Maya time



ประวัติปฏิทินมายา ทำนายวันสิ้นโลก โลกแตกจริงหรือไม่


ใกล้ถึงวันที่ 21 – 12 – 2012 ตามที่ ปฏิทินมายา ได้ทำนายวันสิ้นโลก แล้วสินะ!! เพื่อนๆว่า โลกจะแตกจริงหรือไม่? .. เมื่อมีคนมากมายเกือบทั่วโลกที่ตอนนี้กำลังพูดถึงประเด็น ทำนายวันสิ้นโลก วันโลกแตก ของชาวมายา ทำให้teen.mthai สงสัยเอามากๆว่า ปฏิทินมายารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง? วิธีใช้เป็นยังไง? ชาวมายานับและทำนายว่าโลกจะแตกในปี 2012 เพราะอะไร ทำไมคนถึงเชื่อกันมากมายขนาดนี้ teen.mthai ก็เลยหาข้อมูลเกี่ยวกับ  ประวัติปฏิทินมายา มาให้เพื่อนๆอ่านกันคะ รวมถึงทฤษฏีโลกแตกอื่นๆด้วย อาจจะให้ความรู้ ความเข้าใจกับเพื่อนๆไม่มากก็น้อยนะคะ ^^
ข้อมูลโดย teen.mthai
อ้างอิง djingmarket.com,dmc.tv,manager.com,blogspot.com

ประวัติปฏิทินมายา ทำนายวันสิ้นโลก โลกแตกจริงหรือไม่

ประวัติปฏิทินมายา  
  • ปฏิทินของอารยาธรรมอเมริกากลาง หรือที่เรียกกันว่า ปฏิทินชาวมายา เริ่มต้นมีมาตั้งแต่ประมาณ 2300 ปีก่อศริสตกาล โดยลักษณะของปฏิทินประกอบด้วยวงรอบภายในวงรอบซ้อนกันหลายชั้น เชื่อว่าจุดมุ่งหมายหลักๆของปฏิทินในยุคแรกๆน่าจะใช้ในการทำนายทายทัก วันดี-วันร้าย มากกว่าใช้เพื่อบอกวัน-เวลา
  • ตั้งแต่ 2300 ก่อนศริสตกาลเป็นต้นมา ชาวมายาใช้ระบบ 260 วัน ปฏิทินในยุคนั้นใช้ระบบที่เรียกว่า โซลคิน(Tzolkin) ซึ่งเป็นระบบที่ผสมระหว่างตัวเลขและชื่อวัน โดยตัวเลขวันมี 13 เลข และชื่อวันมี 20 ชื่อ เมื่อนำมารวมกันจะได้เป็นวงรอบที่ประกอบเป็น 260 วัน
ปฏิทินมายา : ชื่อวัน 20 ชื่อ
  • คือ เรียกทั้งเลขวันและชื่อวันเรียงกันไปอย่างอิสระ เช่น 1-imix , 2-ik , 3-Akbal เรียงกันไปเรื่อยๆ (เหมือนที่เราเรียก 1-อาทิตย์ , 2-จันทร์ , 3-อังคาร)
  • แต่เนื่องจากจำนวนวันในหนึ่งปีมีมากกว่า 260 วัน (ก็คือ 365 วันในปัจจุบันนั่นแหละ) ปฏิทินที่มีเพียงแค่ 260 วัน จึงใช้อะไรไม่ได้มากกว่า การทำนาย ทายทักวันดี-วันไม่ดี
  • หลังจาก 1492 ปีก่อนศริสตกาล ชาวมายาใช้ปฏิทินอีกระบบหนึ่งที่สอดคล้องกับฤดูกาลมากกว่าคือ ปฏิทินระบบ ฮาบ (Haab) โดยที่หนึ่งรอบวงจะมี 360 วัน ถึงแม้ปฏิทินระบบจะใช้ เลขวัน-ชื่อเดือน คล้ายกับปฏิทินระบบ โซลคิน แต่จะใช้วิธีนับที่แตกต่างกัน
การนับของ ปฏิทินมายา ระบบ โซลคิน (Tzolkin) : ตัวเลขวันมี 13 เลข และชื่อวันมี 20 ชื่อ
ปฏิทินระบบฮาบ (Haab) คืออะไร?
  • คือ ปฏิทินระบบ ฮาบ (Haab) นั้นจะประกอบไปด้วยเลขวัน 20 เลข และชื่อเดือน 18 ชื่อ แต่เนื่องจาก 1 ปีมี 365 วัน ชาวโอเมค (Olmec) จึงเพิ่มเดือนพิเศษอีกหนึ่งเดือนที่มีเพียงแค่ 5 วัน โดยถือเป็นช่วงวันสิ้นปี โดยชื่อเดือนทั้ง 19 ชื่อมีดังนี้
  • วิธีการนับวันจะนับเลขเรียงกันไปเรื่อยๆ พอถึงเลข 18 ก็ขึ้นเดือนใหม่ (เช่นเดียวกับที่เรานับ 29 พ.ค. , 30 พ.ค. , 31 พ.ค. , 1 มิ.ย.)
  • อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบโซลคินถูกใช้มานานเป็นพันปี จึงมีความจำเป็นต้องใช้ต่อไป โดยใช้เป็นหลักทำนายทายทัก และเมื่อนำมารวมกับระบบฮาบที่ใช้บอกฤดูกาล ก็จะเขียนเป็นรูปปฏิทินได้ภาพข้างล่างดังนี้ ซึ่งปฏิทินในระบบโซลคิน – ฮาบ นี้จะสามารถใช้ได้ถึง 13 ปี โดยที่ไม่มีวันที่ ตัวเลข และชื่อซ้ำกันเลย
กำหนดใช้ปฏิทินแบบนับต่อเนื่องเป็นครั้งแรก ใช้ระบบ วัน – เดือน – ปี
  • ในปี 747 ก่อนศริสตกาล ชาวโอเมค ได้กำหนดใช้ปฏิทินแบบนับต่อเนื่องเป็นครั้งแรก โดยใช้ระบบ วัน (Kin) , เดือน (Uinal) , ปี (Tun) , รอบยี่สิบปี (Katun) และรอบสี่ร้อยปี (Baktun) และกำหนดให้วันหนึ่งของปีนั้นเท่ากับ 6.0.0.0.0 (6 Baktun,0 Katun,0 Tun,0 Uinal,0 Kin) โดยจะตกวงที่ 11-Ahau 8-Uo
  • ซึ่งปฏิทินแบบนับต่อเนื่องนี้จะไม่รวมวันสิ้นปีเข้าไปด้วย และถ้าคำนวณย้อนกลับมา วันที่ 0 (เริ่มต้นปฏิทิน) จะตกในปี 3114 ก่อนศริสตกาล เมื่อเกิดระบบนับวันต่อเนื่อง ก็จะมีการผูกเรื่องราวต่างๆในบันทึก เข้ากับระบบนับวันแบบใหม่นี้
  • ชาวมายาถือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนวันเริ่มยุค (ปี 3114 BC) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคก่อนหน้านี้ และสิ้นสุดลงในวันที่ 13.0.0.0.0 หรือวันสุดท้ายของยุคที่สอง ตามตำนานบันทึกการสร้างโลก (Popol vuh) และชาวมายาถือว่าปัจจุบันนี้อยู่ในยุคที่สาม
  • ชาวมายาถือว่า 1 ยุค มี 13 Baktun คาดว่าเนื่องจากระบบปฏิทินโซลคิน -ฮาบ จะมีการตั้งชื่อ Baktun ตามวันสุดท้ายของปีก่อนหน้าจามระบบโซลคิน ดังนั้นใน 1 ยุค จะมี Baktun ที่มีชื่อไม่ซ้ำกันได้เพียง 13 ชื่อเท่านั้น เมื่อสิ้นสุด 13 Baktun กลุ่มที่ยังคงใช้ปฏิทินแบบนับต่อเนื่องในอเมริกากลางไม่ได้คิดว่าเป็น วันสิ้นสุดของโลก เช่นเดียวกับปี 3114 BC ไม่ใช่เป็นวันสร้างโลก แต่เป็นวันที่ขึ้นยุคใหม่
  • สำหรับผู้ที่ศึกษาอารยธรรมมายา ก็กำลังตกลงกันว่าหลังจากหมดหน่วย Baktun แล้วจะนับวันต่ออย่างไร? อาจจะขึ้นปฏิทินใหม่แล้วเพิ่มหน่วย Piktun อีกหนึ่งหน่วยเป็น 1.0.0.0.0.0
  • ถ้าใช้หน่วย Piktun หมดแล้ว ก็ยังมีหน่วยรองรับอีก คือ Kalabtun , Kinchiltun และ Alautun
โดยสรุปแล้ว ปฏิทินมายา ก็ยังไม่ได้เป็นการทำนายว่า เป็นวันสิ้นโลก แต่!! เป็นแค่การเริ่มนับวงรอบใหม่ เช่นเดียวกับการขึ้นศตวรรษใหม่ปี 2000 ที่ไม่มีเหตุการณ์โลกแตกเกิดขึ้นแต่อย่างใด
  • ปฏิทินของชาวมายานั้น มีผลของการคำนวณทางดาราศาสตร์ ที่แม่นยำที่สุดยิ่งกว่าปฏิทินใดๆ
  • การคำนวณเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ตามที่ บันทึกไว้นั้น (ชาวมายามีปฏิทินหลักหนึ่งปฏิทิน และมีปฏิทินที่คำนวณ เหตุการณ์ทางดาราศาสตร์อีก 22 ปฏิทิน) มีความแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ และยังไม่เคยปรากฏว่าผิดไปจากความจริง หรือแตกต่างไปจากการคำนวณ ของนักดาราศาสตร์ในเวลาปัจจุบันแม้แต่รายการเดียว
  • ดังรายละเอียดบาง อย่างของปฏิทินของชาวมายาที่เอามาลงเพื่อให้ผู้อ่านสนใจจะได้พิจารณา และอาจติดตามต่อไปจากเอกสารอ้างอิงไว้ที่ท้ายของบทความนี้
  • ชาวมายาสามารถคำนวณเวลาของการโคจรของดาวเคราะห์วิ่ง รอบดวงอาทิตย์ ที่ชาวมายารู้แต่แรกว่าเป็นแกนกลางของระบบสุริยะ ระบบที่เป็นเพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่งของแขน (arm) หนึ่งของกาแล็กซีที่ชาว มายาบอกว่ามีแกนที่เป็นดวงอาทิตย์ศูนย์กลางอีกดวงหนึ่ง (sun alcione เป็นดาวฤกษ์ในกลุ่มไพลเอดส์)
  • ปฏิทินของชาวมายาระบุว่า ดาวศุกร์ใช้เวลา เดินทางไปรอบดวงอาทิตย์ 584 วัน ซึ่งเท่ากับที่เป็นเวลาที่เรารู้กันทุกวันนี้
  • หรือบันทึกว่าโลกใช้เวลาเดินทางรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบหรือหนึ่งปีเท่ากับ 365.2420 วัน ซึ่งตัวเลขที่แท้จริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันคือ 365.2422 วัน
  • ปฏิทินมายายังระบุว่า ระบบสุริยะมีวัฏจักรของการเคลื่อนที่ไออยู่ใน ระนาบเดียวกัน (ecliptic) กับระนาบของแกนของแขนกาแล็กซีที่กล่าวมา ข้างต้นในทุกๆ 26,000 ปี โดยมีครึ่งหนึ่งของวัฏจักร จะมีวันที่เรียกว่า อะควิน็อกซ์ หรือวันที่มีเวลากลางวันเท่ากับกลางคืนเปลี่ยนไป (เช่นวันที่23 กันยายน คือวันอะควิน็อกซ์ของฤดูใบไม้ผลิของปฏิทินของปัจจุบัน) ระบบสุริยะ (รวมทั้งโลกและดาวเคราะห์ทั้งหลาย) จะเข้าสู่ระนาบเช่นนั้นใน เดือนธันวาคม ปี 2012 นี้
  • นอกจากนี้ ชาวมายา ยังได้ทำนายว่า หลังจากปี 2012 มีสี่ประการที่จะเกิดขึ้นคือ..
    • 1.มนุษยชาติจะก้าวล่วงเทคโนโลยีที่เราใช้และรู้จักในขณะนี้ แทบทั้งหมด
      2.มนุษยชาติจะก้าวล่วงรูปแบบของเวลาและเงินในรูปที่ใช้กัน ในขณะนี้
      3.เราจะผ่านเข้าสู่มิติที่ห้าอันเป็นมิติจิตวิญญาณ – จากมิติที่สี่ – วิกฤติที่เจ็บปวด
      4.ระนาบของระบบสุริยะจะอยู่ในระนาบเดียวกับระนาบของ กาแล็กซี
ภาพแกะสลักบนก้อนหินของชาวมายาบอกเล่าเรื่องราวชีวิตและการเมือง
(ไลฟ์ไซน์/David Stuart – ค้นพบ ปฏิทินมายา )
นักวิจัยพบอักษรชาวมายาที่ชี้ “วันสิ้นสุด” ของปฏิทินมายามีอยู่จริง แต่นักวิจัยชี้แจงว่า ความเชื่อของชาวมายาโบราณต่างจากความเชื่อของคนยุคนี้ เพราะวันดังกล่าวไม่ได้ชี้ถึงวันสิ้นสุดของโลก
  • มาร์เซลโล คานูโต (Marcello Canuto) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยอเมริกากลาง (Middle America Research Institute) ของมหาวิทยาลัยทูเลน (Tulane University) ได้กล่าวว่า
  •  “อักษรเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองโบราณมากกว่าจะเป็นเรื่องคำพยากรณ์ หลักฐานใหม่นี้ชี้ว่า วันของรอบที่ 13 บักตุน (13 bak’tun) นั้นเป็นเหตุการณ์ในรอบปฏิทินที่สำคัญ ซึ่งชาวมายาโบราณจะฉลองวันดังกล่าว ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้สร้างคำพยากรณ์ถึงหายนะเมื่อถึงวันดังกล่าวแต่อย่างใด”
  • ทั้งนี้ ไลฟ์ไซน์ (ค้นพบ ปฏิทินมายา ) อธิบายไว้ว่า ปฏิทินรอบยาว (Long Count calendar) ของชาวมายานั้นแบ่งเป็นบักตุน (bak’tuns) หรือรอบ 144,000 วัน ที่เริ่มจากวันสร้างโลก (creation date) ของชาวมายา และวันเหมายัน (winter solstice) ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. ของปี 2012 คือวันของรอบบักตุนที่ 13 ซึ่งชาวมายากำหนดให้เป็นการครบรอบการสร้างโลก
  •  หากแต่คนยุคใหม่กลับเชื่อว่าวันดังกล่าวคือวันสิ้นโลก ทั้งที่มีหลักฐานอ้างอิงทางโบราณคดีเพียงชิ้นเดียวที่ระบุถึงปี 2012 นี้ นั่นคือข้อความที่จารึกบนอนุสาวรีย์ ณ เมืองทอร์ทูกัวโร (Tortuguero) เม็กซิโก ที่มีอายุย้อนไปประมาณปีคริสตศักราช 669
รายละเอียดในหินบันไดขั้นที่ 5 ที่บอกเล่าเรื่องราวทางการเมืองของชาวมายาโบราณ
นักวิจัยขุดพบบันไดที่มีการสลักเรื่องราวของชาวมายาโบราณ
นักวิจัยขุดพบหลักฐานจากการสำรวจซากปรักหักพังในเมืองลา โคโรนา (La Corona) ของกัวเตมาลา ซึ่งบนก้อนหินบันไดทางเดินที่มีการแกะสลักอักขระโบราณนั้น นักโบราณคดีได้เห็นภาพการฉลองถึงการเสด็จมาเยือนของกษัตริย์ ยักนูม ยิชแอก คาห์ก (Yuknoom Yich’aak K’ahk) แห่งเมืองกาลักมุล (Calakmul) ซึ่งเป็นผู้ปกครองของชาวมายาที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคนั้น
  • กษัตริย์ ยักนูม ยังทรงเป็นที่รู้จักในอีกชื่อว่า “จากัวร์ พาว์” (Jaguar Paw) และนักประวัติศาสตร์มีข้อสันนิษฐานมานานแล้วว่ากษัตริย์จากัวร์ พาว์นั้นสิ้นพระชนม์หรือทรงถูกจับในการสู้รบจากการโจมตีของอาณาจักรทิกอล (Kingdom of Tikal) ปีคริสตศักราช 695 แต่อักขระที่จารึกไว้นั้นชี้ว่าพวกเขาสันนิษฐานผิด
  • ในความเป็นจริงพระองค์เสด็จเยือนลาโคโรนาในปีคริสตศักราช 696 ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเป็นความพยายามในการพยุงความจงรักภักดีของหมู่ประชากรที่รับรู้ความพ่ายแพ้ของพระองค์ในการสู้รบก่อนหน้านั้น 4 ปี และในช่วงหนึ่งของการประพาสต้นพระองค์ทรงเรียกขานพระองค์เองว่า “พระเจ้ากาตุนที่ 13” (13 k’atun lord) ดังปรากฎในอักขระที่เพิ่งค้นพบ
  • กาตุนยังเป็นหน่วยย่อยของปฏิทินมายาซึ่งมีรอบเวลา 7,200 วันหรือประมาณ 20 ปี ซึ่งกษัตริย์จากัวร์ พาว์ทรงครองตำแหน่งถึงปลายกาตุนที่ 13 ในปีคริสตศักราช 692 ซึ่งจะตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. ที่กำลังจะมาถึง และเพื่อผูกโยงพระองค์และรัชสมัยของพระองค์สู่อนาคต พระองค์จึงทรงเชื่อมโยงรัชสมัยของพระองค์กับรอบบักตุนที่ 13 รอบถัดไป ซึ่งก็คือวันที่ 21 ธ.ค. 2012 นั่นเอง
จเซลีน พอนซ์ (Jocelyne Ponce) นักศึกษาโบราณคดีของมหาวิทยาลัยเดลวอลล์เดอกัวเตมาลา 
เป็นผู้พบบันไดที่มีการสลักเรื่องราวของชาวมายาโบราณ
  • คานูโต (ทีมขุดสำรวจ-ทีมนักโบราณคดียุคใหม่) กล่าว “สิ่งที่อักขระนี้บอกแก่เราคือช่วงเวลาแห่งวิกฤต ซึ่งชาวมายาโบราณใช้ปฏิทินของพวกเขาเพื่อสานความต่อเนื่องและความยั่งยืนมากกว่าจะเป็นการทำนายวันโลกาวินาศ”
  • ที่เมืองลา โคโรนานั้นเป็นแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีที่ถูกลักลอบขโมยของมากที่แห่งหนึ่ง และเพิ่งได้รับการสำรวจโดยทีมนักโบราณคดียุคใหม่ได้ประมาณ 15 ปีเท่านั้น โดยคานูโตยังมี โทมัส บาร์เรนทอส คิว (Tomas Barrientos Q.) จากมหาวิทยาลัย เดล วาลล์ เดอ กัวเตมาลา (Universidad del Valle de Guatemala) ร่วมทีมขุดสำรวจ
  • ทีมวิจัยได้ขุดพบหินบันไดขั้นแรกเมื่อปี 2010 ใกล้ๆ กับสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำลายอย่างหนักจากนักขโมยโบราณวัตถุ หัวขโมยพลาดบันได12 ขั้นนี้ไป แต่ก็เหลือตัวอย่างหินในปราสาทดั้งเดิมไว้เพียงเล็กน้อย ทีมวิจัยยังพบหินอีก 10 ก้อนจากขั้นบันไดที่ถูกหัวขโมยเคลื่อนย้ายแต่ถูกทิ้งไว้ โดยสรุปทีมวิจัยพบหิน 22 ก้อนที่มีอักขระโบราณ 264 ตัว ซึ่งบ่งชี้ถึงประวัติศาสตร์ด้านการเมืองของลา โคโรนา และส่งผลให้โบราณวัตถุเหล่านี้เป็นอักษรมายาโบราณที่ยาวที่สุดในกัวเตมาลา

คำทำนายวันสิ้นโลก โลกแตกจริงหรือไม่?
เนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ทำให้ยืนยันได้ว่า ปฏิทินมายา ก็ยังไม่ได้เป็นการทำนายว่า เป็นวันสิ้นโลก แต่!! เป็นแค่การเริ่มนับวงรอบใหม่ หรือหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เท่านั้น ซึ่งเคยมี นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมนี ได้ออกมาบอกเช่นเดียวกันว่า ชาวตะวันตกถอดความปฏิทินชนเผ่ามายาผิด
  • ที่เคยมีข่าวว่า ข้อความจารึกที่วัดของชนเผ่ามายา ในทอร์ทูกัวโร ซึ่งเคยถูกตีความไว้ว่า 2012 จะเป็นปีที่โลกถึงวันดับสูญ จากมหาภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ หลุมดำดูดกลืน ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์พุ่งชน น้ำท่วมโลก หรือะไรก็ตาม
  • แต่ สเวน โกรเนเมเยอร์ นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมนี จากมหาวิทยาลัยลาโทรบ ในออสเตรเลีย เผยว่า “มีความเป็นไปได้สูงว่า การถอดความนั้นมีความคลาดเคลื่อน อาจจะไม่ใช่คำทำนายวันโลกาวินาศ แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่” ส่วนการถอดความวันสิ้นโลก เป็นการแปลความหมายแบบผิดๆ ของชาวตะวันตก ซึ่งก่อให้เกิดความตื่นกลัวกันไปเอง
นอกจากนี้ ยังมีคำทำนาย ตาม ทฤษฎี ต่างๆอีกมากมาย 
  • เนื่องด้วยเรื่องราวของดาวนิบิรุ  ดาวปริศนาดวงที่ 12 ของระบบสุริยะจักรวาลที่ถูกค้นพบเมื่อปี  2002 โดยนักเขียนนามว่า เซคาราย ซิตชิน (Zecharia Sitchin) เชื่อว่า ดาวนิบิรุจะพุ่งเข้าชนโลก
  • เนื่องจากว่า ดาวนิบิรุมีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่ ซึ่งความจริงแล้วเส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ เข้ามาทับเส้นวงโคจรเดียวกับโลกพอดี ทำให้ดาวนิบิรุมีสิทธิ์เข้าชนโลกได้ หรือแม้เฉียดกันก็เกิดอันตรายได้ เพราะว่าแกนของดาวนิบิรุ ก็มีสนามแม่เหล็กอยู่ ซึ่งเมื่อเข้ามาใกล้โลกสนามแม่เหล็กจะทำปฎิกิริยากับสนามแม่เหล็กโลก จนทำให้เกิดมหันตภัยครั้งใหญ่ขึ้นในโลก
  • อาทิ เกิดสภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ เกิดภาวะน้ำขึ้นกะทันหัน ซุปเปอร์สึนามิ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เกิดพายุต่าง ๆ และอื่น ๆ นับไม่ถ้วน ประกอบกับมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2012 ดาวนิบิรุ จะเข้าใกล้โลกของเรามากที่สุด
  • สนามแม่เหล็กของเราจะมีอยู่ 2 ขั้ว โดยขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และอีกขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ โดยขั้วแม่เหล็กทั้ง 2 ขั้ว จะมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา และเป็นอิสระจากกัน ทั้งทำหน้าที่ปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก
  • แต่เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งการเปลี่ยนขั้วของสนามแม่เหล็ก ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 250,000 ปีต่อครั้ง และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2008  นาซ่า (nasa)  ได้ออกมาระบุเพิ่มเติมว่า อีกประมาณ 4 ปีข้างหน้า ซึ่งก็คือ ปี 2012 จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่มาก
  • คือ การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลก อันนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย อาทิ ทำให้ประเทศเขตร้อนมีหิมะตก หรือมีอากาศหนาวเหน็บจนยากที่จะปรับตัวได้ทัน เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง แผ่นดินไหว แต่ไม่อาจคร่าชีวิตประชากรโลกจนสูญพันธุ์ได้ หรืออย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่นนั้น เชื่อว่า เกิดจากแม่เหล็กโลกกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเปลือกโลกเคลื่อนตัว จนเกิดแผ่นดินไหว ก่อนที่จะเกิดคลื่นสึนามิตามมา
  • อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่า นอกจากการที่โลกและดวงอาทิตย์ทำการแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง ซึ่งก็คือทุก ๆ 11 ปีนั่นเอง
  • และเมื่อถึงเวลานั้นจะเกิดปรากฎการณ์การกลับขั้วของสนามแม่เหล็ก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน จนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์ต้องสาบสูญไปในช่วงเวลานั้น
  • ก็ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง คือ การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ได้ทำลายธรรมชาติไปมากมาย จนเป็นเหตุให้โลกเสียสมดุล อย่างกรณีโลกร้อน ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือการเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกที่รุนแรงขึ้น ฯลฯ กระทั่งทำให้แกนโลกเกิดการเบี่ยงเบนไป จนนำไปสู่การกลับขั้วสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง
  • ชนเผ่ามายัน ได้ชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่มีความสามารถในการคิดค้นปฏิทินและการคำนวณบางประการได้ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ทันสมัยแบบเรา โดยปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี และวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายา คือ วันที่ 21 ธันวาคม  2012 ซึ่งในวันนี้เองที่เป็นมาของความเชื่อที่ว่า เป็นวันสิ้นโลก
  • โดยเชื่อกันว่า ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเกิดปรากฎการณ์ที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เพราะช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผือกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ทำให้พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถม และเกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลก อาจทำให้เกิดซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปี ที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง
  • โดยสัญญาณเตือนภัย ก็คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี  2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 ได้เกิดคลื่นสึนามิซัดถล่มประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า การระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจกำลังใกล้เข้ามาแล้วก็ได้
  • ด้วยสภาวะโลกร้อน อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งปริมาณฝน ระดับน้ำทะเล และมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง
  • โดยผลกระทบที่เราสามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การละลายตัวของน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ที่ทำให้ปริมาณน้ำในทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องนี้เอง ที่ทำให้เกิดทฤษฎีน้ำท่วมโลกขึ้น
  • โดยเชื่อกันว่า หากเราไม่สามารถแก้ไข สภาวะโลกร้อนได้  ในปี 2012  โลกจะเกิดหายนะจากอุทกภัยน้ำท่วมโลก จากการละลายตัวของน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับผลสำรวจของนักวิทยาศาสตร์ที่กรีนแลนด์เมื่อปี 2003 ที่ระบุว่า ขณะนี้อุณหภูมิที่ขั้วโลกเหนือและใต้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การละลายตัวของน้ำแข็งในแต่ละวันมีปริมาณสูงถึงวันละ 1 ล้านตัน และหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เกิน 5-7 ปี น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือและใต้จะละลายหมด ซึ่งก็คือ ปี 2012 นั่นเอง
ทฤษฎีต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น สามารถเกิดขึ้นได้ หรืออาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่ไม่ว่า อย่างไรก็ตาม ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนโลกของเรานั้น ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ดังนั้น การเตรียมรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เอื้อต่อธรรมชาติมากขึ้น อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดีกว่าการมานั่งวิตกกังวลว่าโลกจะแตกเมื่อไหร่? ^^
ข้อมูลโดย teen.mthai
อ้างอิง djingmarket.com,dmc.tv,manager.com,blogspot.com

1 ความคิดเห็น:

john กล่าวว่า...

Blockchain is a notable name in Cryptocurrency advertise. Blockchain is pressed with incredible and accommodating highlights that contributed a ton to make it a triumph. With regards to innovation, you ought to envision issues with Timejacking Attacks issues. You can dial Blockchain Support Phone Number 1-800-665-6722 and specifically address Blockchain client benefit group. They have specialists with expert accreditations to determine all the wallet issues. They work day and night to give best outcomes to the clients by their administrations.

แสดงความคิดเห็น