วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

ควันหลง "ศึกชิงเมือง" เลือกตั้งผู้ว่า กทม.

เดิมทีผมกะจะประเมิณน้ำใจคนกรุงเทพฯ ดู ว่าจะเอนน้ำหนักไปทางใดมากกว่า ระหว่าง

๑. เห็นประโยชน์ของบ้านเมือง มาก่อน ประโยชน์เฉพาะตัวคนกรุงฯ แล้วเลือกเพื่อคานดุลยภาพอำนาจ
๒. เห็นประโยชน์เฉพาะัตัวคนกรุงฯ มาก่อน ภาพรวมของบ้านเมือง แล้วเลือกคนที่มาจากพรรครัฐบาล

ทว่า เมื่อดูจากคะแนนที่ออกมาแล้ว เหมือนว่าชัดเจนว่าใครแพ้ ใครชนะ ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจในสิ่งที่ได้เห็นว่า "มันจริงหรือไม่?" หรือมีเบื้อหลังกันแน่? อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ เกินไปครับ แม้สิ่งนั้นจะมองเห็นชัดด้วยตาของเราก็ตาม ใครจะไปรู้ว่ามี "มืิอที่มองไม่เห็น" ให้ผลออกมาเป็นเช่นนั้นบ้างหรือไม่?


อีกประการ หากฝ่ายหนึ่งใช้วิธีสกปรก โกงคะแนนเพื่อเอาชนะเสียเลย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็ใช้วิธีสอยให้ร่วง กลับคืนไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น? ก็คงไม่เท่าไรหรอกครับ เพราะไม่กระทบคนทั่วไปมากนัก เป็นการใช้วิธีทางการเมือง จัดการทางการเมือง แต่เท่าที่ดูแล้ว ผู้ว่า กทม. นั้น ไม่ใช่คนของเสื้อเหลือง แต่เป็นคนของพรรคประชาธิปัตถ์ ซึ่งตอนนี้เริ่มชัดเจนแล้วว่าเป็นอีกก๊กหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะคนของเสื้อเหลืองน่าจะเป็น คุณ เสรีพิสุทธิ์ มากกว่า (สุดท้ายกลายเป็นแตกสามฝ่าย เสื้อแดง, เสื้อเหลือง, และเสื้อฟ้า) งานนี้แม้ดันคนของเสื้อเหลือง (เสรีพิสุทธิ์) ขึ้นไม่ได้ ก็ใช้หลัก "ศัตรูของศัตรูคือมิตร" แทน ก็แล้วกัน คือ ดันให้คนเสื้อฟ้าขึ้นไปเป็น ผู้ว่าฯ ดีกว่าให้คนของเสื้อแดงขึ้นครองอำนาจว่าอย่างนั้น เพราะดูคะแนนแล้ว เสื้อฟ้ากับเสื้อแดง คะแนนสูสีกัน (ใน กทม.) ดังนั้น จะดันเสื้อฟ้าขึ้น ก็คงไม่ยากเกินไป ถ้าต้องโกงคะแนนก็ไม่มาก นิดหน่อยเท่านั้นเอง เพราะ "มือที่มองไม่เห็นบางมือ" เป็นอะไรที่ ท่านไม่อาจตรวจสอบได้ และไม่อาจก้าวล่วงได้เลย หากมือนั้นลงมือกระทำแล้ว รับรองว่า "ไร้ร่องรอยและแนบเนียนเป็นที่สุด" ท่านไม่มีทางจับได้แน่นอนว่ามีการโกงหรือไม่? อีกประการ ฝ่ายเสื้อฟ้าอาจไม่ใช่ผู้ลงมือโกงด้วยตนเอง ก็ยิ่งยากที่จะตรวจสอบไปใหญ่ว่า "ตกลงแล้วมีการโกงหรือไม่?" และใครกันที่เป็นผู้ลงมือ


ในอีกมุมหนึ่ง ทำให้เห็นได้ว่า "คนกรุงเทพฯ" แยกแยะไม่ออกระหว่างคนของเสื้อเหลืองจริงๆ กับคนของเสื้อฟ้า ไม่ใช่พวกเดียวกัน แต่คนเสื้อฟ้าใช้ความไม่เข้าใจ และความคลุมครือตรงนี้ ในการค่อยๆ ยึดฐานมั่นในเมืองกรุงเอาไว้ก่อน ก็เท่านั้นเอง ยังมีเกมที่ดูได้ยากอีกมาก ที่ฝ่ายเสื้อฟ้าจะใช้โดยแฝงกายในรูปคนเสื้อเหลืองไปก่อน เป็นก๊กแอบแฝง แนวๆ "แอบอ้่างสถาบัน" นั่นแหละครับ เช่น การแอบอ้างว่าทำเพื่อสถาบัน แล้วจับศัตรูทางการเมือง (เสื้อแดง) เข้าคุก ลงโทษอย่างรุนแรงด้วยข้อหา "หมิ่นสถาบัน" ทำให้คนเสื้อแดงส่วนใหญ่เกลียดสถาบัน และยุให้ตีกันเอง ระหว่างคนเสื้อแดงและสถาบัน จนพังกันไปทั้งสองฝ่าย ทีนี้ละ ความชอบธรรมและคุณธรรมความดีทั้งหมด ก็จะตกแก่คนเสื้อฟ้า ซึ่งประชาชีทั้งหลาย หาได้รู้ไม่เลยว่า "เสื้อฟ้ากับเสื้อเหลือง" เป็นคนละกลุ่มกัน ดังนั้น การประเมิณน้ำใจคนกรุงฯ มีจุดประสงค์เพื่อจะดูว่า "คนกรุงฯ" สมควรดำรงอยู่ในฐานะเมืองหลวงของประเทศต่อไปหรือไม่? ถ้าคนกรุงฯ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่เมืองตัวเอง แต่ยอมเสียสละทำเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อประเทศชาติ แม้ว่าตนจะเสียผลประโยชน์ก็ยอม นั่นหมายความว่า พวกเขาล้วนมีความชอบธรรมที่จะได้ครองความเป็นคนกรุงฯ ต่อไป แต่ถ้าเขาไม่ทำหน้าที่ตรงนี้แล้ว เขาก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะได้เป็น "เมืองหลวง" อีกต่อไป คงไม่อาจที่จะสรุปได้ เอาละ ผมไม่รู้ เพราะสิ่งที่ผมเห็น ผมอาจจะถูกหลอกทั้งหมดเลยก็ได้ อย่าเชื่อตาเนื้อตัวเองมากเกินไป แต่สวรรค์ย่อมรู้ คนไม่อาจปิดบังฟ้าได้ เป็นอันว่าคนกรุงฯ จะรอดหรือไม่ ก็ไม่ใช่ใครเป็นผู้กำหนดแล้ว ฟ้าดินรู้เห็นทั้งหมด คงจัดสรรเอง


เอาละ สุดท้ายนี้ ผมไม่ได้กล่าวหาใครทั้งนั้นครับ มันเป็นแค่ "ความสงสัยเฉพาะบุคคล" เท่านั้นเอง



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น