วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

เบื้องหลังนโยบายราคาข้าว ที่ทำเอาทั้งตลาดปั่นป่วน???

เอาละ ก่อนผมจะแฉเรื่องนโยบายราคาข้าวที่เป็นปัญหาวุ่นวายอยู่ในตอนนี้นั้น ขออนุญาติแปลงร่างเป็นกระเทยก่อนเพื่อความหนุกหนานไม่เครียดเกินไป คุยแบบผู้ชายมากๆ เดี๋ยวฆ่ากันตาย กลายเป็นฉนวนสงครามได้ครับ เอาละฮ่ะ ในที่สุดหนูก็เป็นกระเทยแล้ว ขอแฉเลยก็แล้วกันนะฮะว่าไอ้นโยบายนี้เนี่ย มันมีที่มาจากไหน?


มันก้อปปี้มาจาก "นโยบายฮั้วะราคาตลาดของคนจีนคร่ะ" จะเล่าให้สั้นๆ ก็คือ ราคาสินค้าในตลาดนี่ เมื่อก่อนมันเป็นไปตามกลไกลราคา "ตามธรรมชาติของการซื้อขายปกติ" แต่หลังๆ มันไม่ใช่แล้วคร่ะ หลายปีมานี้ หลายตลาดปั่นป่วน โดยเริ่มจากตลาดหุ้น, มาตลาดเงิน, ตลาดทอง, ตลาดสินค้าเกษตร ฯลฯ เำพราะอะไรคะ? อธิบายง่ายๆ อย่างนี้ค่ะ สมมุติเรามีเพื่อนเล่นไพ่ในวง ๘ คน จากทั้งวงมี ๑๐ คน เราก็ฮั้วะกับเพื่อนเรา ๘ คนนั้น กำหนดทิศทางให้ผลที่จะออกมาในวงไพ่มันเป็นอย่างไร ก็ได้ตามแต่เราจะว่ากันไป ให้เพื่อนเราคนใดคนหนึ่ง "กินเรียบไป" นะคะ ผลัดๆ กันไปเรื่อยๆ มันก็ไม่รู้ค่ะว่าเราฮั้วะกัน ลับหลังเราก็เอาเงินมาแบ่งกัน กลายเป็นว่า "อีกสองคน" โดนแดกทุกงวดค่ะ เข้าใจไหมคะ นี่คือ ตัวอย่างง่ายๆ แต่ในตลาดสินค้าโลกนั้น คนจีนเขาก็ฮั้วะกันแบบนี้ แต่อาจจะซับซ้อนเกินไป เดี๋ยวคนไทยอ่านไม่เข้าใจนะคะ สรุปคือ เขาสามารถเล่นตลาดทั่วโลกให้มีระดับราคาอย่างไร ก็ได้ค่ะ ทีนี้ "นายใหญ่" ของ ... ก็เลยเอามั่ง คิดจะใช้กลยุทธ์นี้เ่ล่นกับ "ตลาดข้าว" ค่ะ โดยถือว่า "ไทยคือผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก" ดังนั้น ย่อมมีพลังมากพอที่จะกำหนดกลไกลราคาได้ ใช่ไหมคะ? คือ ถ้าเรากุมข้าวในโลกไว้ ๘๐% เราจะกำหนดราคาอย่างไรก็ได้ค่ะ นายใหญ่เลยทำเพื่อชาวนา หวังดี อยากให้ชาวนารวยก็เลยทำให้ราคามันสูงขึ้นตั้งแต่ต้น  โดยรัฐบาลยอมขาดทุนก่อนค่ะ ทว่า ผลมันไม่เป็นเช่นนั้น "เพราะเบื้องหลังนายใหญ่อีกที" ดัดหลังเข้าให้ค่ะ "มึงจะก้อปปี้กลยุทธ์กูรึ? หนอย ยังอ่อนหัดไป เดี๋ยวกูจะดัดหลังมึงให้รู้สึก" ว่าแล้ว ตลาดข้าวเอเชียซึ่งไม่เคยรวมตัวกันได้ก็กลายเป็น "รวมตัวกันได้ทันที" และเมื่อพวกเขารวมหัวกันแล้ว รวมๆ ก็มีปริมาณการส่งออกทั่วโลกสูงกว่าไทยมากสิคะ ทีนี้ละคะ คนจีนมันก็ดัดหลังนายใหญ่ซะเลย ทำเอานโยบายพลิกคว่ำไปเลยค่ะ มันก็เลยส่งผลกระทบจากปลายน้ำมาถึงต้นน้ำไงคะ นี่จะบอกอะไรให้นะ ชาวนาที่เข้าโครงการนี้บางคนขายข้าวตั้งนาน ป่านนี้ยังไม่ไ่ด้เงินเลยค่ะ โอ้ย ถ้าคุณควบคุมตลาดได้ มีอิทธิพลในตลาดจริงๆ ก็ทำไปเหอะค่ะ แต่นี่มันไม่ใช่นะคะ ยังอ่้อนหัดไปค่ะ คนจีนเขาว่ามา "อย่างเอ็งยังต้องหัดอีกนานไอ้หนู!"


ก็ดีคร่ะ ชาวนาหัวดื้อ สอนอะไรยากเย็น เราใจดีอยากให้เขารวยๆ บอกอะไรไป เขาก็ไม่ทำหรอก แต่อย่าไปว่าเขาเลย มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ใครเล่าจะเปลี่ยนอะไรกันได้ง่ายๆ ก็เลยเปลี่ยนจากจนเป็นรวยได้ยากค่ะ ถ้าเปลี่ยนพฤติกรรมง่าย เช่น ใช้ปุ๋ยแต่พอดี, ใช้ยาฆ่าแมลงเท่าที่จำเป็น ฯลฯ มันก็รวยกันไปได้ง่ายๆ สิคะ เอาละ ต้องปล่อยให้มันปั่้นป่วนไปก่อนค่ะ ไม่งั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเริ่มต้นใหม่ ถ้าจะให้ดีก็เจ๊งๆๆ ไปเลยค่ะ สักครึ่งหนึ่ง ที่เหลือก็กลายเป็นไม้ใหญ่ (พวกไม่ได้เรื่องก็สิ้นไป พวกเก่งๆ ก็ได้อยู่ทำนาต่อ รวยไปเลย เพราะไม่ค่อยมีคนมาแย่งทำ) ที่เหลือตายแล้วจะได้เกิดใหม่ มาปลูกข้าวสาลีกันดีักว่าค่ะ ถ้าแน่จริงก็มาหัดคิดวิธีเพิ่มผลผลิตสิคะ จากไร่ละ ๓๕๐ กิโลกรัมๆ ละ ๒๕ บาท รายได้ีรวมเป็น ประมาณ ๘๕,๐๐ บาท ไม่จูงใจเท่าปลูกข้าวที่จะได้ไร่ละเป็นหมื่น เพราะผลผลิตข้าวเจ้าออกมาได้มาก กว่าข้าวสาลี (แต่ราคาข้าวเจ้ากิโลกกรัมละ ๑๐-๑๕ บาท ใช่ไหมครับ? ผมไม่แน่ใจในข้อมูลนะ แต่มันก็ถูกกว่าข้าวสาลีนะคะ) เราจะได้ปล่อยให้เวียดนามขายข้าวอันดับหนึ่งไป แบกข้าวสารหนักๆ ซื้อน้ำมันไปขนส่งราคาแพงๆ ส่วนเราจะได้ครองตำแหน่ง "เส้นใหญ่อันดับหนึ่ง" แปรรูปข้าวเจ้า, ข้าวสาลี เป็นเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, เส้นก๋วยเตี๋ยว, เส้นราเม็ง ฯลฯ ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ เวลาขนส่งเบากว่ามาก แพงกว่าด้วย แต่พระเจ้าช่วย "ขายได้ราคาดีกว่าค่ะ" โอ้ย เลิกเหอะค่ะ ที่จะเอาข้าวมาชิมแล้วหาว่าใครอร่อยกว่า มันก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอกค่ะ "ไอ้ของดิบๆ ไม่แปรรูปน่ะ มูลค่าเพิ่มเกือบ ๐%" เอาเข้าโรงงานแปรรูปก่อนสิคะ เอาสูตรแม้ช้อยนางรำ แม่ครัวมือหนึ่งของโลกมา มันก็ต่างกันได้แล้วค่ะ นี่แหละ มันถึงจะแตกต่างและจะกำหนดราคาให้สูงกว่าชาวบ้านเขาได้ เคยกินไหมคะเส้นบะหมี่ มาม่า, ยำยำ, ไวไว โอ้ย ต่างกันชัดเจนค่ะ แถมอีกนิดนะคะ บะหมี่เก็บไว้ได้นานปี ไม่มีขึ้นรา และปัญหาความชื้นแบบ "ข้าวสาร" นะคะ ท่านผู้ชม...



2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

เพิ่มมูลค่าข้าวหอมมะลิไทย สู่นวัตกรรมแป้งพัฟ “ข้าวเจ้า”
ผลิตภัณฑ์แป้งพัฟ Oryze

ที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยของเราเป็นประเทศเกษตรกรรม และพืชที่มีการปลูก และส่งออกมากเป็นอันดับต้นคือข้าว อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังมีหลายประเทศที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านสามารถปลูกข้าว และมีการส่งออกได้เช่นเดียวกับเรา ที่สำคัญขายในราคาที่ถูกกว่า ดังนั้น หลายหน่วยงานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพยายามหาทางออกเพื่อช่วยเหลือชาวนาไทย ให้สามารถขายข้าวได้ราคาดี และส่งออกได้จำนวนมาก

ดังนั้น ทางสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ร่วมกับมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดการประกวดนวัตกรรมข้าวไทยขึ้น และผลการประกวดในปี 2554 ที่ผ่านมามีผลงาน แป้งพัฟจากข้าวเจ้า “Oryze” Natural 2 Ways Powder Jasmine Rice “Oryze” ซึ่งได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลที่ 3 ในการประกวดครั้งนั้น โดยมี “นางยุวดี บุญครอง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยโปรดักส์ อินโนเวชั่น จำกัด เป็นเจ้าของโครงการ

กมลพัสน์ ธงไชยพิศุทธ์ รองกรรมการผู้จัดการ เล่าถึงแป้งพัฟจากข้าวเจ้าว่า จุดเริ่มต้นมาจากการที่ทางบริษัทของเราเห็นว่า ประเทศไทยมีวัตถุดิบข้าวที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก และเป็นที่สังเกตว่าผู้หญิงเอเชียจะบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก ทำให้มีผิวที่ละเอียด และผ่องใสแตกต่างจากผู้หญิงชาติอื่นๆ และจากการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง พบว่าคุณค่าจากข้าวช่วยดูแลผิวพรรณให้ดียิ่ง เหมาะที่จะนำมาพัฒนาเป็นเครื่องสำอาง และด้วยความคิดนี้ จึงได้เกิดความร่วมมือระหว่างคนไทยกับผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่น ค้นคว้าวิจัยจนพบลักษณะเด่นของข้าวหอมมะลิไทย คือ ความละเอียด เนียนนุ่ม ลื่น ซึมซับความมันได้ดี สามารถนำมาทดแทนแร่ใยหินทัลคัมที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในแป้งพัฟปัจจุบันนี้ และยังช่วยดูแลผิวพรรณได้ดี

ทั้งนี้ จากความร่วมมือดังกล่าวของทีมวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น จึงได้เป็นที่มาของแป้งพัฟจากข้าวเจ้าขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาไทยให้มีช่องทางการขายข้าวให้ได้ราคามากขึ้นแล้ว ยังเป็นช่องทางหนึ่งในการช่วยให้ผู้บริโภคสาวๆ ได้แป้งพัฟที่ดีต่อสุขภาพ เพราะปัจจุบันต้องยอมรับว่าแป้งพัฟมีส่วนประกอบซึ่งเป็นสารไม่บริสุทธิ์เหมือนสารที่มีอยู่ในปูนงานก่อสร้าง นั่นคือ แร่ใยหินทัลคัม (Talcum) แต่ด้วยคุณสมบัติของทัลคัม คือ มีความชื้นต่ำ ดูดซับน้ำมันได้ดี และมีความอ่อนนุ่ม ทัลคัมจึงถูกเลือกมาเป็นส่วนประกอบสำคัญในแป้งพัฟทั่วไป และด้วยความละเอียดและบางเบา ทำให้ทัลคัมฟุ้งกระจายได้ง่าย ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ เป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ มะเร็งปอด ฯลฯ

Unknown กล่าวว่า...

ในขณะที่คุณค่าของข้าวหอมมะลิไทยที่นำมาใช้แทนทัลคัมพบว่า สารสกัดจากข้าวหอมมะลิมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ และสุขภาพ คือ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ไม่ระคายเคืองต่อผิวที่บอบบาง สามารถย่อยสลายได้โดยจุลินทรีย์ทางธรรมชาติ เนื้อแป้งละเอียด ไม่ดูดความชื้น ช่วยปกป้องริ้วรอยและรอยหมองคล้ำ โดยในส่วนของการผลิต และวิจัยทำงานร่วมกับ บริษัทฟิคาโซ่ คอสเมติกส์ แลบบอราทอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางแบรนด์เนมระดับโลก จากประเทศญี่ปุ่น

สำหรับในส่วนของแป้งพัฟข้าวเจ้า Oryze ได้เติมส่วนผสมที่เป็นจุดขายของแป้งพัฟเช่นเดียวกับแป้งพัฟทั่วๆไป โดยทางบริษัทได้ร่วมกับทางผู้ผลิตที่ประเทศญี่ปุ่นพยายามพัฒนาแป้งพัฟข้าวเจ้า Oryze ให้เทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์แป้งพัฟแบรนด์ดังระดับโลก ซึ่งก่อนจะทำการผลิตออกมาจำหน่าย ได้ทำการทดสอบกับผู้บริโภค 200 คน ไม่พบผลกระทบข้างเคียงที่เป็นอันตรายใดอันเกิดจากการใช้แป้ง แต่จากการทดสอบการใช้สารสกัดจากข้าว 2 สัปดาห์อย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบกับมอยส์เจอไรเซอร์ พบว่าผู้ใช้มีผิวที่ยืดหยุ่น ใส และช่วยให้ผิวชุ่มชื่นขึ้น

ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่าย ใช้การขายผ่านทีวีไดเร็ค เป็นช่องทางขายหลัก เพราะการขายผ่านเคาน์เตอร์อย่างเครื่องสำอางแบรนด์ดังต้องมีต้นทุนสูง และที่สำคัญตอนนี้มีผลิตภัณฑ์เพียงตัวเดียว คือ แป้งพัฟ ซึ่งในอนาคตถ้ามีสินค้าออกมามากขึ้น มีความเป็นไปได้ที่จะมีการขายผ่านเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ มีการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายทั่วไป ปัจจุบันราคาขายปลีกอยู่ที่ตลับละ 1,250 บาท โดยมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ตลับละ 450 บาท ซึ่งเมื่อเทียบแป้งในคุณภาพและระดับเดียวกัน ถือได้ว่าสินค้าของเรามีราคาถูกกว่ามาก เพราะเป็นสินค้าใหม่ ไม่กล้าที่จะตั้งราคาสูงมาก

กมลพัสน์เล่าถึงการทำตลาดในต่างประเทศว่า หลังจากได้นำสินค้าไปร่วมออกงานกรมส่งเสริมการส่งออก มีลูกค้าจากต่างประเทศให้ความสนใจสินค้าของเราค่อนข้างมาก โดยเฉพาะพ่อค้าจากประเทศเกาหลี และจีน มีแผนที่จะนำแป้งพัฟ Oryze ไปจำหน่าย อยู่ในระหว่างการเจรจา โดยทางบริษัทมีแผนที่จะทำตลาดในประเทศแถบอาเซียนก่อนจะขยายตลาดไปยังประเทศในแถบยุโรป หรือเอเชีย

http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000074629

แสดงความคิดเห็น