จิตเภท

จิตเภท ก็คือ โรคทางจิต นั่นเอง ซึ่งไม่อาจ "คาดเดาหรือสรุปได้ด้วยผู้ที่ไม่ใช่จิตแพทย์" สำหรับท่านที่เป็นจิตแพทย์นั้น ท่านจำเป็นต้องเรียนนานมาก เมื่อจบแพทย์แล้ว ท่านก็ยังต้องยากลำบากเรียนต่ออีกจึงจะเป็นจิตแพทย์ได้ ดังนั้น "หากท่านไม่ใช่จิตแพทย์" พึงไม่ควรไปว่าใครเป็นโรคจิตเพราะแม้แต่จิตแพทย์ยังไม่กล้าสรุปเลยว่าใครเป็นโรคจิต ท่านยังต้องทำกิจตามจรรยาบรรณคือ การตรวจต่างๆ อย่างละเอียด ตามวิชาชีพที่ได้เรียนรู้มา ไม่เช่นนั้น ก็ไม่อาจสรุปได้ว่าใครเป็นโรคจิต ดังนั้น ท่านทั้งหลายควรให้เกียรติ์ จิตแพทย์ว่าเ้ป็นผู้ตรวจวินัิจฉัยได้ว่าผู้ใดเป็นโรคจิต ไม่พึงอุปโลกตัวเองเป็นจิตแพทย์ทั้งที่ตนเองก็ยังไม่เคยเรียน ไม่เคยนำคนไข้เข้าตรวจให้เรียบร้อยก่อน เพราะจะเป็นกรรม เป็นการใส่ร้ายผู้อื่นได้ นั่นเอง ผมขอยกตัวอย่างรายละเอียดจาก บางเว็บ มาให้ท่านดู (แต่ขอบอกก่อนว่าต่อให้ท่านอ่านจนเข้าใจหมดเท่าใดก็ตาม ท่านก็ยังไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าใครเป็นโรคจิต เพราะท่านไม่ใ่ช่จิตแพทย์นะครับ) ดังต่อไปนี้



จิตเภท Schizophrenia
โรคจิตเภทคืออะไร
โรคจิตเภทเป็นโรคทางจิตเรื้อรังซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ความคิด[thinking} ความรู้สึก{feeling} และพฤติกรรม[behavior]
สาเหตุ
เป็นโรคทางพันธุกรรมทำให้มีการพัฒนาของระบบประสาทผิดปกติ เมื่อมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมก็เกิดโรคนี้ ได้แก่

  • การที่เกิดขาอออกซิเจนในระหว่างการคลอด
  • มารดาเป็นไข้ในตั้งครรภ์ไตรมาสที่2
  • มารดาเป็นไข้หวัดใหญ่ในขณะตั้งครรภ์
อาการแสดง
อาการแสดงจะแบ่งเป็นสองระยะได้แก่
  1. อาการนำก่อนป่วย[prodome] อาการนำก่อนป่วยในผู้ป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาการชัด บางคนอาการไม่ชัด อาการนำมักจะเกิดขณะวัยเรียน อาการนำอาจจะมีอาการเป็นเดือนก่อนเกิดปรากฏอาการทางจิต
  • แยกตัวเล่น ไม่ยุ่งกับใคร
  • แปลกประหลาด ไม่สามารถปฏิบัติตนให้สมบทบาทได้ เช่นบทบาทของการเป็นเพื่อน ลูก
  • ไม่ดูแลตัวเอง เช่นไม่อาบน้ำหรือหวีผม
  • บุคลิกเปลี่ยนจนเพื่อนสังเกตเห็น
  • มีความคิดแปลกๆ
  • ห่วงใยรูปร่างหน้าตา ชอบดูกระจก กลัวผิดปกติ
  • มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม
  1. อาการทางจิต ผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการแตกต่างกันได้มาก แม้แต่ผู้ป่วยคนเดียวกัน ต่างเวลาอาการของเขาก็อาจจะแตกต่างกันอาการที่ทำให้ผู้ป่วยพบแพทย์
  1. อาการทางจิต ผู้ป่วยจะมีอาการ
  • ประสาทหลอน เช่น หูแว่ว ตาฝาด
  • ระแวง กลัวคนทำร้าย คิดว่ามีคนสะกดรอยตามปองร้าย แปลความหมายเหตุการณ์รอบตัวผิดจากความเป็นจริง เช่นเพื่อนลูปหน้าแปลว่าหน้าด้านไม่รู้จักอาย
  • อาละวาด ทำลายข้าวของ
  • พยายามฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายผู้อื่น
  1. ความสามารถในการดำเนินชีวิตเสื่อมลง
  • การเรียนเลวลง หรือเรียนไม่ได้
  • การงานบกพร่อง ทำงานไม่ได้เท่าที่เคยทำ เกียจคร้าน
  • ความสัมพันธ์กับบุคลอื่นไม่ราบรื่น เข้ากับคนอื่นไม่ได้ ระแวง คิดแปลเจตนาของผู้อื่นในทางลบ หงุดหงิด
  • ไม่ใส่ใจดูแลตัวเอง ไม่อาบน้ำ ไม่แต่งตัวให้เรียบร้อย ไม่หวีผม ห้องนอนสกปรก
  1. ผู้ป่วยบางรายมาหลังจาก
  • ดื่มเหล้ามาก
  • ใช้สารเสพติด
  • การป่วยทางกาย
ลักษณะทั่วไป
ผู้ป่วยจะมีกริยาท่าทางประหลาด แต่งตัวไม่เรียบร้อย สกปรก มีกลิ่นเหมือนไม่อาบน้ำแปรงฟัน การเคลื่อนไหว บางคนหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว เคลื่อนไหวน้อย หรือไม่อยู่นิ่ง ลุกลน
พฤติกรรมทางสังคม เก็บตัว แยกตัว หรือวุ่นวายเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควร
การพูดมีหลายแบบ พูดจาได้ความดี พูดไม่รู้เรื่อง พูดน้อย หรือไม่พูดเลย
อารมณ์ บางคนสีหน้าราบเรียบ ไม่แสดงอารมณ์อะไร บางรายสีหน้าไม่สอดคล้องกับเรื่องราวที่พูด และบางรายสีหน้าปกติ
ความคิด Though
ผู้ป่วยบางรายไม่มีความคิดออกมาเลย บางรายมีความคิดหลั่งไหลออกมารวดเร็วและบางคนคิดเหมือนคนปกติ ความคิดมักจะไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนเรื่องก่อนที่เรื่องกำลังกล่าวจะจบ มีอาการหลงผิด เช่นหวาดระแวงว่าคนจะทำร้าย หูแว่ว ตาฝาด และประสาทหลอน และมักจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารทั้งการรับและการส่ง เช่นโกรธอย่างรุนแรงโดยไม่มีเหตุผลหรือเฉยไม่ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วย
การดำเนินของโรค
ผู้ป่วยจะเริ่มด้วยอาการนำ แล้วตามมาด้วยอาการของโรคอาจจะเกิดแบบเฉียบพลัน หรือค่อยเป็นค่อยไป อาการสงบลงสลับกับกำเริบขึ้นอีกเป็นครั้งคราว ผ่านไปหลายปีอาจจะมีอาการหลงเหลืออยู่เช่นเดียวกับอาการนำ
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโดยอาการเป็นสำคัญ ผู้ป่วยมีลักษณะดังต่อไปนี้
  • มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ
  • ป่วยเรื้อรัง
  • ความสามารถในการดำรงชีวิตเสื่อมถอย เช่น ทำงานไม่ได้ พึ่งตนเองไม่ได้
  • เมื่อป่วยแล้วไม่หายเป็นปกติเหมือนก่อนป่วย
ต้องวินิจฉัยแยกโรคต่อไปนี้
  • Bipolar disorder โรคนี้เวลาหายจะเหมือนคนปกติ การป่วยบางครั้งเป็น
  • โรคจิตเพราะพิษสุรา หรือสารเสพติด เช่น ยาบ้า กัญชา ยาลดความอ้วน
  • โรคทางกาย เช่น SLE โรคลมชัก โรคเนื้องอกในสมอง
การรักษา ทำได้ 3 ทางด้วยกัน
  1. รักษาอาการให้หาย
เป็นการใช้ยาในการรักษายาที่ใช้ได้แก่
  • Haloperidol
  • Resperidone
  • Clozapine
  1. ป้องกันมิให้กลับเป็นซ้ำ หากกินยาสม่ำเสมอการกำเริบจะน้อย สาเหตุที่กำเริบคือการถูกตำหนิติเตียนเป็นประจำ การป้องกันไม่ให้โรคกำเริบคือ
  • กินยาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์สั่ง
  • อย่าบ่นว่า ตำหนิ วิจารณ์ซ้ำซาก
สิ่งที่สำคัญในการรักษาคือผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีแนวโน้มในการฆ่าตัวเองสูง ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวเองสูงมีลักษณะดังต่อไปนี้
  • ญาติและผู้ป่วยคาดในความสำเร็จสูง
  • ปรับตัวรับสภาพโรคจิตไม่ได้
  • ช่วงเวลาที่ต้องระวังในการฆ่าตัวเองคือ ขณะที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาล ระยะ 6 เดือนหลังออกจากโรงพยาบาล มีการสูญเสีย เช่นหย่า ตกงาน เปลี่ยนแพทย์ผู้รักษา
  • อาการดีขึ้นหลังจากป่วยหนักและรู้ว่าตัวเองเป็นโรคจิต
สัญญาณบ่งบอกว่าจะฆ่าตัวตาย
  • ผู้ป่วยมีความคิดฆ่าตัวเอง
  • มีความมั่นใจในตัวเองต่ำ
  • มีแรงกดดันผู้ป่วยมากได้แก่ ขาดที่พึ่ง ตกงาน ญาติโกรธ ถูกไล่ออกจากบ้าน
  • อาการกำเริบ หูแว่ว หวาดกลัว รู้สึกมีคนปองร้าย
  • หมอโกรธ
  1. ฟื้นฟูจิตใจและฝึกอาชีพ เนื่องจากผู้ป่วยพลาดการเล่าเรียน และการเรียนรู้ชีวิต การต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรค ทางครอบครัวและผู้รักษาต้องประคับประคองให้เขาเรียนรู้วิธีแก้ปัญหา และการฝึกอาชีพ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น