วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

ความดีเป็นพิษ เมตตาผิดๆ และัการให้แบบพ่อแม่รังแกฉัน

ผมได้ยินข่าวสำคัญมากครับ คือ เรื่องสัตว์ป่าเขาใหญ่ได้รับผลกระทบจากการให้อาหารของคน ทำให้สัตว์ป่าสูญเสียสัณชาติญาณเดิมๆ ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้เหมือนเดิม ติดใจในรสชาติอาหารที่คนให้ และไม่ยอมไปหาอาหารกินเองตามธรรมชาติ ออกมารอรับอาหารริมถนน ถูกรถชนตาย แบ่งเขตแย่งอาหารกัน ไม่อาจผสมพันธุ์กันตามธรรมชาติได้ ฯลฯ เหล่านี้ เป็นเพียงส่วนน้อยอย่างยิ่งที่ได้รับผลกระทบแล้ว จากการกระทำของคน โดยเฉพาะ "คนที่หลงดีในตัวเองทั้งหลาย" พวกเขาเหล่านั้น หลงตัวเอง คิดว่าตนเป็นคนดี ทำความดีแล้ว เจริญรอยตามคนดีแล้ว ด้วยการรักป่าก็เที่ยวป่า บุกป่า รักสัตว์ ก็ให้อาหารสัตว์ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง อ้าว กล่าวมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะมองว่าเรื่องเล็กน้อยของสัตว์ป่าเขาใหญ่ มันจะอะไรกันนักหนา น่ารำคาญพวกหัวอนุรักษ์นิยมนี่ บ้างก็อาจจะว่าฉันทำความดีแล้ว ทำมากมายเลย ดังนี้ บลาๆๆ เธอละทำอะไรบ้าง เชอะ สู้ฉันไม่ได้ มีผลงานมากมายนักหนา ฯลฯ เอาละ ผมขี้เกียจเถียงนอกเรื่องไร้สาระ ขอเข้าเรื่องสำคัญ คือ "ความดีที่เป็นพิษ, เมตตาที่ผิดๆ และการให้แบบพ่อแม่รังแกฉัน" ซึ่งไม่ได้มีแต่สัตว์ป่าเขาใหญ่เท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบจากคนเหล่านี้ที่หลงตัวเองว่า "เป็นคนดีเหลือหลาย" ครับ และมันไม่ใช่แค่เรื่องสัตว์ป่าเขาใหญ่เท่านั้น แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งประเทศ อันมีรากเหง้าของปัญหามาจากความเชื่อที่ว่า "ฉันคือคนดี ฉันทำความดี" นั่นเอง


อย่างแรก ผมอยากจะเล่าเรื่องๆ หนึ่ง ที่ผมประสบพบมากับตัวเองครับ เรื่อง "คนหวังดี ผู้ดีทั้งหลาย" ที่เข้าไปช่วยเหลือชาวเขา แต่พวกเขายังคงไปอย่างวิสัยเดิมๆ ใช้มือถือ, เครื่องมือทันสมัย ฯลฯ สารพัด เมื่อลูกหลานชาวเขาเห็นเข้า ใจเขาก็อยากได้ อยากมีบ้าง พวกนี้ก็สนองให้ รับบริจาคเอาไปให้พวกเขา นานวันเข้า พวกเขาก็ไม่เหลือวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ไม่อาจอยู่ได้แบบเดิมกับป่าอีกแล้ว พวกเขาในปัจจุบันนี้ ผู้ชายต้องขายยาบ้า เพื่อให้ได้เงินมายกระดับความเป็นอยู่ของตนให้เหมือนคนเมือง, ผู้หญิงต้องไปขาย ตัวในเมืองกรุง เพื่อให้ได้เงินมาส่งเสียทางบ้าน ให้น้องๆ ได้เรียนเท่าคนเมือง ฯลฯ ผมไม่ได้โยนเอาโทษทั้งหมดลงคนกลุ่มเดียว แน่นอนว่ามันมีหลายปัจจัยซับซ้อนครับ แต่ผมยกตัวอย่างหนึ่งของการกระทำของคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดีเหลือหลาย หลงตัวเอง และไม่เคยทบทวนดูผลกระทบของการกระทำของตัวเองบ้างว่า ตนได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วจริงหรือ? หรือมัวแต่อ้าง "ความดี" อ้างตนว่าเป็นคนดี?


ไม่เท่านั้น ยังมีการสร้างเขื่อน, สร้างน้ำ, สร้างฝน ฯลฯ โดยไม่ได้ดูเลยว่ามันมีผลกระทบอะไรบ้างหรือไม่ เข้าทำนอง "ผู้หวังดี" แบบ "ความดีเ็ป็นพิษ เมตตาผิดๆ และการให้แบบพ่อแม่รังแกฉัน" อีกแล้ว คุณรู้ไหมว่ามีนักอนุรักษ์มากมาย เขาพยายามปกป้องฝืนป่าจากการถูกทำลายเพื่อสร้างเขื่อนขึ้นมาแก้ปัญหา ที่ไม่อาจจะแก้ได้จริง (เวลาหน้าแล้งเขื่อนก็รักษาระดับน้ำไว้ ไม่ยอมปล่อยน้ำมา น้ำยิ่งน้อยใหญ่ เวลาหน้าน้ำ เขื่อนก็ปล่อยน้ำสมทบเข้ามาใหญ่ เพราะกลัวเขื่อนรับน้ำไม่ไหว) ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เลยนะ มีเขื่อนบ้าบออันหนึ่งไปสร้างไว้ที่ปากแม่น้ำแถวกาญจนบุรี ไม่มีเหตุผลและความจำเป็นอะไรเลย ไม่ได้แก้ปัญหานำ้ท่วมหรือภัยแล้งอะไรเลย แต่เพื่อเอาน้ำลงมาท่วมวัดๆ หนึ่ง เป็นวัดของคนมอญ เท่านั้นเอง ให้สังคมตรงนั้นมันจมไปกับน้ำ ให้มันหายๆ ไปซะ อะไรแบบนั้น แล้วพอทำผิดนะ ไม่สำนึกผิด เอาบริวารบ่าวไพร่ใช้เงินซื้อสื่อครอบงำควายไทย ต่อไปว่า "ฉันคือนักอนุรักษ์นิยมตัวพ่อ" อนุรักษ์นิยมพ่อมึงอะดิ ทำลายป่า ทำลายธรรมชาติซะขนาดนั้น นักอนุรักษ์คนไหนเขาค้าน ก็ไม่สนใจฟัง คิดว่าตนเองทำความดีแล้ว นี่คือการพัฒนาประเทศอย่างถูกต้อง มันก็มั่วของมันไป แต่ที่ทุเรศสุดๆ ก็คือ ยังมีหน้ามาอ้างตัวว่าเป็นนักอนุรักษ์ตัวพ่อเสียอีก เออ คนเรานี่ เวลามันได้หลงอำนาจ มีอำนาจ มีเงิน มีบริวาร มันหน้าด้านขนาดนั้น!


ไม่ใช่แค่นี้ "พวกผีตองเหลือง" เขาอยู่กับป่า ปรับตัวเข้ากับธรรมชาติได้ดี อยู่แบบสืบสานพระพุทธศาสนาแท้ คือ อยู่แบบไม่ยึดที่ แม้แต่บ้านก็ไม่สร้างเป็นถาวรวัตถุ แค่มุงใบตอง แล้วย้ายไป อยู่กินก็กินมื้อเดียว คือ กินๆ ให้หมด ไม่มีเก็บไว้ เคร่งยิ่งกว่าพระยุคที่แอบเก็บเกลือไว้ในกลักเขาวัวอีก แถมเสื้อผ้าก็แสนจะสมถะ ปฏิบัติตรงทางมากๆ เคร่งครัดสืบมาไม่รู้กี่รุ่น ตรงทางตามคำสอนของพระพุทธเจ้ามากเลย นับว่าเป็นปรัชญาการดำีรงชีพที่ไม่ทำลายธรรมชาติ ปรับตัวอยู่กับธรรมชาติได้ดีที่สุดแล้ว น่ายกย่องและยกให้เป็น "มรดกโลกทางด้านสังคมและวัฒนธรรมที่ยังมีชีวิต" อยู่ด้วยซ้ำ ทว่า ก็มีใครไม่รู้ไปทำลาย วิถีการดำรงชีวิตของพวกเขา ให้พวกเขาเลิกปฏิบัติตัวแบบนั้น เพราะกลัวจะถูกประเทศอื่่นเขามองว่าเราล้าหลัง ขอโทษนะครับ สมัยนี้ "เผ่ามายัน" โบราณยังโด่งดังมีอิทธิพลต่อโลกจะตาย โอบาม่ายังมีหมอผีมาทำพิธีให้เลย ฯลฯ ใครว่าสิ่งนี้ล้าหลังหรือไม่มีปรัชญาน่าสนใจ ทว่า สุดท้าย ก็ไม่เหลือซากครับ วัฒนธรรมของชาวตองเหลือง สิ้นสุดลงเพราะ "ผู้หวังดี" คิดว่าตัวเองเป็นคนดี ทำความดีเสียเหลือหลาย สุดท้ายก็ทำลายวัฒนธรรมอันมีรากเหง้ามาจากพุทธแท้ๆ แต่เป็นพุทธสายฆราวาส สายพราหมณ์โยคีแบบนุ่งลมห่มฟ้า ที่เราสามารถจะอ้างได้ว่าเราก็มี ไม่ได้ก้อปมาจากอินเดีย หรือมีแต่อินเดียเท่านั้นที่มีโยคีทิคัมพร


ไม่จบเท่านี้ ผมอยากจะขยายผลออกให้กว้างให้ท่านดูกว้างๆ ว่าเดิม คนป่า, ชาวเขา, ชาวเล ฯลฯ ล้วนมีชีวิตอยู่ได้กับธรรมชาติ ปรับตัวได้ดี และไม่มีปัญหาอะไร วันดีคืนดี ก็มี "ผู้หวังดี" คนดีทั้งหลายแหล่ เข้าไปยัดเยียดให้เขา "ต้องเรียนหนังสือ" ในแบบอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้ตอบโจทย์การดำีรงชีพของพวกเขาเลย ยัดเยียดเอาระบบการเรียนการสอนในห้องเรียน, หลักสูตรที่เอามาจากฝรั่ง, ตำราที่ไม่อาจใช้ได้จริงในชีวิต ฯลฯ เอามาให้พวกเขาเรียน พวกเขาเบื่อ หนีเรียน ก็กลายเป็นเด็กเลว เด็กเกเร ฯลฯ ในที่สุด ก็มีคนลุกขึ้นต่อต้าน รวมตัวขึ้นก่อความไม่สงบ และได้ฆ่าพระและครู เป็นเป้าหมายสำคัญ คุณไม่สงสัยเลยหรือว่าทำไม ผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ เขาจึงเน้นฆ่าพระและครู? และหลังๆ ก็เน้นแต่ครูอย่างเดียว? ก็นี่แหละ ผมกำลังจะบอกว่า "ผู้หวังดีทั้งหลาย" กำลังทำลายระบอบ, ระบบ, วิถีธรรมชาติของการดำรงอยู่ของพวกเขาหรือไม่? จึงทำให้พวกเขาต้องลุกขึ้นสู้ ต่อต้าน ฯลฯ อย่างนั้น ขอให้ท่านลองเอาไปคิดดูให้ลึุกๆ นะครับ ผมไม่ได้ต่อต้านการเรียนในระบบ เพราะผมก็จบมาจากการเรียนในระบบ เหมือนกัน แต่ผมอยากให้คุณมองต่างมุม เข้าใจ "ธรรมชาติและวิถีชีวิต" ของสังคมย่อยที่ดำรงอยู่ตามธรรมชาติในแบบของเขา ให้แจ่มแจ้งชัดเจน ก่อนที่คุณจะเข้าไปทำลายวัฒนธรรมของเขาไปหมดครับ



7 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

ผลกระทบจากการให้อาหารสัตว์ป่า



คงเป็นภาพที่ชินตาไปแล้วสำหรับการให้อาหารลิง,สัตว์ป่า
บนเส้นทางในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่หรือที่อื่นๆ

วันนี้เราลองมาดูกันซิว่าผลกระทบจากการให้อาหารสัตว์ป่านั้นมีอะไรบ้าง>>หลายข้อเราอาจคิดไม่ถึงด้วยซ้ำไป
๑. อาหารบางชนิดคนกินได้ สัตว์กินได้ อาหารบางชนิดคนกินได้ สัตว์กินไม่ได้ ดังนั้นอาหารที่ไม่เหมาะสม ที่คนให้สัตว์ป่ากินนั้น อาจทำให้สัตว์ป่าเกิดอาการท้องเสีย ท้องอืด หรืออาหารเป็นพิษได้ เช่น กวางกินถุงแกง ขนมปัง เนื้อย่าง ขนม เป็นต้น

๒. พฤติกรรมสัตว์ป่าจะเปลี่ยนไป โดยการออกมาใกล้คนเพื่อขออาหารมากขึ้น อาจเกิดอันตรายในยามที่สัตว์ป่าออกมาขออาหารบนถนนหรือบ้านเรือน ทำให้เจ็บทั้งคนเจ็บทั้งสัตว์ป่า

๓. พฤติกรรมการหากินก็เปลี่ยนไป ติดใจในรสชาติอาหารที่คนให้ สุดท้ายก็กินอาหารในป่าไม่เป็น เมื่อหาอาหารเองไม่เป็น ก็อาจเกิดการแก่งแย่ง ต่อสู้กันเอง เพื่อขออาหาร หรือ เกิดพฤติกรรมก้าวร้าว ดุร้าย ต่อสู้กันเองบาดเจ็บ หรือไม่ก็เข้าทำร้าย แย่งของจากคนที่ถืออาหารจนอาจเกิดอันตรายทั้งคนและสัตว์ตามมา

๔. การที่คนใกล้ชิดกับสัตว์ป่า และการนำอาหารจากคนให้สัตว์ป่านั้น เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการนำโรคที่อาจติดต่อขึ้นได้ ระหว่างคนและสัตว์ป่า ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าในคนก็มีโรค ในสัตว์ป่าก็มีโรค โรคในคนติดสัตว์ป่าทำให้ตายได้ และโรคในสัตว์ป่าติดในคนก็ทำให้ตายได้ เช่นกัน โดยเฉพาะที่เกิดจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และปาราสิต เป็นต้น

๕. ขยะหรือเศษอาหารที่มากับอาหารที่ให้สัตว์ป่ากิน หรือสัตว์ป่ามาแย่งกินนั้น หากสัตว์ป่ากินเข้าไป จะทำให้เกิดการอุดตันหลอดอาหาร กระเพาะ หรือลำไส้ อันเป็นสาเหตุทำให้สัตว์เสียชีวิตได้

๖. ขยะหรือเศษอาหารที่เหลือจากการให้อาหารสัตว์ป่านั้น จะย่อยสลายยาก เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามมา

๗. ถนนมักเป็นจุดที่สัตว์ป่าออกมาขออาหารที่นักท่องเที่ยวให้อยู่เป็นประจำ ทำให้กีดขวางการจราจร และหากยังมีการขับรถด้วยความเร็ว ไม่ระมัดระวังก็ถือว่าเป็นจุดที่อันตรายจุดหนึ่ง อาจเกิดอุบัติเหตุกับสัตว์ป่า และคนได้รับบาดเจ็บได้

๘. พืชและผลไม้บางชนิดที่ให้สัตว์ป่ากินเข้าไป อาจเป็นพืชต่างถิ่นที่ไม่เคยมีในป่ามาก่อน พอสัตว์ป่ากินเข้าไปแล้วถ่ายเอาเมล็ดออกมา ก็จะแพร่เจริญเติบโต อาจส่งผลกระทบต่อพืชประจำถิ่นที่มีอยู่เดิมและรบกวนระบบนิเวศ

๙. เมื่อสัตว์เหยื่อในห่วงโซ่อาหาร เช่น เก้ง กวาง ออกมาใกล้คนเพื่อรอรับอาหารจากคนมากขึ้น ก็จะเป็นการชักนำให้สัตว์ผู้ล่าในห่วงโซ่อาหาร เช่น เสือ หมาใน ซึ่งนอกจากจะกระทบห่วงโซ่อาหารแล้ว การออกมาล่าสัตว์เหยื่อที่อยู่ใกล้คนมากขึ้นอาจเกิดอันตรายแก่คน และสัตว์ป่าชนิดอื่นๆได้

๑๐. ในสภาวะโรคร้อน นอกจากภัยธรรมชาติ และความเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่มนุษย์จะต้องได้รับผลกระทบแล้ว ยังมีโรคอุบัติใหม่ โดยเฉพาะโรคที่ติดต่อระหว่างสัตว์ป่าและคนนั้น จะเกิดขึ้นควบคู่กัน วิธีการที่เหมาะสมที่สุดก็คือ อย่างไปเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ “ธรรมชาติก็คืออวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย หากธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป วิถีชีวิตมนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงตาม ดังนั้น หากรักตัวเองก็อย่าทำร้ายตัวเอง หากทำร้ายธรรมชาติก็เท่ากับทำร้ายตัวเอง”
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก หมอล็อต หมอสัตว์ป่า ด้วยนะคร้าบบบบ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=385469

Unknown กล่าวว่า...

5555 ฮาตรงที่ว่า "ขนาดโอบาม่า ยังมีหมอผีมาทำพิธีให้เล้ยยยย 5555555555"

มันฮาเจง เจงงงง เองงง เองงง (ทำเสียงแบบพี่พุดเดิ้ล 555)

Unknown กล่าวว่า...

อุ๊ เหม่ๆๆๆ ประเทศที่ทันสมัยไปด้วยเทคโนโลยีซะขนาดนั้นอ่าา ยังตัองมาพึ่งหมอผีไสยศาสตร์เล้ยยย เห็นแมะ ว่าไอ้การที่ "เขาเล่นของกันลับหลังน่ะ" ยุคนี้สมัยนี้ ผีมันแรงงงงงสสส์ส์สส์ ซะจนแซงเทคโนโลยีไปเล๊ยยยยยยยย 555555555 ฮิ๊ววววววววว

Unknown กล่าวว่า...

อุแหม อุแหม ของแบบบเนี้ยยย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะจ๊ะ

Unknown กล่าวว่า...

5555555555555555555

Unknown กล่าวว่า...

เคยป่ะ ตอนสมัยเด็ก พอเวลาไม่ได้ทำงาน หรือทำการบ้านส่ง เขาบอกว่า "เราผิด ที่ไม่ได้ทำการบ้าน"

เคยป่ะ ตอนสมัยเด็ก เคยให้เพื่อนลอกข้อสอบภาษาอังกฤษ (เพราะเราสงสารเพื่อนที่ทำไม่ได้จริงๆ อะไรจริง เราก็เลยให้ลอก) แล้วครูก็มาบอกว่า "นี่มันไม่ดี มันผิด"

ใช่ มันก็จริง มันก็ิผิด ..............แต่คุณลองคิดดู "มันไม่มีใครที่จะต้อง เป๊ะ จะต้องไปเก่ง ทุกอย่างหรอก"

เค ป๊ะะ.................

แล้วรู้มั้ย พวกเด็กแว๊น เด็กเกเรอ่านะ พอโตขึ้นมา ก็กลายเป็นเหยื่อและโดนเอารัดเอาเปรียบของพวก "เด็กเรียนดี เรียนเก่งหัวดี" ตั้งเยอะตั้งแยะถมเถไป และคนพวกนี้อ่านะ มักจะอ้าง "ความดีเป็นฉากหน้า แล้วเอาความเลวมาเป็นฉากหลังง โอ๊ยยยยยย เย๊อะะะะะะะแย๊ะะะ

(วงเล็บ ในความเป็นจริง ฉันเป็นเด็กเก่ง หัวดีและเรียนดีจ้ะ :)

Unknown กล่าวว่า...

เนี่ยแหละ ความดีที่มันมากกกซะจน กลายเป็นพิษไปโดยไม่รู้ตัว

แสดงความคิดเห็น