค่ะ ที่จะเอาข้าวมาชิมแล้วหาว่าใครอร่อยกว่า มันก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอกค่ะ "ไอ้ของดิบๆ ไม่แปรรูปน่ะ มูลค่าเพิ่มเกือบ ๐%" เอาเข้าโรงงานแปรรูปก่อนสิคะ เอาสูตรแม้ช้อยนางรำ แม่ครัวมือหนึ่งของโลกมา มันก็ต่างกันได้แล้วค่ะ นี่แหละ มันถึงจะแตกต่างและจะกำหนดราคาให้สูงกว่าชาวบ้านเขาได้ เคยกินไหมคะเส้นบะหมี่ มาม่า, ยำยำ, ไวไว โอ้ย ต่างกันชัดเจนค่ะ แถมอีกนิดนะคะ บะหมี่เก็บไว้ได้นานปี ไม่มีขึ้นรา และปัญหาความชื้นแบบ "ข้าวสาร" นะคะ ท่านผู้ชม...



วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

ความดีเป็นพิษ เมตตาผิดๆ และัการให้แบบพ่อแม่รังแกฉัน

ผมได้ยินข่าวสำคัญมากครับ คือ เรื่องสัตว์ป่าเขาใหญ่ได้รับผลกระทบจากการให้อาหารของคน ทำให้สัตว์ป่าสูญเสียสัณชาติญาณเดิมๆ ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้เหมือนเดิม ติดใจในรสชาติอาหารที่คนให้ และไม่ยอมไปหาอาหารกินเองตามธรรมชาติ ออกมารอรับอาหารริมถนน ถูกรถชนตาย แบ่งเขตแย่งอาหารกัน ไม่อาจผสมพันธุ์กันตามธรรมชาติได้ ฯลฯ เหล่านี้ เป็นเพียงส่วนน้อยอย่างยิ่งที่ได้รับผลกระทบแล้ว จากการกระทำของคน โดยเฉพาะ "คนที่หลงดีในตัวเองทั้งหลาย" พวกเขาเหล่านั้น หลงตัวเอง คิดว่าตนเป็นคนดี ทำความดีแล้ว เจริญรอยตามคนดีแล้ว ด้วยการรักป่าก็เที่ยวป่า บุกป่า รักสัตว์ ก็ให้อาหารสัตว์ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง อ้าว กล่าวมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะมองว่าเรื่องเล็กน้อยของสัตว์ป่าเขาใหญ่ มันจะอะไรกันนักหนา น่ารำคาญพวกหัวอนุรักษ์นิยมนี่ บ้างก็อาจจะว่าฉันทำความดีแล้ว ทำมากมายเลย ดังนี้ บลาๆๆ เธอละทำอะไรบ้าง เชอะ สู้ฉันไม่ได้ มีผลงานมากมายนักหนา ฯลฯ เอาละ ผมขี้เกียจเถียงนอกเรื่องไร้สาระ ขอเข้าเรื่องสำคัญ คือ "ความดีที่เป็นพิษ, เมตตาที่ผิดๆ และการให้แบบพ่อแม่รังแกฉัน" ซึ่งไม่ได้มีแต่สัตว์ป่าเขาใหญ่เท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบจากคนเหล่านี้ที่หลงตัวเองว่า "เป็นคนดีเหลือหลาย" ครับ และมันไม่ใช่แค่เรื่องสัตว์ป่าเขาใหญ่เท่านั้น แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งประเทศ อันมีรากเหง้าของปัญหามาจากความเชื่อที่ว่า "ฉันคือคนดี ฉันทำความดี" นั่นเอง


อย่างแรก ผมอยากจะเล่าเรื่องๆ หนึ่ง ที่ผมประสบพบมากับตัวเองครับ เรื่อง "คนหวังดี ผู้ดีทั้งหลาย" ที่เข้าไปช่วยเหลือชาวเขา แต่พวกเขายังคงไปอย่างวิสัยเดิมๆ ใช้มือถือ, เครื่องมือทันสมัย ฯลฯ สารพัด เมื่อลูกหลานชาวเขาเห็นเข้า ใจเขาก็อยากได้ อยากมีบ้าง พวกนี้ก็สนองให้ รับบริจาคเอาไปให้พวกเขา นานวันเข้า พวกเขาก็ไม่เหลือวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ไม่อาจอยู่ได้แบบเดิมกับป่าอีกแล้ว พวกเขาในปัจจุบันนี้ ผู้ชายต้องขายยาบ้า เพื่อให้ได้เงินมายกระดับความเป็นอยู่ของตนให้เหมือนคนเมือง, ผู้หญิงต้องไปขาย ตัวในเมืองกรุง เพื่อให้ได้เงินมาส่งเสียทางบ้าน ให้น้องๆ ได้เรียนเท่าคนเมือง ฯลฯ ผมไม่ได้โยนเอาโทษทั้งหมดลงคนกลุ่มเดียว แน่นอนว่ามันมีหลายปัจจัยซับซ้อนครับ แต่ผมยกตัวอย่างหนึ่งของการกระทำของคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดีเหลือหลาย หลงตัวเอง และไม่เคยทบทวนดูผลกระทบของการกระทำของตัวเองบ้างว่า ตนได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วจริงหรือ? หรือมัวแต่อ้าง "ความดี" อ้างตนว่าเป็นคนดี?


ไม่เท่านั้น ยังมีการสร้างเขื่อน, สร้างน้ำ, สร้างฝน ฯลฯ โดยไม่ได้ดูเลยว่ามันมีผลกระทบอะไรบ้างหรือไม่ เข้าทำนอง "ผู้หวังดี" แบบ "ความดีเ็ป็นพิษ เมตตาผิดๆ และการให้แบบพ่อแม่รังแกฉัน" อีกแล้ว คุณรู้ไหมว่ามีนักอนุรักษ์มากมาย เขาพยายามปกป้องฝืนป่าจากการถูกทำลายเพื่อสร้างเขื่อนขึ้นมาแก้ปัญหา ที่ไม่อาจจะแก้ได้จริง (เวลาหน้าแล้งเขื่อนก็รักษาระดับน้ำไว้ ไม่ยอมปล่อยน้ำมา น้ำยิ่งน้อยใหญ่ เวลาหน้าน้ำ เขื่อนก็ปล่อยน้ำสมทบเข้ามาใหญ่ เพราะกลัวเขื่อนรับน้ำไม่ไหว) ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เลยนะ มีเขื่อนบ้าบออันหนึ่งไปสร้างไว้ที่ปากแม่น้ำแถวกาญจนบุรี ไม่มีเหตุผลและความจำเป็นอะไรเลย ไม่ได้แก้ปัญหานำ้ท่วมหรือภัยแล้งอะไรเลย แต่เพื่อเอาน้ำลงมาท่วมวัดๆ หนึ่ง เป็นวัดของคนมอญ เท่านั้นเอง ให้สังคมตรงนั้นมันจมไปกับน้ำ ให้มันหายๆ ไปซะ อะไรแบบนั้น แล้วพอทำผิดนะ ไม่สำนึกผิด เอาบริวารบ่าวไพร่ใช้เงินซื้อสื่อครอบงำควายไทย ต่อไปว่า "ฉันคือนักอนุรักษ์นิยมตัวพ่อ" อนุรักษ์นิยมพ่อมึงอะดิ ทำลายป่า ทำลายธรรมชาติซะขนาดนั้น นักอนุรักษ์คนไหนเขาค้าน ก็ไม่สนใจฟัง คิดว่าตนเองทำความดีแล้ว นี่คือการพัฒนาประเทศอย่างถูกต้อง มันก็มั่วของมันไป แต่ที่ทุเรศสุดๆ ก็คือ ยังมีหน้ามาอ้างตัวว่าเป็นนักอนุรักษ์ตัวพ่อเสียอีก เออ คนเรานี่ เวลามันได้หลงอำนาจ มีอำนาจ มีเงิน มีบริวาร มันหน้าด้านขนาดนั้น!


ไม่ใช่แค่นี้ "พวกผีตองเหลือง" เขาอยู่กับป่า ปรับตัวเข้ากับธรรมชาติได้ดี อยู่แบบสืบสานพระพุทธศาสนาแท้ คือ อยู่แบบไม่ยึดที่ แม้แต่บ้านก็ไม่สร้างเป็นถาวรวัตถุ แค่มุงใบตอง แล้วย้ายไป อยู่กินก็กินมื้อเดียว คือ กินๆ ให้หมด ไม่มีเก็บไว้ เคร่งยิ่งกว่าพระยุคที่แอบเก็บเกลือไว้ในกลักเขาวัวอีก แถมเสื้อผ้าก็แสนจะสมถะ ปฏิบัติตรงทางมากๆ เคร่งครัดสืบมาไม่รู้กี่รุ่น ตรงทางตามคำสอนของพระพุทธเจ้ามากเลย นับว่าเป็นปรัชญาการดำีรงชีพที่ไม่ทำลายธรรมชาติ ปรับตัวอยู่กับธรรมชาติได้ดีที่สุดแล้ว น่ายกย่องและยกให้เป็น "มรดกโลกทางด้านสังคมและวัฒนธรรมที่ยังมีชีวิต" อยู่ด้วยซ้ำ ทว่า ก็มีใครไม่รู้ไปทำลาย วิถีการดำรงชีวิตของพวกเขา ให้พวกเขาเลิกปฏิบัติตัวแบบนั้น เพราะกลัวจะถูกประเทศอื่่นเขามองว่าเราล้าหลัง ขอโทษนะครับ สมัยนี้ "เผ่ามายัน" โบราณยังโด่งดังมีอิทธิพลต่อโลกจะตาย โอบาม่ายังมีหมอผีมาทำพิธีให้เลย ฯลฯ ใครว่าสิ่งนี้ล้าหลังหรือไม่มีปรัชญาน่าสนใจ ทว่า สุดท้าย ก็ไม่เหลือซากครับ วัฒนธรรมของชาวตองเหลือง สิ้นสุดลงเพราะ "ผู้หวังดี" คิดว่าตัวเองเป็นคนดี ทำความดีเสียเหลือหลาย สุดท้ายก็ทำลายวัฒนธรรมอันมีรากเหง้ามาจากพุทธแท้ๆ แต่เป็นพุทธสายฆราวาส สายพราหมณ์โยคีแบบนุ่งลมห่มฟ้า ที่เราสามารถจะอ้างได้ว่าเราก็มี ไม่ได้ก้อปมาจากอินเดีย หรือมีแต่อินเดียเท่านั้นที่มีโยคีทิคัมพร


ไม่จบเท่านี้ ผมอยากจะขยายผลออกให้กว้างให้ท่านดูกว้างๆ ว่าเดิม คนป่า, ชาวเขา, ชาวเล ฯลฯ ล้วนมีชีวิตอยู่ได้กับธรรมชาติ ปรับตัวได้ดี และไม่มีปัญหาอะไร วันดีคืนดี ก็มี "ผู้หวังดี" คนดีทั้งหลายแหล่ เข้าไปยัดเยียดให้เขา "ต้องเรียนหนังสือ" ในแบบอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้ตอบโจทย์การดำีรงชีพของพวกเขาเลย ยัดเยียดเอาระบบการเรียนการสอนในห้องเรียน, หลักสูตรที่เอามาจากฝรั่ง, ตำราที่ไม่อาจใช้ได้จริงในชีวิต ฯลฯ เอามาให้พวกเขาเรียน พวกเขาเบื่อ หนีเรียน ก็กลายเป็นเด็กเลว เด็กเกเร ฯลฯ ในที่สุด ก็มีคนลุกขึ้นต่อต้าน รวมตัวขึ้นก่อความไม่สงบ และได้ฆ่าพระและครู เป็นเป้าหมายสำคัญ คุณไม่สงสัยเลยหรือว่าทำไม ผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ เขาจึงเน้นฆ่าพระและครู? และหลังๆ ก็เน้นแต่ครูอย่างเดียว? ก็นี่แหละ ผมกำลังจะบอกว่า "ผู้หวังดีทั้งหลาย" กำลังทำลายระบอบ, ระบบ, วิถีธรรมชาติของการดำรงอยู่ของพวกเขาหรือไม่? จึงทำให้พวกเขาต้องลุกขึ้นสู้ ต่อต้าน ฯลฯ อย่างนั้น ขอให้ท่านลองเอาไปคิดดูให้ลึุกๆ นะครับ ผมไม่ได้ต่อต้านการเรียนในระบบ เพราะผมก็จบมาจากการเรียนในระบบ เหมือนกัน แต่ผมอยากให้คุณมองต่างมุม เข้าใจ "ธรรมชาติและวิถีชีวิต" ของสังคมย่อยที่ดำรงอยู่ตามธรรมชาติในแบบของเขา ให้แจ่มแจ้งชัดเจน ก่อนที่คุณจะเข้าไปทำลายวัฒนธรรมของเขาไปหมดครับ