วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

แฉกลเล่ห์ลวงลับ "ก๊วยเจ๋ง" คนหน้าซื่อ กระทำล้ำลึก

ก๊วยเจ๋ง เป็นคนที่มีบุคลิกภาพเหมือนคนโง่และไม่มีความทะเยอทะยาน ทำให้คนทั้งหลายมองว่าเป็นคนดี ไม่มีกิเลส ไม่แก่งแย่งแข่งขันกันใคร และเป็นคนดี น่าศรัทธา แต่ว่า นั่นเป็นแค่บุคลิกเท่านั้น เพราะการกระทำที่แท้ ล้วนไม่เ็ป็นเช่นนั้น (บุคลิกโง่ การกระทำล้ำลึก) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของตัวละครเอกจากเรื่องมังกรหยก ตัวหนึ่งชื่อ "ก๊วยเจ๋ง" ที่มีบุคลิกภาพเหมือนคนโง่แต่มีการกระัทำเจ้าเล่ห์ล้ำลึก เช่น การที่ได้เป็นเขยของเจงกิสข่าน แต่กลับไม่รับตำแหน่ง คนก็มองว่าโง่ (แท้แล้วเพื่อจะตั้งราชวงศ์ของตนเองขึ้นใหม่) การเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเอี้ยคัง แต่ไม่ได้ร่วมมือกับเอี้ยคังเพื่อฟื้นฟูราชวงศ์กิม ที่ล่มสลายไปเลย (ปล่อยให้กิมล่มสลาย เพื่อเปิดทางให้ตนตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้น) การไม่ยอมทำงานให้แก่ราชวงศ์ซ้องที่กำลังล่มสลาย แต่กลับรวบรวมชาวยุทธ์ต้านทัพมองโกลกันเอง (เพื่อจะได้ไม่เป็นข้าพวกซ้อง และตนจะไ้ด้ตั้งราชวงศ์ขึ้นใหม่เอง) การมี "มารบูรพา" เป็นพ่อตา, การมี "ยาจกอุดร" เป็นอาจารย์ สองคนนี้ เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของยุทธภพ ที่ชาวฮั่นล้วนนับถืิอทั้งนั้น เท่ากับได้สองแรงคอยหนุน การได้อึ้งย้งเป็นภรรยา (แม่ของอึ้งย้ง จำคัมภีร์เก้าอิมได้หมด) ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นจอมยุทธ์ฝ่ายคุณธรรมและชาวยุทธ์ล้วนกล่าวว่า "เก้าอิมคือวิชามาร" แทนที่เขาจะปฏิเสธ แต่เขาไม่เคยปฏิเสธ ทั้งยังแอบฝึกจนสำเร็จอีกด้วย ก๊วยเจ๋งได้ตำแหน่งพรรคกระยาจกทั้งๆ ที่ตนเองไม่ไ้ด้เป็นขอทาน แทนที่จะให้คนที่เป็นขอทานจริงๆ ปกครองกันเอง เขากลับไม่ปฏิเสธ เพื่อที่จะได้ใช้พรรคกระยาจกเป็นกองกำลังในภายภาคหน้า ก๋วยเจ๋งรู้ว่าเอี้ยคังพี่น้องร่วมสาบานต้องการตำรายุทธพิชัยสงคราม "งักฮุย" เพื่อฟื้นฟูราชวงศ์กิมก๊กของตน ทั้งๆ ที่เขามีอยู่มือเขาก็ไม่เสียสละให้พี่น้องของเขา ตัวเขาเองเป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีเชื้อสายราชวงศ์เก่า ไม่มีกิจต้องฟื้นฟูราชวงศ์เหมือนเช่นเอี้ยงคัง แต่เขากลับเก็บไว้ที่ตัวเอง และใช้ต้านทัพมองโกล ก๊วยเจ๋งทำเป็นรักลูกรักเมียมาก ตามใจก๊วยพูแต่แท้แล้วปล่อยให้ก๊วยพูมาตัดแขนเอี้ยก้วย เพราะรู้ว่าเอี้ยก้วยฝึกวิชาเก้าอิืมอยู่ (ตัวเองฝึกได้ แต่พอเอี้ยก้วยฝึก ไม่ไ่ด้) ซึ่งวิชาสองมือขัดแย้งนั้น ก็ได้รับมาจาก "จิวแปะทง" ที่ให้วิชาเก้าอิมแก่้ทั้งเอี้ยก้วยและก๊วยเจ๋งๆ จึงรู้ดี ก๊วยเจ๋งเลี้ยงเอี้ยก้วยเหมือนลูกเลี้ยงแต่ไม่เคยสอนวิชาดีๆ ให้ ทำให้เอี้ยก้วยถูกพี่น้องรังแกมาตลอด เป็นเด็กเก็บกดมีปมด้อย จนเมื่ออ้าวเอี้ยงฮงแอบสอนวิชาคางคกให้จนเกิดเรื่อง ก๊วยเจ๋งถึงกับไม่ยอมเลี้ยงเอี้ยก้วยต่อ เอาไปให้สำนักช้วนจินก่าดูแล ซึ่งช้วนจินก่าก็ไม่เคยสอนวิชาให้เอี้ยก้วยเลย (ก้วยเจ๋งเป็นคนใหญ่โตในยุทธภพ กลับไม่เคยเหลียวแลเลยว่าลูกเลี้ยงของตนอยู่ที่ช้วนจินก่าแล้วเขาไม่เคยสอนวิชาอะไรให้เลย) เอี้ยก้วยต้องขวนขวายหาเองจนได้วิชาของสำนักสุสานโบราณ ยามนั้น ราชวงศ์ซ้องกำลังล่มสลาย ก๊วยเจ๋งไม่เคยเข้าไปช่วยเหลือราชวงศ์ซ้องเลย ปล่อยให้ล่มสลายไป จะเรียกว่าจงรักภักดีได้อย่างไร เขาปล่อยให้ราชวงศ์เก่าล่มสลายลงไป ไม่ฟื้นฟูราชวงศ์กิม (ของพี่น้องร่วมสาบาน เอี้ยคัง) และไม่ยอมช่วยพ่อตา เจงกิสข่าน ทั้งหมดเพื่ออะไร? ก็เพื่อที่ตนเองจะได้ตั้งราชวงศ์ใหม่ แต่เขาทำไม่สำเร็จก็เท่านั้น คนที่คอยดู "นิสัยคนอย่างลึกซึ้ง" แท้จริง ก็คือ "จิวแปะทง" ที่ต้องแกล้งอยู่อย่างคนบ้าไปวันๆ เพราะรู้ว่าแม้แต่พี่ชายของตัวเองเก่งขนาดไหน ยังโดนสี่ยอดฝีมือที่ชาวยุทธ์ยกย่อง "รุมฆ่าเพื่อเอาคัมภีร์เก้าอิมเล่มเดียว" (ชาวฮั่นมองชาวกิมก๊กว่าเลวเพราะฆ่าคนเอาคัมภีร์และยุทธพิชัยสงครามของงักฮุย แท้แล้ว ยอดยุทธ์ชาวฮั่นทั้งสี่ ก็เลวไม่แพ้กันรุมฆ่าเฮ้งเต้งเอี๊ยงเพื่อคัมภีร์เล่มเดียว แต่ในเรื่องสร้างภาพว่าคือการปะลองยุทธ์นะ แท้แล้วคือ การแสร้งปะลองยุทธ์ทีเดียวสี่คนเพื่อรุมคนๆ เดียว) พอพบก๊วยเจ๋ง เขาคิดว่าเป็นคนดี จึงลองใจบังคับให้ท่องวิชาเก้าอิม (แต่ไม่ได้บอกให้ฝึก เพื่อลองใจก๊วยเจ๋งดูว่าจะแอบฝึกเก้าอิมหรือไม่?) ภายหลังก๊วยเจ๋งก็รู้ว่าวิชาเก้าอิม ชาวยุทธ์ล้วนถือเป็นวิชามาร ไม่ให้ฝึกกัน แต่ตนเองก็ยังฝึกต่อจนสำเร็จ  (เพื่ออะไร?) สุดท้ายจิวแปะทงรู้ว่าไม่ใช่คนดีแท้จริง จึงไม่ช่วยเหลือ ได้พบเอี้ยก้วยและเซียวเล่งนึ้ง จึงได้ถ่ายทอดวิชาเก้าอิมและสองมือขัดแย้งให้ทั้งสองคนนี้แทน (แต่ทั้งสองคนไม่อยากแก่งแย่งอำนาจ รักสันโดษ ภายหลังจึงได้ปลีกวิเวกหายไป) ก๊วยเจ๋งยามมีเอี้ยก้วย ทำผลงานมากมายต้านทัพมองโกลสำเร็จ แต่พอไม่มีเอี้ยก้วยแล้ว สุดท้าย ก็ต้องพินาศและล่มจมไป ทัพมองโกลก็บุกยึดแผ่นดินฮั่น ตั้งราชวงศ์หยวนขึ้นมาแทนที่


คนเราถ้าจงรักภักดีจริงก็ต้องร่วมมือกับ "ราชสำนัก" (ราชวงศ์ซ้องขณะนั้น) แล้วต้านทัพมองโกลในฐานะประชาชนชาวซ้อง ไม่ใช่ รอให้ซ้องล่มสลาย ตัวเองกลับซ่องสุมกำลังกันเงียบๆ ในรูป "สำนักธรรม" หรือก็คือ "สำนักชาวยุทธ์ต่างๆ" นั่นเอง แท้แล้ว ก็คือ "การเล่นการเมืองเพื่อตั้งราชวงศ์ใหม่ของตนเอง" เพื่อให้ได้อำนาจตกในมือของตนกันทั้งนั้น หากเป็นผู้มีธรรมละทางโลกได้จริง เหตุไฉนต้องเลือกว่ากิมก๊กหรือชาวมองโกล เป็นผู้ผิด ไม่อาจครองแผ่นดินจีนได้? ก็ในเมื่อ ไม่ว่าชาวกิมก๊กหรือชาวมองโกล ล้วนแต่เป็นชาวจีนทั้งนั้น เพียงแต่ต่างชาติพัันธุ์กันเท่านั้นเอง ใครจะึขึ้นครองอำนาจ เป็นใหญ่ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ผิดเลย ทว่า "ชาวยุทธ์ฮั่น" ต่างตีตราบาปผูกขาดไว้ว่า "ถ้าไม่ใช่ชาวยุทธ์ฮั่น" มันจะครองแผ่นดินจีน ไม่ได้ ใครที่อาจหาญตั้งราชวงศ์ ก็จะถูกมองว่าเป็นตัวร้าย เป็นมารไป ไม่ต่างจาก "เอี้ยคัง" แท้แล้ว ชาวยุทธ์ฮั่น ต่างก็ตั้งตัว ตั้งสำนักขึ้นมา เืพื่อเล่นการเมือง เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ เพื่อให้ได้ตั้งราชวงศ์ของตนเองบ้าง ก็เท่านั้น หาใช่ตั้งสำนักธรรมมาเพื่อหลุดพ้นเรื่องทางโลกไม่ แม้แต่ "วัดเส้าหลิน" ที่มี "ฉากหน้าเป็นวัด" ที่แท้ก็คือ "แหล่งซ่องสุมของนักการเมือง" ที่แอบไปซ่อนตัวในรูปของพระสงฆ์ (ซึ่งในพม่ายุคปัจจุบัน พระสงฆ์ทำแบบนี้ก็มีมากมาย) แท้แล้วกลับฝึกวิชาฆ่าคน พร้อมรบ พร้อมทำสงครามยึดอำนาจกันทั้งนั้น ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์หนึ่งไปสู่ราชวงศ์หนึ่ง วัดเส้าหลินก็ล้วนมีส่วนรู้เห็นและอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะมันคือ "การเล่นการ เมือง" ใครก็มีสิทธิ์เล่นได้ ทว่า "จอมยุทธ์ฮั่น" จะตีตราบาปให้คนอื่นที่ไม่ใช่ชาวยุทธ์ฮั่นว่าไร้ความชอบธรรมในการเล่นการเมือง หรือก่อตั้งราชวงศ์ของตนเอง ดังเช่นที่ตีตราบาปให้ใครหลายคนมาแล้ว ภายหลัง "เฉียนหลงฮ่องเต้" กวาดล้างพวกชาวยุทธ์ (นักการเืมืองนอกระบบ) ไปเืื่พื่อความมั่นคงของประเทศ กลับถูกชาวธิเบตมองว่าเลวร้าย จนเมื่อดาไลลามะแห่งธิเบตองค์ที่ ๖ ได้เข้ามาพบเฉียนหลงด้วยตนเอง จึงได้เข้าใจสาเหตุทั้งหมด จึงเป็นเพื่อนกัน พอกลายเป็นเพื่อนกันเท่านั้น ดาไลลามะองค์ที่ ๖ ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากชาวธิเบตเลย จนต้องเร่ร่อนออกไปมรณภาพในบั้นปลายชีวิต แท้แล้ว "ชาวธิเบต" ส่วนหนึ่งก็มาจาก "ชาวยุทธ์ฮั่น" ที่ถ้าเราไปศึกษาดูวิชาที่พระลามะธิเบตฝึกกันแล้ว คุณจะรู้ว่า หลายวิชามาจากวิชายุทธ์ของชาวฮั่น ทั้งสายเส้าหลินและสายลี้ลับอื่นๆ ทั้งสิ้น (พวกชาวยุทธ์แฝงตัวเป็นพระลามะธิเบต พวกนี้ ก็คือ ชาวฮั่น) ในที่สุด ประเทศจีนจึงอ้างเหตุ "ยึดธิเบต" เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนในปัจจุบัน (คุณทราบไหมว่ามีลามะธิเบตรูปหนึ่ง ถือ "ตราราชวงศ์ฮั่น" บางอย่างที่สำคัญมากไว้ในมือ และคนผู้นั้น "มิใช่ดาไลลามะ" ที่แสนจะโด่งดังและอาจไม่ทราบเลยว่า "ลามะธิเบต" ทำไมถูกจีนเล่นงานเพราะเป็นชาวยุทธ์ฮั่นแฝงมานั่นเอง) คนที่ประธานาธิบดีจีนเล่นงานคือ ปันเชนลามะและดาไลลามะนั้น ทั้งสองคน ไม่ได้ถือตราราชวงศ์ฮั่น แต่คนที่มีตราราชวงศ์ฮั่นอยู่ในมือ คือ "ลามะท่านอื่น" และตราบใดที่ยังมีตราราชวงศ์นี้ ก็ยังใช้รวบรวมชาวฮั่นขึ้นเพื่อต่อต้านการปกครองแบบคอมมิวนิสต์จีนได้อีก ซึ่งอันตรายกว่า "เฉินกวงเฉิง" เสียอีก


เรื่องนี้ลับมากๆ บอกมากกว่านี้ไม่ได้ครับ เพราะคนที่มีชีวิตอยู่ หลบซ่อนตัวอยู่ ยังมี ...



วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

ควันหลง "ศึกชิงเมือง" เลือกตั้งผู้ว่า กทม.

เดิมทีผมกะจะประเมิณน้ำใจคนกรุงเทพฯ ดู ว่าจะเอนน้ำหนักไปทางใดมากกว่า ระหว่าง

๑. เห็นประโยชน์ของบ้านเมือง มาก่อน ประโยชน์เฉพาะตัวคนกรุงฯ แล้วเลือกเพื่อคานดุลยภาพอำนาจ
๒. เห็นประโยชน์เฉพาะัตัวคนกรุงฯ มาก่อน ภาพรวมของบ้านเมือง แล้วเลือกคนที่มาจากพรรครัฐบาล

ทว่า เมื่อดูจากคะแนนที่ออกมาแล้ว เหมือนว่าชัดเจนว่าใครแพ้ ใครชนะ ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจในสิ่งที่ได้เห็นว่า "มันจริงหรือไม่?" หรือมีเบื้อหลังกันแน่? อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ เกินไปครับ แม้สิ่งนั้นจะมองเห็นชัดด้วยตาของเราก็ตาม ใครจะไปรู้ว่ามี "มืิอที่มองไม่เห็น" ให้ผลออกมาเป็นเช่นนั้นบ้างหรือไม่?


อีกประการ หากฝ่ายหนึ่งใช้วิธีสกปรก โกงคะแนนเพื่อเอาชนะเสียเลย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็ใช้วิธีสอยให้ร่วง กลับคืนไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น? ก็คงไม่เท่าไรหรอกครับ เพราะไม่กระทบคนทั่วไปมากนัก เป็นการใช้วิธีทางการเมือง จัดการทางการเมือง แต่เท่าที่ดูแล้ว ผู้ว่า กทม. นั้น ไม่ใช่คนของเสื้อเหลือง แต่เป็นคนของพรรคประชาธิปัตถ์ ซึ่งตอนนี้เริ่มชัดเจนแล้วว่าเป็นอีกก๊กหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะคนของเสื้อเหลืองน่าจะเป็น คุณ เสรีพิสุทธิ์ มากกว่า (สุดท้ายกลายเป็นแตกสามฝ่าย เสื้อแดง, เสื้อเหลือง, และเสื้อฟ้า) งานนี้แม้ดันคนของเสื้อเหลือง (เสรีพิสุทธิ์) ขึ้นไม่ได้ ก็ใช้หลัก "ศัตรูของศัตรูคือมิตร" แทน ก็แล้วกัน คือ ดันให้คนเสื้อฟ้าขึ้นไปเป็น ผู้ว่าฯ ดีกว่าให้คนของเสื้อแดงขึ้นครองอำนาจว่าอย่างนั้น เพราะดูคะแนนแล้ว เสื้อฟ้ากับเสื้อแดง คะแนนสูสีกัน (ใน กทม.) ดังนั้น จะดันเสื้อฟ้าขึ้น ก็คงไม่ยากเกินไป ถ้าต้องโกงคะแนนก็ไม่มาก นิดหน่อยเท่านั้นเอง เพราะ "มือที่มองไม่เห็นบางมือ" เป็นอะไรที่ ท่านไม่อาจตรวจสอบได้ และไม่อาจก้าวล่วงได้เลย หากมือนั้นลงมือกระทำแล้ว รับรองว่า "ไร้ร่องรอยและแนบเนียนเป็นที่สุด" ท่านไม่มีทางจับได้แน่นอนว่ามีการโกงหรือไม่? อีกประการ ฝ่ายเสื้อฟ้าอาจไม่ใช่ผู้ลงมือโกงด้วยตนเอง ก็ยิ่งยากที่จะตรวจสอบไปใหญ่ว่า "ตกลงแล้วมีการโกงหรือไม่?" และใครกันที่เป็นผู้ลงมือ


ในอีกมุมหนึ่ง ทำให้เห็นได้ว่า "คนกรุงเทพฯ" แยกแยะไม่ออกระหว่างคนของเสื้อเหลืองจริงๆ กับคนของเสื้อฟ้า ไม่ใช่พวกเดียวกัน แต่คนเสื้อฟ้าใช้ความไม่เข้าใจ และความคลุมครือตรงนี้ ในการค่อยๆ ยึดฐานมั่นในเมืองกรุงเอาไว้ก่อน ก็เท่านั้นเอง ยังมีเกมที่ดูได้ยากอีกมาก ที่ฝ่ายเสื้อฟ้าจะใช้โดยแฝงกายในรูปคนเสื้อเหลืองไปก่อน เป็นก๊กแอบแฝง แนวๆ "แอบอ้่างสถาบัน" นั่นแหละครับ เช่น การแอบอ้างว่าทำเพื่อสถาบัน แล้วจับศัตรูทางการเมือง (เสื้อแดง) เข้าคุก ลงโทษอย่างรุนแรงด้วยข้อหา "หมิ่นสถาบัน" ทำให้คนเสื้อแดงส่วนใหญ่เกลียดสถาบัน และยุให้ตีกันเอง ระหว่างคนเสื้อแดงและสถาบัน จนพังกันไปทั้งสองฝ่าย ทีนี้ละ ความชอบธรรมและคุณธรรมความดีทั้งหมด ก็จะตกแก่คนเสื้อฟ้า ซึ่งประชาชีทั้งหลาย หาได้รู้ไม่เลยว่า "เสื้อฟ้ากับเสื้อเหลือง" เป็นคนละกลุ่มกัน ดังนั้น การประเมิณน้ำใจคนกรุงฯ มีจุดประสงค์เพื่อจะดูว่า "คนกรุงฯ" สมควรดำรงอยู่ในฐานะเมืองหลวงของประเทศต่อไปหรือไม่? ถ้าคนกรุงฯ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่เมืองตัวเอง แต่ยอมเสียสละทำเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อประเทศชาติ แม้ว่าตนจะเสียผลประโยชน์ก็ยอม นั่นหมายความว่า พวกเขาล้วนมีความชอบธรรมที่จะได้ครองความเป็นคนกรุงฯ ต่อไป แต่ถ้าเขาไม่ทำหน้าที่ตรงนี้แล้ว เขาก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะได้เป็น "เมืองหลวง" อีกต่อไป คงไม่อาจที่จะสรุปได้ เอาละ ผมไม่รู้ เพราะสิ่งที่ผมเห็น ผมอาจจะถูกหลอกทั้งหมดเลยก็ได้ อย่าเชื่อตาเนื้อตัวเองมากเกินไป แต่สวรรค์ย่อมรู้ คนไม่อาจปิดบังฟ้าได้ เป็นอันว่าคนกรุงฯ จะรอดหรือไม่ ก็ไม่ใช่ใครเป็นผู้กำหนดแล้ว ฟ้าดินรู้เห็นทั้งหมด คงจัดสรรเอง


เอาละ สุดท้ายนี้ ผมไม่ได้กล่าวหาใครทั้งนั้นครับ มันเป็นแค่ "ความสงสัยเฉพาะบุคคล" เท่านั้นเอง



วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

อเมริกันชนยุึค "ชาตินิยม" กับความหดแคบทางโลกทัศน์ครั้งสำคัญ!

อะไรคือความเป็นอเมริกา? คำตอบน่าจะเป็น "ดินแดนแห่งเสรีภาพของโลก" ไม่ใช่ของชนชาติหรือเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง เพราะหลังจากประเทศอเมริกาเกิดขึ้นแล้วในโลก หลังจากการยึดครองแผ่นดินของชาวอินเดียนแดงไปโดย "กลุ่มผู้อพยพหลากหลายเชื้อชาติ" ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากยุโรป และเพื่อให้เขาเหล่านั้นสามารถอยู่ร่วมอเมริกาด้วยกันได้ ทั้งๆ ที่มาจากหลายประเทศ มีหลายเชื้อชาตินั้นเอง อเมริกาจึงต้องปรับตัวเองไปสู่โลกทัศน์ที่กว้างขึ้นในระดับโลก ด้วยแนวคิดใหม่เป็นประเทศแรกของโลกที่ว่า "อเมริกันคือดินแดนแห่งเสรีภาพของโลก" ที่ไม่จำกัดด้วยเชื้อชาติ, ศาสนา, เพศ หรือสิ่งใดๆ


ทว่า อเมริกันในวันนี้ กำลังหดแคบลงกลายเป็นเพียงประเทศที่ยึดความเป็น "อเมริกันชนอย่างคับแคบ" เช่น การที่ยึดผู้นำประเทศของตนมาก ไม่สนใจผู้นำอื่นๆ ในโลก ใครมาต่อว่าผู้นำของตนเอง ก็จะรู้สึุกไม่ชอบ ไม่อยากฟัง ปิดกั้นไม่เปิดใจรับ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะของ "ชาตินิยม" อย่างหนึ่ง และด้วยกระแสชาตินิยมอเมริกันนี่เอง กลายเป็น "ตัวทำลายความเป็นอเมริกันที่แท้จริง" แต่เิดิม อเมริกันคือโลก คือ ศูนย์รวมของโลก ของคนทั่วโลกทุกเชื้อชาติ, ทุกชนชั้น ฯลฯ เสรีและเปิดกว้าง ไม่ใช่พวกชาตินิยมที่ยึดเอาแต่ประเทศเล็กๆ ของตนเป็นสำคัญ แต่ทำหน้าที่เป็น "ตัวแทนของโลก" เป็นแบบอย่าง เป็นต้นแบบให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้เห็น ได้มีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น ไม่ยึดอยู่แต่เชื้อชาติ, ประเทศชาติ, ผู้นำของตน ฯลฯ นับเป็นครั้งแรกทีเดียว ที่เราได้เห็น "ชาตินิยมอเมริกัน" เกิดขึ้น ภายใต้การนำของ ปธ. บารัค มีเืรื่องน่าตลกบางอย่างให้สังเกตุดูึครับ หลังจากกระแส "กังนัมสไตล์" จากเกาหลี แพร่ไปทั่วโลก อเมริกา ก็เอาบ้าง สร้างกระแสการเต้นแบบอเมริกันชนในเครื่องบิน แล้วก็แสร้งสร้างข่าวให้ดัง ให้เผยแพร่กันไปในยูทูปครับ นี่ก็คือการกระทำที่ไม่พ้นไปจากแนวคิด "ชาตินิยม" เลย ซึ่งสิ่งนี้ ไม่ใช่รากเหง้า ไม่ใช่แนวนโยบายของอเมริกันตั้งแต่ต้นครับ อเมริกันทุกวันนี้ เปลี่ยนไปครับ เมื่อก่อน มันคือ ดินแดนใหม่ ที่มีผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ เข้าไปบุกเบิกและสร้างชาติร่วมกัน คำว่า "อเมริกันจึงไม่ใช่ชาตินิยม แต่เป็นสากลนิยม" มาตั้งแต่เริ่มสร้างชาติ สร้างประเทศแล้ว ทว่า ทุกวันนี้ อเมริกันกลายเป็นชาตินิยม สูญเสีย "ความเป็นสากลนิยม" ลงอย่่างไม่รู้ตัว และสิ่งนี้เองนั่นแหละ ที่จะเป็นตัวทำลายความเ็ป็นอเมริกันลง


ทุกวันนี้ ชาวอเมริกัน ภูมิใจในความเป็นอเมริกัน ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากประเทศใด มีเชื้อชาติใดมาก่อน เคยเป็นคนไทยแล้วไปได้กรีนการ์ดอเมริกัน, เคยเป็นคนจีน แล้วกลายเป็นคนอเมริกัน, เคยเป็นชนผิวดำ แล้วกลายเป็นคนอเมริกัน ฯลฯ อะไรก็แล้วแต่ พวกเขาเหล่านี้ มีค่านิยมและแนวคิดไม่เหมือนอเมริกันชนดั้งเดิมที่แท้จริง ที่มองเห็น "ความเป็นสากลนิยม" ที่จะทำให้คนอเมริกันอยู่ร่วมกันได้ ดังในยุคก่อนๆ มา เขาลืมที่จะมองโลกกว้าง แล้วเห็น "ประธานาธิบดีผิวสี ชื่อ เนลสัน แมนเดลล่า" ว่าดีกว่า ปธ. ผิวสีที่ชื่อ "บารัค โอบามา" อย่างไร? เพียงเพราะเขามีความเป็นชาตินิยมไงละครับ เขาเลยยึดมั่นว่า ปธ. ของฉัน ต้องดีกว่าของใครเสมอ จุดนี้แหละ แตกต่่างอย่างยิ่งจากอเมริกันชนยุคก่อนๆ ที่เขาพร้อมเปิดใจรับและดูว่าทั่วโลกมีอะไรดีๆ บ้างและตัวเองมีข้อเสียอย่างไร เพื่อที่จะนำมาพัฒนาประเทศให้กลายเป็นแบบอย่างแก่โลก ไม่ใช่ประเทศที่ยึดอยู่ใน "ชาตินิยม" ที่คิดเข้าข้างและเห็นด้วยแค่ "ชนชาติอเมริกัน" เพียงเท่านั้น



"แผนลวง" เพื่อหักหลังกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้

เรื่องนี้ซับซ้อนครับ ลึกลับจนอดไม่ได้ที่จะต้องมา "ล้วงลึก" กัน ทำอย่างไรได้ละครับ บล็อกของผมมุ่งเน้นเรื่อง "ลับ ลวง พราง" แล้วเอามาแฉให้ประชาชนได้ตาสว่างกันเสียด้วย ก็เลยต้องทำครับ เอาละ ในเมื่อมันลึกลับและซับซ้อนมากๆ ผมก็จะอธิบายให้ "ง่ายที่สุด" เท่าที่คนไทยที่ไม่เก่งอะไร จะเข้าใจครับ


แผนการหักหลัง มีหลายขั้นตอนดังนี้

๑. หลอกให้แบ่งแยกดินแดน คือ ถ้ารัฐปัตตานีไม่แบ่งแยกดินแดนเป็นแผ่นดินเล็กๆ ยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยอยู่ ก็จะกลืนได้ยากครับ เพราะถ้าจะกลืนก็ต้องต่อสู้กับกองทัพไทยเสียก่อน ประเทศไทยก็ใหญ่และมีคนมาก ทหารย่อมไม่น้อย ทั้งยังมีพันธมิตรกับประเทศกลุ่มทุนนิยมอีกด้วย ถ้าประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตยเมื่อไร ก็จะกระทบต่ออเมริกาและประเทศกลุ่มทุนนิยมอย่างรุนแรง เพราะไทยเป็นดั่งช่องทางของทุนนิยมโลกที่จะเข้าถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีน ดังนั้น จึงต้องหลอกให้ทำ การแบ่งแยกดินแดนก่อน เมื่อรัฐปัตตานีเล็กลงแล้ว ก็จะไม่มีกองทัพที่ยิ่งใหญ่พอจะดูแลตัวเองได้อีก

๒. หลอกให้แย่งกันเป็นใหญ่ คือ หลังจากแบ่งแยกดินแดนได้แล้ว ก็หลอกให้แต่ละกลุ่มแย่งกันขึ้นเป็นใหญ่ ขั้นตอนนี้ จะไม่ต่างจากปากีสถาน ซึ่งแบ่งแยกดินแดนจากอินเดียโดยอาศัยชาวมุสลิมเข้าไปอยู่รวมกันครับ แต่ทุกวันนี้ ปากีสถานก็ไม่เคยมีความสงบสุขสมคำว่า "อิสลาม" เสียที เพราะเกิดการแก่งแย่งกันภายในครับ รัฐปัตตานีหลังจากแบ่งแยกดินแดนแล้ว ก็จะตกอยู่ในสภาพนี้ ยิงกันทุกวัน ไม่มีจุดจบครับ เพราะอะไร? เพราะแต่ละกลุ่มต่างก็มีอาวุธสงครามของตัวเอง แต่ละกลุ่มก็ต้องการอำนาจเพื่อเป็นใหญ่ แต่ละกลุ่มไม่มีกลุ่มไหนเลยที่เป็นตัวกลาง ไม่มีรัฐบาลดูแล ไม่มีใครเจรจาให้สงบศึกได้เลย นั่นเอง

๓. สร้างความชอบธรรมก้าวก่าย คือ ก่อนที่จะมีการเข้าไปก้าวก่ายกิจการภายในของรัฐปัตตานี ก็จะมีการสร้างความชอบธรรมในการเข้าไปก้าวก่ายก่อนคือ หลังจากยุยงให้แต่ละกลุ่มแย่งชิงอำนาจกันจนไม่อาจหาข้อสรุปหรือยุติลงได้แล้ว ก็จะทำตัวเป็นฮีโร่ เป็นตัวกลาง อาสาเข้าไปเจรจากับแต่ละกลุ่ม เพื่อให้ยุติเหตุความรุนแรงจากการแย่งชิงอำนาจกันนั้นๆ จุดนี้เอง ก็จะเกิดการเปิดช่องให้ประเทศที่ใหญ่กว่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของรัฐปัตตานีได้ จากนั้น ก็จะส่ง "หุ่นเชิด" ของตัวเองขึ้นครองอำนาจต่อไป

๔. การปั้นหุ่นเชิดเป็นผู้นำคนแรก คือ การใช้คนในรัฐปัตตานีเองที่ยอมก้มจำนนและยอมเป็นหุ่นเชิดให้ประเทศที่ใหญ่กว่าในการกลืนอย่างช้าๆ เมื่อได้หุ่นเชิดตัวนี้แล้ว ก็จะค่อยๆ ปั้นให้เขาได้เป็นผู้นำแห่งรัฐปัตตานีคนแรก สร้างการยอมรับแก่ประชาชนทั่วไปด้วยความเชื่อทางศาสนาเป็นต้น เช่น สร้างเรื่องราวว่าเขาคนนี้คือ ผู้ที่สวรรค์ส่งมาปกครองประเทศ เป็นต้น จากนั้น รัฐปัตตานีก็จะค่อยๆ ตกเป็นเมืองขึ้นโดยพฤตินัย โดยที่ประชาชนไม่รู้เท่าทันว่าผู้นำประเทศของเขา คือ "หุ่นเชิด" ของประเทศที่ใหญ่กว่านั้นๆ

๕. ครอบงำและกลืินกินสมบูรณ์ คือ หลังจากประชาชนได้ยอมรับ "ผู้นำหุ่นเชิด" แล้ว ก็จะเริ่มครอบงำให้ประชาชนโง่ลง ยอมจำนนโดยง่าย จนถึงขั้นยอมเชื่อไปหมด ชี้ให้หันไปซ้่่าย ไปขวา ได้หมด เมื่อถึงขั้นนี้แล้วก็จะดำเนินการขั้นตอนสุดท้ายคือ "การกลืนกินอย่างสมบูรณ์" เช่น การแสร้งทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะวิกฤติ จนต้องยอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่ใหญ่กว่านั้นๆ (ที่บงการอยู่เบื้องหลังผู้นำรัฐปัตตานีนั้น)  จุดนี้จะเหมือนประวัติศาสตร์ของเกาหลีในยุคที่ยอมเป็นเมืองขึ้นของจีน (ฮ่องเต้กลายเป็นอ๋องของจีน)

เอาละ นี่คือ แผนการ ๕ ขั้น ในการหลอก "เหล่าผู้ก่อการแบ่งแยกดินแดน" ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อหักหลังทีหลัง แต่จะต้องใช้เวลานานพอควรนะครับ มันเป็นแผนที่เดินเกมยาวทีเดียว ไม่จบง่ายๆ แต่ก็ได้ผลครับ เพราะเพียงแ่ค่เอาศาสนาอิสลามมาอ้าง ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว เหตุผลจะอธิบายก็ไม่มี เชื่อเลยครับ ก็จะสามารถหลอกให้พวกเขาก่อความไม่สงบได้แล้ว ปล่อยให้ฆ่ากันเองไปมา (คนรู้จักกันทั้งนั้น แต่กลับต้่องมาฆ่ากันเอง) สุดท้าย คนที่วางแผนอยู่เบื้องหลัง ก็นอนรอ "กลืนต่อ" อย่างสบายๆ


อนึ่ง ขณะนี้แผนการได้ดำเนินอยู่ในขั้นตอนที่ ๑ จนกว่าจะแบ่งแยกดินแดนสำเร็จก็จะดำเินินการต่อไปยังขั้นตอนที่ ๒ ได้ ช่วงนี้ก็จะต้องสร้างสัมพันธไมตรีปลอมๆ กับประเทศไทยไปก่อนแล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสามจังหวัดชายแดนใต้ คือ หน้าซื่อๆ ใสๆ ไว้ว่าฉันไม่รู้นะ ฉันไม่เกี่ยวอะไรเลยอ่ะ แบบนั้น จากนั้นก็ยืมมือคนอื่นเช่น กลุ่มค้าอาวุธ, ค้าน้ำมันเถื่อน, ค้ายาเสพติด ฯลฯ ลอบส่งเงิน, อาวุธ, ยาเสพติด  และทุกๆ อย่างที่ำจำเป็นหนุนเข้าไปเสริมความเชื่อและความหลงในการแบ่งแยกดินแดนต่อไปหล่อเลี้ยงอุดมการณ์การแบ่งแยกดินแดนต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จครับ โดยเขาจะไม่สนับสนุนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียวครับ จุดนี้คือจุดสำคัญให้สังเกตุครับ ถ้าเขาจริงใจต่อกลุ่มก่อการฯ จริงๆ เขาจะต้องให้การสนับสนุนเพีัยงกลุ่มเดียวสิครับ เมื่อแบ่งแยกดินแดนแล้วจึงจะได้เป็นผู้นำประเทศอย่างแน่นอน แต่นี่เขาไม่ไำด้ต้องการให้จบลงแบบสงบสุขเช่นนั้น เขาต้องการให้มีหลายๆ กลุ่ม เมื่อแบ่งแยกดินแดนเสร็จแล้วก็แย่งชิงอำนาจกันต่อ เพื่อให้เข้าสู่แผนการขั้นต่อไป คือ "สร้างความชอบธรรมในการก้าวก่้าย" นั่นเอง ถ้ายังเชื่อเขาเพียงเพราะเขามีศาสนาเดียวกันกับเรา ก็ลองดูง่ายๆ ครับ ชาวมุสลิมที่ตายเพราะคนมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่มีหรือไร? ไม่จริงหรอกครับ คนมุสลิมก็ถูกผู้ก่อการร้ายฆ่าตายได้เช่นกัน


สุดท้ายนี้ ใครอยากจะเป็น "ควาย" ให้เขาหลอกไปตายต่อไป ก็เชิญครับ!