วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เบื้องหลัง "ทฤษฎีสองสูง" อันนำไปสู่นโยบายเพิ่มค่าแรงและค่าครองชีพ

ทฤษฎีสองสูงนี้ คนคิดก็คือ "ผู้มีอำนาจจากจีนครับ" แล้วส่งต่อให้ "ผู้มีอำนาจเบื้องหลังรัฐบาลไทย" อีกที เพื่อจะดึงไทยให้เข้าร่วมแผนการระดับโลก ที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้ามคือ พวกอเมริกาและยุโรป นั่นเอง จากนั้ันจึงแสร้งให้ "นายทุนไทยคนหนึ่ง" เป็นปากกระบอกเสียงพูดแทนเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือนั่นเอง  (นายทุนคนนั้นไม่ได้รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์อะไรเลย แต่เขาก็ทำธุกิจส่วนตัวสำเร็จโด่งดัง ก็เท่านั้นเองครับ) ก่อนอื่นผมจะขอกล่าวถึง "ทฤษฎีสองสูง" ให้ท่านเข้าใจง่ายๆ นะครับ ก็คือ ถ้าของแพงขึ้นพร้อมกับเรามีรายได้มากขึ้น ก็ยังสมดุลอยู่ได้ ใช่ไหมครับ คำถามคือ แล้วมันจะได้อย่างไร? สมมุติ เราเคยได้เงินเดือน ๑ หมื่นบาท แต่ราคาสินค้าไม่แพง ทำให้มีค่ารองชีพต่อเดือน ๑ หมื่นบาทพอดี แต่พอเรามีรายได้มากขึ้นเป็น ๒ หมื่นบาท ระดับราคาสินค้าก็เพิ่มทำให้ค่าครองชีพเพิ่มเป็น ๒ หมื่นบาท ผลคือไม่ต่างกันเลยในแง่ของผู้บริโภค แต่ผลมันต่่างกันตรงมุมอื่นครับ ผมจะอธิบายให้ท่านเห็นเป็นสองมุมมอง คือ


๑. ผลในแง่การกระตุ้นเศรษฐกิจ มันมีผลไม่ต่างจากการใส่ฟืนไฟเร่งเตาให้ไฟมันแรงขึ้น ให้เศรษฐกิจไปเร็วขึ้น เหมือนว่าจะพยายามถีบตัวเองให้ทันประเทศจีน โดยการเอา "โมเดลยุคปฏิวัติญี่ปุ่น" มาใช้ไงครับ กล่าวคือ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นได้รับผลกระทบมาก เขาจึงเลิกคิดที่จะเอาชนะใครด้วยสงคราม หันมาเร่งเครื่องเศรษฐกิจแทนครับ ด้วยการทำให้ทุกอย่างในประเทศ "เฟ้อ" ไปหมด คือ ราคาสินค้าแพงขึ้น ในขณะที่รายได้ก็มากขึ้น เร่งเครื่องให้มันเฟ้อไปมากๆ เหมือนเร่งเป่าฟองสบู่นั่นแหละ คนญี่ปุ่นบางคนแทบจะก้าวตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ทัน บ้างก็ต้องยอมให้แก๊งค์มาเฟียลากไปขายตัว, เล่นหนังโป๊ เอาเงิน เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวให้ทัน ไม่เช่นนั้นก็จะอยู่ไม่รอดครับ (มีผลกระทบทางสังคมเยอะ)

๒. ผลในแง่เศรษฐกิจระดับโลก มันเป็นการ "ทำสงครามทางเศรษฐกิจ" ครับ กล่าวคือ ยิ่งเราเร่งเครื่องให้เศรษฐกิจในโซนเอเชียร้องแรงขึ้นมากเท่าใด ทางโซนยุโรปและอเมริกา ก็จะยิ่งซบเซามากขึ้น ตลาดในแถบนั้นไม่น่าลงทุนอีกแล้ว นักลงทุนก็แห่ย้ายตามๆ กันมาที่เอเชียแทนครับ เพื่อจะืำืำบีบให้เศรษฐกิจยูโร ทรุดหนักลงไปอีก จนกว่าจะล่มสลายไปในที่สุดครับ เท่ากับเป็นการ "ประกาศสงครามทางเศรษฐกิจ" นั่นเอง ดังนั้น โอบาม่า จึงต้องเร่งมาทำกิจที่เอเชีย และโยนให้หมู่เกาะสแปซลี่ ซึ่งอเมริกาได้ครองเป็นเจ้าของต่อจากญี่ปุ่นหลังชนะสงครามโลกครั้งที่สอง กลับเป็นเหยื่อล่อให้กลายเป็นชนวนสงครามครับ


ในมุมมองของ "นายทุนไทย" ย่อมต้องมองว่าทฤษฎีสองสูงนี้ "เอื้อประโยชน์ต่อตนเอง มากกว่าประเทศชาติชัดเจนอยู่แล้ว" กล่าวคือ ในภาวะที่โลกมีวิกฤติเศรษฐกิจมากอย่างนี้ประกอบกับ "นายทุนนานาชาติ" ไม่อาจมั่นใจได้ในการลงทุนข้ามชาติในแถบประเทศอื่นๆ เช่น ยุโรปก็ยังไม่ฟื้น, อเมริกาก็ไม่ใช่คำตอบ, อาฟริกาก็ยังไม่เจริญ ฯลฯ ดังนั้น จึงเป็นแรงกดดันให้ "เงินทุนทั่วโลก" ที่หาทางระบายลงไม่ได้ ต้องไหลมาที่ "เอเชีย" และแน่นอนว่าอินเดียกับจีนยังไม่เปิดรับมากนัก การเข้าสู่ตลาดจีนได้จึงต้องลงที่อาเซียนก่อนแล้วขนส่งต่อไปยังจีนภายหลังอีกที ดังนั้น "แน่นอนว่าทุนต่างชาติอาจไหลทะลักเ้ข้ามาสู่ไทย" ผลที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ "นายทุนไทยต้องมีคู่แข่งที่แข็งแกร่งเพิ่มอีกมากมาย" ดังนั้น นายทุนไทยจึงต้อง "สกัดกั้นทุนนอก" เสียก่อนต้นลม ด้วยการสนับสนุนนโยบายตาม "ทฤษฎีสองสูง" นี้ ไม่ใช่ความคิดที่จะทำเพื่อชาติบ้านเมืองอะไรแท้จริงเลย แต่เพื่อตัวเองล้วนๆ แต่ถ้ามองในแง่การทำสงครามทางเศรษฐกิจแล้ว ก็จะมองได้ว่า "นายทุนไทยก็ลงขัน" ทำสงครามเศรษฐกิจระดับโลกครั้งนี้กับเขาด้วย


ดังนั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงพยายาม "เอาเงินลงไปหมุนในระบบ" ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เรียกว่าเร่งเครื่องเศรษฐกิจเต็มที่ หวังเล่นงานพวกฝรั่งให้มันหงายหลังไปเลย ตอนแรกกะจะเอาทองของหลวงตามหาบัวไปใช้ก่อน ทว่า ถูกเบรคโดย "ฝ่ายเสื้อเหลือง" ครับ ว่าไม่ให้ใช้ทองของหลวงตามหาบัวนะ ดังนั้น ก็เลยต้องใช้ "อำนาจนายก" ในการ "กู้เงิน" มาเป็นล้านล้านบาทเลย เรียกว่า "ดูดเงินในโลกให้ไหลมากองในภูมิภาคนี้ก่อน" เำพื่อบีบให้ยุโรปยิ่งขาดแคลนเงินไปใหญ่ ที่กำลังแย่อยู่แล้ว จะได้อาการทรุดหนักลงไปอีก จนกว่าจะหงายหลังพังไปข้างหนึ่งเลย อีกฝ่ายคือ พวกคนจีนก็คอยรวมหัวกัน "ปั่นราคาตลาด" ไม่ว่าจะเป็นตลาดอะไร ตลาดเงิน, ตลาดทองคำ, ตลาดหุ้น, ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ฯลฯ นายทุนจีนเขาก็รวมหัวกันเล่นครับ ถ้าคุณไม่เข้าใจ ผมจะอธิบายง่ายๆ เหมือนรวมหัวกันเล่นไพ่โกงเพื่อนนั่นแหละ สมมุติ ในวงมีเพื่อนคุณอยู่ครึ่งหนึ่ง รวมเงินกันแล้วเยอะมากเป็น ๗๕% ของเงินทั้งวงไพ่้ เราก็แสร้งลงขันแทงไปในทางเดียวกัน จะให้มันราคาแพงขึ้นในหุ้นตัวไหนหรือสินค้าตัวใด ก็ได้ครับ มันไม่่ใช่ราคาตลาดอันเกิดจาก "กลไกลตลาด" จริงๆ แต่มันเกิดจากคนปั่นแต่ปั่นแบบแนบเนียน, รวมหัว และไม่อาจจับผิดได้ไงครับ ทีนี้ ตลาดทั่วโลกก็ปั่นป่วนละสิ คุณเห็นข่าวไหมละ เดี๋ยวราคาทองขึ้นพรวดๆ อะไรไม่รู้ มั่วไปหมด นั่นแหละ ผมเรียกว่า "สงครามกระสุนเงิน" ใช้เงินเป็นอาวุธเล่นงานกันครับ ดังนั้น เศรษฐีอเมริกาคนหนึ่งก็เลยออกมาประกาศเป็นข่าวดังว่า "ตนขอสละเงินอุดหนุนกองทุนเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ" แล้วก็ดึงให้นายทุนคนอื่นๆ มารวมหัวกันด้วย นี่ละเขาตอบโต้กันแบบนี้ (แต่คุณต้องไม่ลืมว่าจีนถือเงินดอลล่าร์ไว้มากที่สุดในโลกนะครับ ดังนั้น เขาเหมือน "กุมหัวใจของอเมริกา" ไว้ในกำมือเลยทีเดียว! เรียกว่าถ้าจีน ปล่อยเงินดอลล่าร์ออกมามากหรือน้อย ก็จะส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน ทันที เขากำหนดได้เลย)


ทว่า เรากำลังถูก "คนจีนหลอกเอาครับ" เขาหลอกใช้งานเรา ผลักใสให้เราเข้าสู่ "วังวนสงครามเศรษฐกิจระดับโลก" เราจะเป็น "ทัพหน้า" ที่ "บาดเจ็บมากที่สุด" โดยที่พวกคนจีนไม่บาดเจ็บอะไรเลย รอคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างเดียวทั้งสองฝ่ายครับ อย่างไรหรือ? ผมจะอธิบายให้ฟังอย่างนี้ครับ จีนใช้กลยุทธ์ "สองต่ำ" อยู่ครับ เขาทำตรงข้ามกับแผนการที่เขาบอกให้เราทำเลย เพื่อให้เราหลงกล เขาทำให้ต้นทุนต่ำลงและขายสินค้าได้ในระดับราคาต่ำๆ ตีตลาดโลกเอาชนะคนอื่นด้วยราคา (ซึ่งไม่มีประเทศใหญ่ๆ ที่ไหนจะคุมต้นทุนให้ต่ำไ้ด้อย่างจีน มันจึงเป็นจุดแข็งของจีนครับ) ทีนี้ พอ "อาเซียน" ถูกทำให้ร้อนแรง ลุกโชน สว่างไสว ดึงดูดนักลงทุนมามากๆ แล้ว ไทยจะไม่ได้อะไรเลย เพราะประเทศอาเซียนอื่นๆ เขามีต้นทุนต่ำ ค่าครองชีพต่ำ นักลงทุนก็ต้องเลือกประเืทศอื่นที่ต้นทุนต่ำกว่าครับ (เงินทุนต่างชาติ จะไหลไปออกนอกประเทศ สมดังใจที่นายทุนไทยต้องการ) พออาเซียนชนกับอเมริกาและยุโรป จนเขาหงายหลังไปแล้ว จีนก็จะได้ทุกอย่าง เพราะเมื่อถึงเวลานั้น ระดับค่าครองชีพ, ราคาสินค้าของไทยก็จะเป็นเหมือนญี่ปุ่นไปแ้ล้ว ไทยไม่อาจลงไปแข่งขันในตลาดเดียวกับจีนได้อีกครับ เรียกว่า "หมากนี้เิดินหน้าได้อย่างเดียว ถอยหลังไม่ได้เลย" ในขณะที่จีนไม่ต้องขยับ ดันหลังให้คนอื่นชนกันโครมๆ แล้วรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่ครับ ไทยเราก็แค่ "ตัวหมากที่ใช้แล้วทิ้ง" ตัวหนึ่งเท่านั้นเองภายใต้กลยุทธ์ "สองสูง" นี้ ...



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น