วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ซาตานแอ๊บเนียน แปลงร่างเป็น "โดเรม่อน" ล้วงความลับในการ์ตูนสุดฮอต

สรุปเลยละกันครับว่า "ผู้เขียนเรื่องโดเรม่อน" ต้องการใช้การ์ตูนเป็นสื่อสอนเด็ก ให้ระวังเรื่องซาตาน ซึ่งมีอิทธิพลมากและครอบงำโลกอยู่ เพราะซาตานจะมาในรูป "เพื่อนที่แสนดี" มีแต่ "ให้" ในทุกๆ ครั้ง ที่เรา "อ่อนแอ" ดังนั้น คนเขียนจึงวางโครงเีืรื่องในทุกตอนเหมือนกันหมดว่า ๑. มีการให้ของวิเศษไปใช้ แล้วจบลงด้วยความผิดพลาดทุกที (ไม่อาจแก้ปัญหาชีวิตได้ด้วยการพึ่งของวิเศษ) ๒. มีตัวละครเอกที่เป็นคนอ่อนแอไม่เอาไหน ไม่รู้จักใช้ความพยายามของตัวเอง เอาแต่พึ่งเพื่อนหรือร้องขอของวิเศษจากผู้อื่น ๓. มีตัวละครจากมิติอื่น ที่ไม่ใช่มนุษย์คอย "ให้ของวิเศษ" ป้อนเพื่อนอยู่เสมอ และทั้งหมดนี้ ก็มากพอที่จะบ่งบอกถึง "การทำงานของซาตาน" ได้ดียิ่งและแนบเนียนมากครับ อย่างไร? อย่างนี้ครับ ทุกครั้งที่คนเราอ่อนแอและไม่ยอมที่จะพึ่งตนเอง ยืนหยัดให้ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ด้วยความพยายามของตัวเอง แต่กลับไป "ร้องขอ" ต่ออะไรก็ช่าง เช่น ร้องขอต่อเทพยดา, ขอหวย, อธิษฐานขอพระเจ้า หรือขอด้วยการบนบาน ฯลฯ ก็ล้วนแต่เป็นการเปิดช่องเข้าสู่ "วิถีแห่งซาตาน" ทั้งสิ้น ไม่ต่างอะไรกับ "โนบิตะ" ผู้อ่อนแอที่มีปัญหาในการปรับตัวกับเพื่อนมาทีไร แทนที่จะหาทางแก้ไขด้วยตัวเอง กลับร้องไห้มาร้องขอของวิเศษจากโดเรม่อนทุกครั้งไป และสุดท้าย เรื่องก็จะจบลงด้วย "การใช้ของในทางที่ผิด จนนำภัยมาสู่ตัวเอง" ที่เราจะหัวเราะเวลาโนบิตะใช้ของวิเศษมากไป จนกลายเป็นปัญหาในภายหลังเสมอ (ในทุกตอนเลยครับ)


ผมจึงบอกว่า "ซาตานแอ๊บเนียนแปลงร่างเป็นโดเรม่อน" อย่างไรละครับ นอกจากนี้ยังมีอีกคำหนึ่งครับที่ภายหลังฝรั่งเขาแก้ให้เขียนว่า Santacros ซึ่งจริงๆ แล้วมันมาจากคำว่า Santacross หรือก็คือ คำผวนของ Santa นั่นเอง (cross หมายถึง ผวนคำ ก็ได้ ลองผวนคำว่า ซานต้า มันก็คือ ซาต้าน นั่นเอง) มันหมายถึงอะไร? หมายความว่า คนที่มักมาในรูป "ผู้ให้" นั่นแหละ "ซาตาน" เช่น ฝรั่งบอกจะช่วยประเทศที่กำลังจะพัฒนานะ เขาจะให้ นั่น นี่ โน่น ฯลฯ สารพัดแก่เรา แต่เชื่อเถอะ ไม่มีใครให้เราฟรีๆ หรอก ของฟรีไม่มีในโลก เขาให้เราก็คือ เขาลงทุนเพื่อเก็บเกี่ยวเอากำไรคืนจากเราทีหลัง แล้วเราก็ไม่้ต้องวิ่งโร่ไปเรียกร้อง ขอให้เขาช่วยสนับสนุนอะไรให้เราหรอกครับ (อย่างที่ ซุปเปอร์ฮีโร่แห่งโลกอย่าง อองซาน ทำ) เพราะมันไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยขี้แยอย่าง "โนบิตะ" เลยแม้แต่น้อยนิด รังแต่จะเปิดช่องให้เขาเข้ามาเล่นเราเอาง่ายๆ ในรูป "โดเรม่อน เพื่อนรัก ผู้มีแต่ให้ ผู้แสนดี" อะไรประมาณนั้น ดังนั้น ผมขอวิจารณ์การ์ตูนเรื่อง "โดเรม่อน" นี้ว่า "ดีกว่าผลงานที่ได้รับรางวัลซีไรท์ทุกเรื่องรวมกัน" ครับ โปรดอย่าคิดว่างานเขียนที่ดี ยอดเยี่ยม ต้องเป็นอะไรที่ยาก เข้าใจยากมาก (แบบต้องเป็นคนฉลาดอ่านรู้เรื่องอ่ะ) หรือเขียนเรื่องการเมืองซ้อนกล ใช้ภาษาโอเวอร์ ซุปเปอร์ยากส์ อะไร หรือเป็นปรัชญาอุดมการณ์บ้าบออะไร โอ้ย มันดูเปลือกนอกเหมือนเ่ก่ง เหมือนดี แต่ขอบอก "สอบตกเรื่องการสื่อสาร" ข้อที่หนึ่งแล้วครับ คือ "สื่อแล้วไม่ค่อยมีใครเขาอยากจะอ่าน" มันก็สอบตกเรื่องการสื่อสารแล้วครับ ผมขอให้คุณไปนั่งดูการ์ตูนที่ฮิตที่สุดยาวนาน เป็นอำมตะเรื่องนี้ดูครับ "โดเรม่อน" ไปดูให้มันลึกซึ้งหน่อยครับว่า "เรื่องนี้ มันไม่มีปรัชญาที่ลึกซึ้งสอนอะไรใครเลยหรือ?" หรือคุณค่าแห่งเนื้อหาสาระของมัน "เทียบคุณค่ากับงานซีไรท์" ไม่ได้จริงๆ น่ะหรือ? ถ้าสมมุติว่า "มีนายกคนหนึ่งในอดีตตอนเป็นเด็กเคยดูโดเรม่อนมา" แล้ววันหนึ่ง ฝรั่งเขาจะให้นั่น โน่น นี่ แล้วเกิดแว้บปิ๊งขึ้นมาได้ว่า "เฮ้ย ของวิเศษที่โดเรม่อนให้ สุดท้ายกลายเป็นภัยนะ" คุณว่ามันมีคุณค่าแค่ไหนกัน? เมื่อเทียบกับงานซีไรท์ที่ดูแล้วโคตรจะยากและไม่อยากจะจำ หนังการ์ตูน, เรื่องผี, เรื่องการ์ตูน มันจะเป็นของที่มีแก่นสาร, ปรัชญา, ธรรม อันลึกซึ้งยิ่งกว่างานเขียนประเภท "อวดตัวว่ามีปรัญชาแบบออกนอกหน้า" เหล่านั้น "ไม่ได้" เสมอไป จริงหรือ? ลองไปนั่งคิดลึกๆๆๆๆๆ ดูกันนะครับ



วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นโยบายสายฟ้าฟาด สะเทือนฟ้าดิน ของพม่า "ต่างชาติถือครองที่ดินได้ 100%"

Oh my god! ผมตกใจและตะลึงมากที่ได้ยินข่าวนี้ "พม่าร่างกฏหมายใหม่เปิดให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้ 100%" อะไรเนี่ย? ฟังแค่นี้ คุณอาจเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไรนัก แต่เดี๋ยวผมจะค่อยๆ อธิบายไปทีละน้อยแล้วคุณก็จะเข้าใจเองว่าทำไม ผมถึงตื่นตะลึงกับนโยบายนี้่ ขนาดนั้น


อย่างแรก ผมอยากจะกล่าวถือกลุ่ม New world header สักหน่อย เป็นคำที่ผมใช้เรียกคนในโลกนี้ กลุ่มที่มีความคิดแตกต่างจากคนอื่นๆ ประมาณว่าไม่ได้ยึดมั่นในประเทศ, เชื้อชาติ, ศาสนาอะไรนัก แต่มองเ็ห็นโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน และพร้อมเสมอที่จะไปทำงานในประเทศใดก็ได้ เช่น ทำงานในบริษัทนานาชาติที่มีสาขาในต่างประเทศได้ยาวนาน หรือลงหลักปักฐานอยู่ในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตน ผมขอบอกว่าคนกลุ่มนี้คือ "สุดยอดของโลก" นะครับ เพราะอะไรครับ เขามีทั้ง ๑. ปัญญาและความสามารถระดับบนๆ ของคนทั้งหลาย ๒. เขามีใจกว้าง มีวิสัยทัศน์ มีโลกทัศน์กว้างไกล ๓. เขามีเงินไม่ใช่้น้อยๆ พร้อมที่จะโยกย้ายและลงทุน ปักหลักปักฐานใหม่ได้ทันที ถ้าเอาเงินพวกเขามารวมกันแล้ว รับรองว่าสามารถทำให้ประเทศที่ยากจนหรือล้าหลัง กลายเป็น "อเมริกา" ไปได้ในทันทีเลยครับ (ซึ่งผมก็จับตามองคนกลุ่มนี้ทั้งโลก ทุกเชื้อชาติศาสนา มานานแล้ว ว่าเขามีแนวโน้มจะไปลงหลักปักฐานที่ไหนครับ) บวกกับตัวเร่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ "โลกวิกฤติ" ครับ หลายประเทศที่เจริญแล้วมีวิกฤติทางด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติมาก ยิ่งเร่งให้พวกเขา "รีบๆ หาประเทศอยู่ใหม่ ที่ปลอดภัยกว่าครับ" ลองนึกดูสิครับว่าอะไรจะเกิดขึ้น สมมุติว่า "ประเทศที่รวย มีคนกลุ่มนี้เป็นคนรวยอยู่ ๒๐%" วันหนึ่ง พวกเขาแ่ห่กันไปอยู่ประเทศที่ยากจนประเทศหนึ่ง เพราะมีปัจจัยมากมายเอื้อประโยชน์เปิดทางให้แค่สัก ๑๐% นะครับ ทันทีครับ ประเทศที่ร่ำรวยกลายเป็นจน และประเทศที่ยากจนกลายเป็นคนรวยไปเลย นี่แหละ ผมถึงบอกว่า "นโยบายนั้นสะเทือนฟ้าดิน" อย่างไรละครับ โดยเฉพาะประเทศสิงคโปร์ คุณรู้ไหมว่ารัฐบาลสิงคโปร์ตอนนี้กลัวอะไรมากที่สุด? ผมจะตอบให้นะครับ "เขากลัวคนสิงคโปร์ย้ายไปอยู่ประเทศอื่นครับ" ถึงขนาดสร้างค่านิยมให้คนสิงคโปร์มองโลกหรือประเทศอื่นในแง่ร้ายไว้ และก็พยายามสร้างสิ่งรวมใจคือ ศิลปะวัฒนธรรม เพื่อดึงใจคนไว้ ผมเคยรู้จักคนสิงคโปร์ครับ เปลือกนอกเขาจะมองเราในแง่ลบบ้าง ชอบติไปบ้าง (แต่จริงๆ แล้ว เขาชอบเรานะครับ) คือ เป็นนิสัยเปลือกนอกเท่านั้นเอง เขาจะทำเหมือนไม่ชอบคนชาติอื่นหรือของประเทศอื่น ติไว้เพื่อต่อราคาอะไรแบบนั้น แต่ในใจจริงเขาไม่ใช่อย่างนั้น ชาวต่างชาติมากมายอยากอยู่เมืองไทย อยากเป็นคนไทยมากครับ เพราะอะไร? เพราะเขารู้แล้วว่าที่นี่ ปลอดภัยจากภัยพิบัติทางธรรมชาติมากกว่าประเทศของเขาที่เป็นเกาะอย่างไรละครับ นั่นแหละ สิ่งที่รัญบาลสิงคโปร์กลัวมาก จะเป็นอย่างไร? ถ้านายทุนรวยๆ ออกจากสิงคโปร์ไปตั้งรกรากที่ประเทศอื่นหมด ก็จบเห่สิครับ!


แล้ว "พม่า" มาใช้นโยบายนี้ได้อย่างไร? อ้าว เล่นแบบนี้ ผมแทบจะเป็นลม เพราะมันไม่ใช่นโยบายในการพัฒนาประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไปในทุกๆ ด้าน แต่มันเหมือนการใช้นโยบายเพื่อทำสงครามเย็น ยังไง ดูไม่ออกใช่ไหมครับ? อย่างนี้ ถ้าคุณจะเดินนโยบายเปิดประเทศแล้วใช้ชาวต่างชาติที่มีความสามารถมาพัฒนาประเทศ คุณก็ต้องค่อยๆ เปิดอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้กระทบคนในชาติที่อยู่ก่อน ใช่ไหมละ นี่หละ  นโยบายปกครองประเทศของจริง แต่นี่ไม่ใช่ มันสายฟ้าฟาดเลย เปรี้ยงเลยทีเดียวเล่นเอาสั่นสะเทือนไปหมด คุณลองคิดดู ประเทศเผด็จการทั้งหลาย ปกติเขาจะเป็น "ชาตินิยม" เืกือบหมดนะครับ ยกเว้น น้อยมากๆ บางประเทศที่มีแนวคิด "อินเตอร์" ดังนั้น เขาจะทั้งอนุรักษนิยมและชาตินิยม เหมือนประเทศจีนน่ะแหละ อะไรๆ ก็เป็นของรัฐบาลหมด คุณไปลงทุนแล้ว ที่ดินก็ไม่ใช่ของคุณ อ้าว เป็นของเขาครับ อยู่ๆ เรารวยจะเอาเงินไปซื้อประเทศเขา ไม่ไ่ด้หรอกนะครับ นี่เขาเดินนโยบายปกป้องไว้อย่างนี้ แต่พม่า ซึ่งเป็นเผด็จการแหวกแนวมาก มาได้ไง ใช้นโยบายนี้ ไม่เท่ากับ "โปรโมชั่นสุดร้อนแรง" เพื่อดึงดูดเอานักลงทุนนานาชาติลงประเทศของตนเองอย่างนั้นหรือ? ผลกระทบย่อมเกิดแน่ ต่อประเทศทุกประเทศที่เหล่านักลงทุนนานาชาติ กำลังตัดสินใจอยู่ว่า "เอ? ฉันจะย้ายการลงทุนไปลงประเทศไหนดี?" เพราะว่าการได้ถือครองที่ดินนี่ มันคือ "สุดยอดความปรารถนาของนักลงทุนนานาชาติเลยครับ" เพราะอะไร? อ้าว ถ้าคุณเอาเงินไปลงทุนระยะยาวทั้งชีวิต (โรงงานคุณคงไม่คิดจะปิดตัวไปง่ายๆ หรอกนะครับ มันก็ต้องรันชั่วชีวิต) คุณก็ต้องดูแลธุรกิจของคุณนานๆ โรงงานเอย, บริษัทเอย ตั้งแล้ว ถ้ามันไม่ใช่ของคุณ ทั้งๆ ที่คุณลงเงินไปมาก คุณรู้สึกอย่างไร? ไม่มั่นคง ไม่มั่นใจ ใช่ไหม? เพราะไม่มีประเทศไหนที่เขาจะเปิดให้คนต่างชาติมาถือครองที่ดินในชาติของตนง่ายๆ หรอกครับ มิเท่ากับเปิดทางให้คนเอาเงินซื้่อประเทศกันเลยน่ะสิ แต่นี่ พม่าใจป้ำ, ใจกว้าง, ใจกล้า ยอมให้เลย ให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้เลย โอ้ พระเจ้า มันแรงมากครับ สำหรับความรู้สึกของนักลงทุนนานาชาติ


ผมเคยคิดอยู่นานเหมือนกัน ว่าจะทำอย่างไรจึงจะดึงเอาคนมีความสามารถและคนรวยจากทั่วโลก มายังประเทศของเราได้ "โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคนไทยเราดั้งเดิม" ผมยังคิดอย่างรอบคอบหลายครั้ง เลยยังไม่ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุด เคยคิดว่า "สนับสนุนเขยฝรั่ง-สะใภ้ฝรั่ง" ดีไหม? หรือว่าใ้ช้ "นโยบายกรีนการ์ด" คือ ให้ถือบัตรสำรองคล้ายๆ บัตรประชาชนไปก่อน มีสิทธิ์บางอย่างแต่สิทธิ์บางอย่างจะจำกัด จนเมื่อทำงานพัฒนาชาติไทยนานถึงจุดหนึ่ง เช่น 10 ปี ก็ค่อยๆ ออกบัตรประชาชนให้ อะไรแบบนั้น เพื่อดึงเอาคนที่มีความสามารถจากทั่วโลกมาใช้งาน เพราะรากเหง้าประเทศเรา "มันไม่ใช่ของเชื้อชาติหนึ่งเชื้อชาติใด" มานานแล้วครับ แผ่นดินนี้ มี "หลายเชื้อชาติมาอยู่ร่วมกัน" ดังนั้น ไม่แปลกถ้าปัจจุบัน เราจะมีคนต่างชาติเข้ามาเป็นคนไทย แต่ว่า "มันต้องมีขั้นตอนและการดำเนินการอย่างรอบคอบ" ค่อยเป็นค่อยไปครับ ไม่เช่นนั้น มันจะเกิดผลกระทบในด้านอื่นๆ ได้ ทว่า พม่าใช้นโยบายนี้ ไม่เท่ากับเป็นการ "ชิงลงมือก่อน" แบบสายฟ้าฟาด ซึ่งผมมองว่าในด้านต่างๆ จะส่งผลกระทบต่อพม่าแน่นอน แต่ในด้านสงครามเย็นละก็ นับว่าได้ผลดีอยู่ (นโยบายนี้ใช้่เพื่อเกื้อหนุนสงครามเย็นได้ แต่ใช้เป็นนโยบายปกครองประเทศแบบสุขุมรอบคอบไม่ได้)  


ผมเคยเขียนบทความและเตือนไว้แล้วว่า "อย่าประมาทประธานาธิบดีพม่า" เขาไม่ธรรมดาหรอกครับ!



วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ญี่ปุ่นเตือนแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์ เกาหลีเหนือเตรียมพัฒนาขีปนาวุธต่อ???

ผมขอสรุปง่ายๆ เลยแล้วกันครับ ตอนนี้ เอเชียบูรพา กำลังทำสงครามเย็นกันอยู่โดยจีนใช้ "เกาหลีเหนือ" เป็น "ทัพหน้า" เพื่อชนกับเกาหลีใต้ บ้าง, ญี่ปุ่้น บ้าง ฝ่าย "อเมริกา" ก็ทำเช่นนั้นเช่นกัน โดยใช้ "ญี่ปุ่น" บ้าง, "เกาหลีใต้" บ้าง เป็นเครื่องมือชนกับจีน เรียกว่า นี่คือ เกมของจีนและอเมริกาที่จะแผ่อิทธิพลในเขตภูมิภาคเอเชียบูรพานั่นเองแต่พวกเขาไม่ยอมเดินเป็นทัพหน้าให้ต้องได้รับผลกระทบตรงๆ เขาก็ให้คนอื่น ประเทศอื่น ไปรับหน้าแทน เมื่ออเมริกาใช้ ญี่ปุ่น, ฟิลิปปินส์ จีนก็ต้องใช้เกาหลีเหนือ, กัมพูชา ฯลฯ ทีนี้ อาวุธของทั้งสองค่าย ต่างกันครับ สำหรับ "อเมริกา" ตอนนี้ ใช้อาวุธควบคุมสภาพดิน, ฟ้า, อากาศ ที่เรารู้จักกันดีในนาม HAARP ส่วนจีนใช้อาวุธอีกแบบคือ "การค้า" เขาเอาการค้าเป็นอาวุธ ทำลายเศรษฐกิจของฝ่ายตรงข้าม เพื่อบีบให้ประเทศตกต่ำและเกิดการปฏิวัติจากภายใน นั่นเองครับ ดังนั้น เมื่อญี่ปุ่นเดินเกม จึงบอกแก่โลกว่า "โลกยังเสี่ยงกับแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์" นั่นคือ "การส่งสัญญาณขู่" ในทางการสงครามเย็นครับ ขู่ว่าอะไร? จริงๆ แล้ว สาร์นที่แท้จริงก็คืออย่างนี้ครับ "จีน แกยังเสี่ยงจะโดน HAARP ไป 10 ริกเตอร์นะโว้ย ระวังตัวให้ดี" โอเคไหมครับ? มันไม่มีความจำเป็นหรอกครับที่ญีุ่ปุ่นจะต้องออกมาเตือนโลกว่าระวังแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์ โดยยังไม่มีวี่แววว่าจะเกิดล่วงหน้าอะไรเลย และอีกประการ ไอ้ แผ่นดินไหวตามธรรมชาติเนี่ย "มันทำนายไม่ได้ครับ" แต่แบบ "ที่มาจาก HAARP" เนี่ย มันกำหนดได้นะครับ ทีนี้คุณเข้าใจสาร์นที่เขาสื่อหรือยัง? คือ ถ้าเป็นแผ่นดินไหวจริงตามธรรมชาติ เขาจะไม่ออกมาพูดทั้งที่ไม่อาจทำนายได้ ให้คนแตกตื่นตกใจกันเฉยๆ อย่างนี้ หรือถ้ามันจะเกิดจริงๆ ก็ต้องแจ้งอย่างเป็นทางการและอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ผู้คนแตกตื่นครับ แต่นี่มันไม่ใช่อย่างนั้น "เพราะมันคือการขู่ ในการทำสงครามเย็น" นั่นเอง และเพียงไม่กี่วันต่อมา ก็ได้ผลครับ "เกาหลีเหนือ" ออกมาประกาศโครงการพัฒนาขีปนาวุธอย่างต่อเนื่องต่อไป นั่นคืออะไรครับ มันก็คือ การสื่อสาร์นตอบกลับไปว่า "เอาซีวะ เอ็งเอาไอ้เครื่อง HAARP มา ฉันก็จะเอาขีปนาวุธยิงแกซะ" นั่นเอง พอเข้าใจ ความหมายของสงครามเย็นไหมครับ (เวลาทำสงครามเย็นนี่ เราจะพูดตรงๆ ไม่ไ่ด้หรอกครับ เพราะมันเป็นสงครามเย็น แบบไม่เปิดเผยไงครับ)


นั่นคือ การขู่กันไปมาของสองฝ่ายและตัวเดินเกมที่กำลังชนกันอยู่ตอนนี้ก็คือ "ญี่ปุ่้น" และ "เกาหลีเหนือ" ซึ่งผมมองว่าคนที่วางแผนอยู่เบื้องหลังนั้น "ไม่ใช่ประธานาธิบดีของทั้งสองประเทศอภิมหาอำนาจ" เสียแล้ว "มีคนอยู่เบื้องหลังประธานาธิบดี" วางแผนและเดินเกมอีกทีครับ จากพลังจิตสัมผัสของผม สัมผัสได้ถึง "บารมีของคนเหล่านี้" ไม่ได้น้อยกว่าประธานาธิบดีที่แสนโด่งดังเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่า มากกว่าเสียอีก เรียกได้ว่า "ประธานาธิบดี" ก็เป็นได้แค่ "หุ่นเชิด" ของพวกเขาอีกที พวกเขามีหลายคน ไม่ใช่คนเดียว เป็นทีมครับ ทำงานเป็นทีม วางแผนและคิดกันเป็นทีม ทำงานต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น อยู่เบื้องหลังไม่มีื่ชื่อเสียงเท่าประธานาธิบดี ไม่ได้โด่งดังขนาดนั้น "แต่ไม่ธรรมดาเลยครับ" เอาละ คนไทยเราบางพวกก็สัมผัสได้ถึง "พลังของพระเจ้าจักรพรรดิ" บางพวกกลัวว่าจะมีพระเจ้าจักรพรรดิมาเกิดแล้วแย่งอำนาจซึ่งเจ้านายเก่าของตนครองอยู่ ก็พยายามทำลายหรือตัดทางเสีย ไม่ให้ได้เกิด ก็มี อีกพวกก็พยายามหนุนให้มี สบายใจได้ครับ เพราะมันจะไม่ใช่ "คนไทยอีกต่อไป" (สบายใจได้ ไม่มีคนไทยคนไหนมาแย่งอำนาจท่านอีกแล้วครับ) เพราะถ้ามันจะมี "มันอาจจะเป็นคนจีน" แล้วครับ ในเมื่อเราไม่สนับสนุนคนไทย คนจีนก็เป็นได้ครับ เมื่อถึงเวลานั้น จีนก็จะยึดครองประเทศต่างๆ ในเอเชียไปด้วย เพราะประเทศเราไม่มีใครที่จะได้ถึงขั้นพระเจ้าจักรพรรดิจริงๆ (มีแต่ของเก๊ แบบโลเรกซ์ปลอม เหมือนอย่างที่ เลดี้ กาก้า บอกนั่นแหละั) ก็เป็นธรรมดาของพระเจ้าจักรพรรดิครับ ต้องโหดมาก่อน แล้วค่อยมาดีทีหลัง เหมือนพระเจ้าอโศกมหาราชไง ถึงเวลานั้นไม่ต้องกลัวครับ เพราะผมก็พร้อมเจริญรอยตาม "พระอุปคุต" อยู่แล้วนี่ครับ ...!!!



วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดุลยภาพที่เปลี่ยนไปหลังเลือกผู้นำ "เกาหลีเหนือ-อเมริกา-จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้"

ประเด็นนี้ผมคิดว่าน่าสนใจมากนะครับ คือ "เรื่องดุลยภาพอำนาจ" และการเมืองที่เปลี่ยนไปในภูมิภาคเอเชีย หลังการเลือกผู้นำ "เกาหลีเหนือ-อเมริกา-จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้" ซึ่งเดิมผมอยากจะบอกว่าในเขตภูมิภาคเอเชียนี้ เคยมี "ไทย" เป็นศูนย์กลางของอภิมหาอำนาจครับ คือ "อเมริกา" และ "จีน" ที่ผมเคยบอกแล้วว่าเขาได้เข้ามาเชื่อมต่อสายสัมพันธ์ทางการเมืองอย่างแนบแน่นกับผู้นำเสื้อเหลืองและผู้นำเสื้อแดงของไทย ทำให้เกิดการคานดุลยภาพอำนาจโดยมีไทยเป็นจุดศูนย์กลางของดุลยภาพนี้ และส่งผลให้ "อาเซี่ยน" คึกคักมากในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างหนึ่งก็ขอชมนิดหนึ่งครับว่า "ไทยก็มีผู้นำหญิงที่อาจไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด" แต่ก็ทำหน้าที่คานดุลยภาพอำนาจของสองมหาอำนาจนี้ได้ในระดับหนึ่ง ไม่เลวครับ (ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ) แต่ต่อไปนี้ "เกมหมากกระดานนี้" มันจะไม่ใช่แ่ค่ "อาเซียน" แล้วครับ มันเริ่มขยายวงกว้างขึ้น "อย่างชัดเจน" และมีหมากใหม่ๆ เข้ามาในกระดาน หรือถ้าจะเปรียบเหมือนวงไพ่้ก็คือ ถึงเวลาต้องขยับขยายวงแล้ว เพราะมีคนเล่นแบบเอาจริงเอาจัง เข้ามามากขึ้นแล้วครับ (วงไพ่วงนี้คงน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว) นั่นคือ การขยายจาก "อาเซียน" ไปสู่ "เอเชียตะวันออก" ทั้งหมด (ทั้งเอเชียนตะวันออกเฉียงเหนือและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ดังนั้น ผมจะขอเรียกวงไพ่หรือหมากกระดานนี้ใหม่ว่าเป็น "เอเชียตะวันออก" หรือ "เอเชียบูรพา" ก็แล้วกัน และต่อไปนี้ คำนี้ จะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นกว่าคำว่า "อาเซี่ยน" แล้วครับ เพราะหลังจากนี้ "ญีุ่ปุ่น" จะไม่มองห่างๆ อีกแล้ว เขาเริ่มจะเอาจริง หลังจากได้ผู้นำที่มีแนวคิด "ชาตินิยมสุดโต่ง" เข้ามาเล่นในเกมนี้, "เกาหลีเหนือ" ได้ผู้นำคนใหม่อายุน้อย ไฟแรง และเข้มแข็งไม่แพ้ผู้เป็นพ่อเลยทีเดียว (นโยบายก็สานต่อของเดิมอยู่), "จีน" ได้ผู้นำที่ลดบทบาทไปเล่นการเมืองระดับชาติ เล็กลงไป แต่ทำงานละเอียดขึ้น เพื่อความเข้มแข็งภายในมากขึ้น ยกหน้าที่ "ระดับโลก" ให้กับ "สภาคอมมิวนิตส์" แทน ดังนั้น ลองคิดดูสิครับว่า สามประเทศยักษ์ใหญ่ในเอเชียบูรพาต่างแข็งกร้าวไม่ยอมใคร มันจะเกิดอะไรขึ้น? ดังนั้น "ผู้นำเกาหลีใ้ต้" จึงจะต้องขึ้นมามีบทบาทสำคัญในแบบที่แตกต่างนะครับ คือ ๑. คานดุลยภาพอำนาจ ๒. ยืดหยุ่นอ่อนโยน ๓. ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ ไม่เช่นนั้น ภูมิภาคนี้จะตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเกิดเป็น "สงครามมหาเอเชียบูรพา" นั่นคือ ผู้นำหญิง "ปาร์ก กึน แฮ" ครับ


อย่างแรกเลย คุณลองดูบทบาทที่แตกต่างของ "ปาร์ก กึน แฮ" นะครับ สิ่งที่เธอทำก่อนเลยคือ "การขอโทษ" ครับ ในสิ่งที่บิดาของเธอได้ทำผิดไป ทั้งเธอยังบอกอีกว่าเธอไม่แต่งงานเพราะเธอได้แต่งงานกับประเทศนี้ไปแล้ว (โรแมนติกนะเนี่ย) ทำให้เห็นครับว่าเธอมีจิตใจอ่อนโยน มีความรักเป็น ไม่ใช่คนไม่มีความรัก (เพียงแต่เธอมอบความรักให้ประเทศชาติเท่านั้นเอง) ดังนั้น ผมมองว่านโยบายภายใต้การนำของเธอ จะต้องไม่ใช่ "นโยบายแข็งกร้าว" อย่างประเทศยักษ์ใหญ่ทั้งสาม (อเมริกา, ญี่ปุ่น, จีน) และประเทศเกาหลีเหนือที่อยู่ข้างหลังเธอ เป็นแน่แท้ จับตาดูครับ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงดุลยภาพและเกมการเล่นการเมืองระดับเอเชียครั้งใหญ่แน่ และจุดศูนย์กลางต่อไปนี้ มันจะไม่ใช่ประเทศไทยอีกแล้วครับ มันจะเคลื่อนไปสู่ประเทศเกาหลีใต้ (ถ้าเธอทำได้นะครับ) และจะกลายเป็น "สามเหลี่ยมดุลยภาพใหม่" คือ ๑. จีน ๒. ญี่ปุ่น ๓. อาเซียน (อันมีไทยเป็นจุดศูนย์กลาง) และมี "เกาหลีใต้" เป็นศูนย์กลางอีกทีครับ เกมการเมืองของเอเชียบูรพาต่อไปนี้ จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว รับรองว่าเราจะใกล้ชิดกันมากขึ้น เราจะอบอุ่นมากขึ้น (ถ้าไม่ร้อนแรงจนเกินไป) และจะได้ตื่นเต้นกับบทบาทใหม่ๆ ของคนหน้าใหม่ด้วยครับ!



วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิงคโปร์ ประเทศที่ถูกสร้างมาด้วย "ความรัก, ความเสียสละ, วิสัยทัศน์ และความอดทน"

ก่อนที่เราจะมองเห็นอนาคตที่สดใส อยากให้ลองมองย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีตกันก่อนนะครับ และวันนี้ผมอยากนำเสนอประวัติศาสตร์การสร้างชาติของ "สิงคโปร์" ครับ เพราะประเทศนี้เป็นเพียงเกาะเล็กๆ เท่านั้น แต่ทุกวันนี้สิงคโปร์มีความเจริญสูงสุดในอาเซียน ย่อมไม่ธรรมดา่แน่นอนใช่ไหมครับ? เราลองมาดูกันว่า "บรรพบุรุษของพวกเขา" ต้องยากลำบากและเสียสละมากแค่ไหน กว่าจะมาถึงวันนี้ได้


สิงคโปร์ เป็นเพียงเกาะเล็กๆ มาก่อน เดิมไม่มีความเป็นชาติ ไม่มีอิสระของตัวเอง เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอื่นๆ ที่ใหญ่กว่า แต่มีช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมาก อยากให้ท่านศึกษาครับ คือ ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จนถึงช่วง "ได้รับเอกราช" สิ่งนี้ มาได้อย่างไร? ไม่ใช่ของง่ายแน่นอนครับ เพราะอะไร เพราะอย่างแรกต้องเข้าใจว่าสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆ และไม่มีไพล่พลมากพอ เรื่องการทหารนั้น ไม่ต้องคิดเลย ไม่มีทางชนะตั้งแต่แรกแล้ว แต่สิงคโปร์ก็เป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มผู้ชนะสงครามได้ครับ อ้าว ไม่ได้รบแล้วชนะได้อย่างไร? (ชนะโดยไม่ต้องรบ) คืออย่างนี้ หลังญี่ปุ่นยึดครองสิงคโปร์ได้แล้ว ต่อมา ก็มีการเปลี่ยนแปลงกลายเป็น ญี่ปุ่นแพ้ แล้วอังกฤษมายึดครองต่อ ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศฝ่ายชนะสงครามไงละครับ ที่จริง สิงคโปร์ไม่จำเป็นที่จะได้รับอะไรเลย ก็ได้ครับ เพราะอะไร? เพราะถ้าดูแต่ผิวเผินแล้ว เกาะนี้ ถูกคนนั้น คนนี้ ยึดไปมา ใครจะทำอย่างไรกับเกาะนี้ก็ได้ ในฐานะผู้ชนะสงคราม ใช่ไหมละครับ? ทว่า ประวัติศาสตร์ไม่เป็นเช่นนั้น อังกฤษ ให้ความสำคัญกับเกาะนี้ ทั้งยังค่อยๆ ให้อำนาจแก่สิงคโปร์ทีละน้อย ราวกับว่าสิงคโปร์มีความสำคัญ และมีบทบาทไม่น้อยต่อชัยชนะของอังกฤษอย่างนั้น? ใช่แล้วครับ "นี่คือ ส่วนที่หายไปของประวัติศาสตร์ ที่ไม่ได้รับการบันทึก" อย่างไรละครับ ทีนี้ มันก็เลยมีคนรุ่นหลังอยากทราบประวัติความเป็นมาตรงนี้ ว่าสิงคโปร์ทำอย่างไร จึงทำให้ได้สถานภาพที่เหนือกว่าประเทศอาณานิคมอื่นๆ แล้วกลายเป็นหนังอิงประวัติศาสตร์เรื่อง "บ้าบ๋า ย่าหย๋า" ไงละครับ ในเรื่องคุณอาจเพลินกับความรักและเรื่องอาหารมากไปจนอาจลืมส่วนที่ถูกแทรกไว้อย่างลับๆ  ซึ่งเป็นบทบาทของพระเอก "อีกด้านหนึ่ง  ที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึง" และเป็น "ปริศนา" มากว่าทำไม นางเอกจึงไม่ยอมแต่่งงานกับพระเอก (แท้แล้ว พระเอกมีบทบาทหน้าที่สำคัญมากต่อชาติบ้านเมืองในช่วงวิกฤตินั้นครับ นางเอกตอนแก่แล้วก็บอกลูกหลานว่าไม่ใช่ไม่รักพระเอก รักเต็มหัวใจเลย แต่ทำไมละ เขาจึงเลือกที่จะไม่แต่งงานกับพระเอก? น่าสงสัยไหม?) ในช่วงนั้น ญีุ่ปุ่นแพ้สงคราม สิงคโปร์ตกเป็นของอังกฤษ ประเทศอยู่ในวิกฤติไม่ใช่น้อยๆ (หลายประเทศในเอเชียที่ตกเป็นอาณานิคม แทบสิ้นเนื้อประดาตัวนะครับเช่น ลาว ที่เคยมีทรัพยากรมากมายก็หมดไปเพราะความเป็นอาณานิคม) เพราะ "สาเหตุสำคัญ" มันอยู่ที่บทบาทของคนสิงคโปร์บางคน "ที่อยู่เบื้องหลังการเมืองสิงคโปร์" ไงละครับ จะว่าอยู่เบื้องหน้าก็ไม่ได้ เพราะตอนนั้น อังกฤษไม่ได้ให้สิงคโปร์มีบทบาทในการปกครองตนเองขนาดนั้น จึงไม่มีโอกาสใดเลยที่ชาวสิงคโปร์จะอยู่แนวหน้าทางการเมือง แต่ทำไมอังกฤษจึงกระทำต่อสิงคโปร์ดีกว่าหลายประเทศ และทำให้สิงคโปร์ค่อยๆ ปลดแอกตัวเองเป็นเอกราชได้ทีละน้อย ทั้งยังได้รับวิทยาการสมัยใหม่จากอังกฤษมาไม่น้อยอีกด้วย นั่นแหละ ไม่มีใครในตอนนี้ รู้ว่า "ความจริง" ในอดีตเป็นอย่างไรแน่ชัดนัก แต่หลายคนก็พอเข้าใจและเชื่อได้ว่า "เบื้องหลังความสำเร็จของสิงคโปร์" ย่อมต้องมี "บุคคลจริง" ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังเป็นแน่แท้ และผมก็เชื่อว่าท่านผู้นั้นยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า "ลี กวน ยู" เสียอีก เพราะการที่จะทำสิ่งนี้ได้นั้น จะต้องมีทั้งความรัก, ความเสียสละ, ความอดทน, และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลอย่างยิ่ง ดังนั้น ผมจึงบอกท่านแต่แรกว่า "สิงคโปร์คือประเทศที่ถูกสร้่างมาด้วยความรัก, ความเสียสละ, ความอดทน, และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลอย่างยิ่ง" นั่นเอง ...




วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เครื่อง Sky dragon ตก เป็นลางถึงใคร?

ข่าวล่าสุดเืรื่อง เครื่อง Sky dragon ตก มาเกิดเอาช่วงชุนมุนทางการเมืองพอดี กล่าวคือ เวทีการเมืองตอนนี้ เรื่องที่น่าจับตามองมากที่สุด เห็นจะเป็น "บทบาทของดีเอสไอ" ในการจัดการคดี "อภิสิทธิ์" ด้านหนึ่งถูกมองว่า "ดีเอสไอ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อเล่นงานศัตรูของพรรคเพื่อไทย" อีกด้านหนึ่งก็ถูกมองว่า "ดีเอสไอ กำลังเคลียร์ปมค้างคาใจของประชาชน ที่มีมานาน" ทว่า ผลกระทบหลังจากคดีนี้สิ้นสุดลง อาจไม่ใช่เล็กๆ อย่างที่คาดไว้ เพราะหากฝ่ายเหลือง ขาดผู้นำแล้ว ฝ่ายแดงย่อมจะรวบอำนาจได้ทั้งหมดเพียงฝ่ายเดียว สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ "นายใหญ่" กลับบ้านอย่างไร้ความผิด อะไรประมาณนั้น ซึ่งถ้ามันเป็นแค่นั้น ผมก็มองว่า ไม่กระทบกับการเมืองไทยมากนัก ทว่า ถ้ามันไม่ใช่แค่นั้นละ? ใครบางคนอาจมองว่า แค่ให้คนๆ หนึ่งได้กลับบ้าน โดยไร้ความผิด ก็แก้รัฐธรรมนูญให้คนอื่นๆ ได้ใช้ร่วมกันด้วย (เรียกว่าต่างก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน) แค่นี้ ไม่ได้กระทบอะไรมากนัก แต่ในความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะมันมี "อีกหลายมือ" ที่รอลงเล่นหมากเด็ดๆ กันหลังจากนี้ไป เรียกว่ามันจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เราเห็นนี้อีกแล้วมันจะเปลี่ยนภาพจาก "หนังเกาหลีแบบแดจังกึม" กลายเป็น "หนังบู๊เลือดพล่าน" ไปในทันที ถ้าจะพูดให้คุณเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ทุกคนขณะนี้ "นั่งประจำที่" ให้ดีนะครับ เพราะน้ำหนักและความเป็นตัวตนของแต่ละท่าน ต่างก็คานดุลยภาพกันได้พอดีแล้ว นั่นเอง ถ้าท่านหนึ่งท่านใดขยับจากที่มาก จะกระทบเก้าอี้ของท่านอื่นๆ ไปทั้งหมดเลยครับ เรียกว่าจะเกิดการชุนมุลแล้วกลายเป็น "เก้าอี้ดนตรี" ครั้งใหญ่มั่วไปหมด ไม่รู้ใครโดนบ้าง เพราะมันเสียสมดุล นั่นเอง เหมือนเป็น การ "รุกฆาต ล้างกระดาน" ครั้งใหญ่ไปเลย ทว่า กระดานที่โดนล้างนั้น มันกระดานของไทยน่ะสิ มันจะทำให้คนที่อยู่กันในตำแหน่งใดๆ ก็ตามขณะนี้ "เปลี่ยนแปลงไปหมด" คนที่เคยสูง อาจตกต่ำ, คนที่้ต้อยต่ำ อาจทะยานขึ้นไปแทนที่ เรียกว่าเป็นพลัง "เคลื่อนย้ายดารา" ครั้งใหญ่ แต่ว่า ในทางการเมือง และถ้าคุณเป็น "สายเลือดของนักการเมือง" จริงๆ แล้ว คุณจะต้องมองให้เห็นชัดว่า ไม่มีอะไรผิดหรือถูก และไม่มีอะไรดีหรือเลวลงไปหรอก ถ้าทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิมอยู่ มันก็ดีอย่างหนึ่ง แต่ถ้ามันเปลี่ยนไป มันก็ดีไปอีกแบบหนึ่ง ก็เท่านั้นแหละ


กลับมาเรื่อง Sky dragon ตกต่อครับ ท่านเคยได้ยินเรื่องของ "บังทอง" ไหม? บังทองเป็นคนเก่งคนหนึ่ง ในยุคสามก๊ก เขาว่าเก่งพอๆ กับขงเบ้งเชียวละ และที่บังทองได้เกิด ได้รับการยอมรับจาก "เล่าปี่" ก็ด้วยบังทองตัดสินคดีต่างๆ อย่างแม่นยำ, ถูกต้อง และรวดเร็ว บังทองแกล้งไม่ทำงานอะไรเลย ไม่มีผลงานอะไรเลย จนเมื่อถูกท้วงติง ก็ทำเสร็จในฉับพลัน นั่นแหละ ความไม่ธรรมดาของบังทอง ดูแล้วก็ช่างไม่ต่างอะไรกับ "ดีเอสไอ" เท่าไรนัก ทว่า บังทองก็มาตายไปเีสียก่อนเวลาอันควร เพราะรีบร้อนสร้างผลงานเกินไป ในครั้งที่เขาเคลื่อนทัพผ่าน "เนินหงส์ตก" นั้นเอง ขงเบ้งก็ได้เตือนบังทองว่าอย่าไป แต่เขาก็ไม่เชื่อฟัง (คิดว่า ขงเบ้ง ไม่อยากให้ได้ผลงานกระมัง) เขาก็เดินหน้าต่อ แต่แล้ว สุดท้าย บังทองก็ต้องมาตาย ณ เนินหงส์ตก นั่นเอง คราวนี้ ก็มี "บางท่าน" ออกมาเตือนว่า "มีคนเล่นหมากเหี้ยม ให้ดีเอสไอ ลาออกเสีย" ผมก็มองว่าเขาพูดจริงใจนะ เพราะถ้าลาออกก็จะหลุดพ้นจากวังวนการเมือง ที่กำลังจะยิ่งร้อนแรงและทำลายไม่เว้นใครเลย เรียกว่า "รอดพ้นไป" (ถ้าคุณอภิสิทธิ์ ถูกให้ออกจากการเมือง ก็จะรอดเช่นกัน เีรียกว่า "โชคร้ายกลายเป็นดี") แล้วพอหลังจากสิ้นคำเตือนนั้นไม่นาน "Sky dragon" ก็มาตกอีก ช่างเหมือน "บังทอง" ซะยิ่งกระไร เอาละ ผมไม่ว่าใครถูกหรือผิดหรอกครับ ในทางการเมือง มันไม่มีแบบนั้น แล้วแต่ใครจะเลือกเดินทางไหน ก็ยืดอกรับผลที่จะเกิดขึ้นเองก็แล้วกัน (ผมก็คิดว่า ดีเอสไอ อาจมีความจำเป็นต้องรักษาตำแหน่งของตนไว้ก่อน เพื่อรอโอกาสทองบางอย่าง ที่ตนได้เตรียมไว้พร้อมมูลแล้ว เลยต้องยอมทำตามเขาทุกอย่าง เพื่อรักษาตำแหน่งไว้ก่อนอย่างไรละครับ) สวัสดีครับ ...



วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พลิกความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ ให้กลายเป็นแสนยานุภาพในองค์รวมได้อย่างไร?

ผมเคยได้กล่าวแล้วถึง "สงครามเย็น" ที่เดินเกมกันอย่างตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในขณะนี้ ต่อไปนี้ ผมจะกล่าวถึง "โอกาส" ที่ไทยเรามีอยู่ตามธรรมชาติ อันจะช่วยเปิดทางให้สามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่กองทัพได้ หมายความว่าอย่างไรครับ? อย่างนี้ครับ ถ้าจู่ๆ ประเทศเรา หรือประเทศไหนก็แล้วแต่ อนุมัติงบประมาณทางการทหาร หรือเตรียมเสริมกำลังให้แก่กองทัำพ "อย่างผิดปกติ หรือไร้เหตุผลสมควร" มันก็จะกลายเป็นเป้าสายตา ให้ประเทศมหาอำนาจจับตามองทันทีว่า "เฮ้ย มรึง เตรียมกองทัพทำอะไรว่ะ คิดจะทำสงครามกับใครน่ะ?" สุดท้าย สถานการณ์ก็จะแย่ลง เลวร้าย และส่งผลกระทบให้ได้รับการตอบโต้ทางนโยบายได้ เช่น ประเทศใหญ่ๆ อาจกีดกันทางการค้าด้วยมาตรการทางกฏหมายต่างๆ เพื่อกดดันให้เราเลิกสะสมอาวุธ หรือเสริมความเข้มแข็งของกองทัพ เหมือนดังที่ พม่าและเกาหลีเหนือ โดนมาแล้วนั่นอย่างไรละครับ ทว่า ไอ้การที่เราจะไม่ทำเลย มันจะได้อย่างไรละครับ? ไม่เท่ากับเราเป็นหมูให้เขามาเชือด หรือเสือร้ายมาล่ากินไปหรือครับ? ยิ่งประเทศเราผลิตข้าวและอาหารได้มากๆ ปากก็แจ้งโร่ไปบอกเขาทั่วโลกว่า "เราเป็นครัวของโลกนะ" นี่ยิ่งไปใหญ่เลยครับ ความซวยจะมาเยือนเราได้ แบบไม่รู้ตัว คือ เวลาเกิดสงครามขึ้นมานี่ เราจะกลายเป็นหมูที่ใครๆ ก็อยากเชือดก่อนเลย ถ้าใครฮุบหรือกลืนได้ ก็จะได้ "เสบียง" ไปสบายแฮไงละครับ กลายเป็นเป้าโดนเล่นงานไปเลย (ดังนั้น ตอนนี้ เสี่ย CP เลยขายหุ้น CPF และ 7 eleven ไปซะแล้วไงละครับ เพราะเขาคงไม่อยากเป็นหมูน่ะครับ) คำถามคือ แล้วทำอย่างไรดีละ ถ้าเราไม่อยากเป็นหมูรอขึ้นเขียงให้เขาเืชือด? เราจะเสริมกำลังกองทัพอย่างเปิดเผยก็ไม่ได้อีก?


นี่ไงครับ "ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้" นี่ละ ที่จะช่วยให้ชาติเรารอดทั้งประเทศ เราก็อ้่างว่าเพราะเหตุความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ ทำให้เราต้องเพิ่มงบประมาณทางการทหารบ้าง, ทำอะไรๆ อันเสริมความเข้มแข็งทางการทหารบ้าง ฯลฯ ไม่เห็นจะยากเลย แล้วก็ไม่ต้องรีบใจร้อนให้มันจบ หรือเร่งเอากองทัพไปเอาัชัยอะไรกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหรอก ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ แต่เราก็ต้องป้องกันพลเรือนของเราอย่างดี อย่างเต็มที่นะ แต่เราจะไม่รุกเข้าไปทำลายประชาชนของเรา เพราะเขาไม่ใช่ "อริราชศัตรู" นะครับ เขาคือ ประชาชนของเรา อย่าลืมตรงนี้ครับ เอาเลย อยากก่อความไม่สงบก็ทำเลย เราจะได้อ้างเป็นเหตุในการเสริมกำลังกองทัพของเรา เตรียมพร้อมกับสงครามเย็นที่เกิดขึ้นแล้วนี้ และไม่รู้ว่าวันใดจะปะทุขึ้นเป็นสงครามโลกครั้งที่สามอย่างเปิดเผย? ทำให้กองทัพและทหารทุกคนได้อุ่นเครื่อง เพราะถ้าทหารไม่ได้รบนานๆ มันก็เย็นหมด ต้องอุ่นเครื่องกันบ้างครับ อาวุธยุทโธปกรณ์อะไร ก็เอามาเลย เต็มที่ อย่าเก็ก อย่ากั๊ก เสื้อเกราะกันกระสุนเอามาเลย เต็มที่ หมุนเวียนเปลี่ยนทหารให้ได้มาที่นี่ด้วย "ทั้งกองทัพ" เพราะุ้ถ้าจะอุ่นเครื่องกองทัพ มันก็ต้องทำทั้งกองทัพ ไม่ใช่ทำแค่คนกลุ่มเดิมมันจะได้อะไร? แล้วก็อาศัยเรียนรู้การรบแบบกองโจรของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนั่นแหละ "เป็นครู" เลียนแบบเขาบ้าง เพราะคุณคงจำได้ดีนะว่าเวียดนามชนะอเมริกาที่มีวิทยาการทันสมัยกว่าได้อย่างไร? จะให้สู้กันแบบ "ซื้อบื้อ" ก็คงไม่รอดหรอกครับ มันจำเป็นต้องใช้ยุทธวิธีแบบกองโจรหรือการรบแบบนอกตำราดูบ้าง และในเมื่อมันเป็นของนอกตำรา มันก็หาเรียนในห้องไม่ได้ นอกจากจะลงพื้นที่จริงละครับ นั่นหละ จึงจะได้ฝึกฝนตนเองอย่างแท้จริง เอาละ ผมบอกหมดแล้ว เท่ากับเผยไพ่ไปหมด ก็แน่นอนว่า "มันย่อมใช้การไม่ได้อีก" แต่ผมเผยไพ่ให้ท่านดู เพราะเชื่อว่่า "ท่านมีปัญญามากๆๆๆ" ที่จะคิดอะไรได้ดีกว่านี้อีกเยอะแยะ "เสียไพ่ไปสักใบหนึ่ง" ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรท่านหรอกครับ จบ!


   

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Propaganda แบบไหนที่ "จีน" จะใช้ล้างสมองชาวเอเชีย?

ยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดอย่่างหนึ่งในการทำสงครามเย็นเพื่อ "การกลืนเงียบ" คือ "การใช้อิทธิพลสื่อครอบงำ" ล้างสมอง ทำให้เชื่อในสิ่งใหม่ ตามที่ตนต้องการ และเป้าหมายของการล้างสมองชาวเอเชียก็คือ "การสร้างประวัตศาสตร์ใหม่ของโลก" ถึงที่มาของมนุษย์กันเลยทีเดียว (ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายอเมริกาเลยทำหนังเรื่อง โพรมีธีอุส ขึ้นมาส่งสัญญาณเตือนว่า "การค้นหาต้นกำเนิดของมนุษย์" นั้น จะทำให้ตัวแกเองแหละ ได้รับความตาย คอยดูสิ หนังโพรมีธีอุส จึงมีเนื้อหาออกมาในเชิงว่ายิ่งมนุษย์อยากรู้ที่มาของตนเอง (ว่าตนเองมีกำเนิดมาจากไหน) ก็จะยิ่งนำพาตัวเองไปสู่ความตาย (โดยการให้สัตว์ประหลาดต่างดาวออกมาไล่ล่าตัวเอกในเรื่อง ที่กำลังค้นคว้าหาความจริง) นี่คือ "การตอบโต้ด้วยอิทธิพลสื่อ" อันเป็นหนึ่งใน "ยุทธศาสตร์สงครามเย็นแบบกลืนเงียบ" ที่ต่างก็ใช้สื่อเล่นงานกันไปมา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การ "ช่วงชิงความเชื่อจากมวลชน" นั่นเอง หมายความว่า ถ้ามวลชนในโลกเชื่อข้างไหนมาก ข้างนั้นก็จะเป็นฝ่ายชนะ อนึ่ง การที่จีนเล่น "ประวัติศาสตร์" เพราะอะไร? เพราะในโลกนี้ ประเทศที่มีการนับประวัติศาสตร์ของตนย้อนหลังไปยาวนานที่สุด และได้รับการบันทึกไว้ เห็นจะไม่มีใครเกินประเทศจีน (ถ้าไม่รวมเมืองโบราณอย่างเช่น กรีกที่ท้าวความถึงขั้นกำเนิดโลกกันเลย) ในเอเชียนี้ประเทศจีนมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ "เริ่มสร้างโลก" ก็จะมีเทพเจ้าต่างๆ ลงมาสร้างไว้ จากนั้น ก็เริ่มมีมนุษย์, เริ่มมีสังคมมนุษย์ แล้วจากสังคมมนุษย์ก็เริ่มมีรัฐ ขึ้นมาครั้งแรก (ยังไม่ใช่ประเทศนะครับ ขอบเขตยังหลวมๆ เปลี่ยนแปลงได้ไม่เคร่งครัด) โดยเริ่มนับตั้งแต่ปฐมกษัตริย์องค์แรกของจีนที่ว่ากันว่ามีเชื้อสายมาจาก "มังกร" หรือเป็นเผ่ามังกรมาเกิด กันเลยทีเดียว นอกจากนี้ จีนได้จัดการวรรณกรรมต่างๆ ที่เห็นว่ามีผลกระทบต่อความมั่นคง เช่น วรรณกรรมของกิมย้ง ซึ่งเขียนเกี่ยวกับ "จอมยุทธ์" หรือ "นักการเมือง" ที่เคลื่อนไหว ก่อการ ก่อตัว รวบรวมผู้คน อยู่นอกระบบ อันจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองได้บ่อยๆ เมื่อจีนได้ควบคุมสื่อเรียบร้อยแล้ว เราจึงไม่เห็นหนังกำลังภายใน สร้างและฉายกันอย่างเสรีอีก รัฐบาลจีนได้เข้ามามีบทบาทในการสร้างหนังเอง ลงทุนเอง และกำหนดเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ เอง ไม่ใช่แต่เพียงหนัง เ่ท่านั้น ยังมีสื่ออื่นๆ อีกมากมาย เช่น เกมคอมพิวเตอร์, เกมออนไลน์ ฯลฯ ที่แทรกคติความเชื่อ เรื่องการกำเนิดโลก, กำเนิดชนชาติ, กำเนิดประเทศจีน ฯลฯ เป็นต้น และถ้าต่อเรื่องราวมาอีกหน่อยว่าหลังจากนั้น ชาวจีนก็แพร่ขยายออกไปทั้งเอเชีย เรียกว่า กลุ่มคนไต บ้าง มาอยู่เมืองไทยบ้าง เวียดนามบ้าง อย่างนี้ไม่เท่ากับกำลังจะบอกว่าบรรพบุรุษคนไทยเป็นคนจีนไปเลย ซึ่งถ้าทำให้เชื่อเช่นนี้ได้ มันก็จะง่ายต่อการ "กลืนเงียบ" แล้ว ใช่ไหมละครับ เพราะประวัติศาสตร์ไทยเรา ย้อนหลังไปได้ไม่ถึง ๑,๐๐๐ ปี นัก คำถามมันก็เกิดขึ้นแล้วว่า "ก่อนหน้า ๑,๐๐๐ ปีละ เราเป็นใครอยู่ไหน?" ถ้ามีคนจีนมาตอบให้เราว่า เราก็คือเชื้อสายของชาวจีนที่อพยพมาละ ด้วยเพราะประัวัติศาสตร์จีนได้ค้นพบและบันทึกเอาไว้ มีหลักฐานมากมาย อย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ เต็มไปหมด ไม่เชื่อก็ไปดูที่ "พิพิธภัณฑ์ลูกหลานแดนมังกร" ได้ ที่สุพรรณบุรี จะได้ทราบว่า "บรรพบุรุษชาวสุพรรณบุรี" ไม่ใช่พระนารายณ์องค์เล็ก องค์เก่าเสียแล้ว กลายเป็น "มังกรยักษ์" ที่ล้อมศาลหลักเมืองไปเรียบร้อยแล้ว แล้วไอ้ที่พูดเหน่อกันนี่ มันเป็นไผ๋กันละ? อีกหน่อยก็คงไม่มี!


เห็นไหมละครับ เขามาแล้ว ทำแล้ว และวางตัวหมาก ตัวกระทำ ไว้เรียบร้อยหมดแล้ว อีกหน่อยก็จะเอา "หมากที่ใช้แล้วทิ้ง" มาทำลายสถาบันกษัตริย์ซะ ที่นี้ ประวัติศาสตร์ชาติก็ถูกตัดแต่รากถอนโคนไปหมด จบเห่เลย เราไม่มีประวัติศาสตร์แบบนั้นแล้ว แบบพระนารายณ์มาเกิดเป็นกษัตรย์น่ะ หมดเกลี้ยง จากนั้น เขาก็จะเอา "หมากขุนตัวใหม่" นักวางยุทธศาสตร์ความเชื่อ "ว่าบรรพบุรุษไทยคือชาวไต ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากคนจีน" มาวางรากฐานความเชื่อ สอนพวกเรา ล้างสมองพวกเรา แล้วก็จะเอา "เทพมังกร" มาแทน เป็นบรรพบุรุษเรา เป็นโคตรพ่อ โคตรแม่เรา ฮ่าๆๆ เป็นไงละครับ ยุทธการกลืนเงียบ ไอ้เราก็ชอบอยู่แล้วด้วยสิ ซึ่งคงไม่ใ่ช่แต่เรา ประเทศไทยหรอก ใครที่เหมือนๆ จีนหน่อย มันก็ง่าย โดนกลืินไปหมดแล้ว เช่น ธิเบต, ฮ่องกง อีกหน่อยก็ ไต้หวัน, เวียดนาม, พม่า, ลาว, กัมพูชา ฯลฯ มันก็ไม่ยากหรอก ประเทศเหล่านี้ พร้อมยอมรับอยู่แล้วนี่ครับ ทีนี้ เรามาดู "หนังจีน" กันหน่อยว่าเดี๋ยวนี้ มันเปลี่ยนไปอย่างไร แค่ไหน? เช่น หนังเรื่อง The promise อันนี้ เนื้อหามี "คนใส่หน้ากากไปฆ่ากษัตริย์" ด้วย เป็นไงละ เรื่อง "เทพกระบี่พิชิตมาร" อันนี้ สุดยอด ผมก็ชอบสุดๆ เลย ในนั้นก็มีเนื้อหาหลักธรรมของเต๋า แทรกอยู่เต็มไปหมด (สังเกตุว่าจีนคอมมิวนิสต์ตอนนี้ ให้น้ำหนักกับเต๋ามากกว่าลัทธิขงจื้อนะครับ อาจเป็นเพราะว่าเต๋าเป็นรากฐานของลัทธิขงจื้ออีกที) เขาจะเน้นมากเรื่อง "เจ้าแม่หนี่วาสร้างโลก" แล้วเจ้าแม่หนี่วาเป็นใคร ถ้าไม่รู้ก็ตอบง่ายๆ คือ "คนจีน" นั่นแหละ รู้แค่นี้ ตอบถูกแล้ว ดังนั้น "โลกจึงเป็นสมบัติของคนจีน" ไงครับ ง่ายดีไหม? แต่ว่าอย่าเพิ่งไปดูถูกเนื้อหาเรื่องราวเขาก่อนละ เพราะมันมีสัจธรรมความจริงบางอย่างอยู่ เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ได้นำไปสู่ปัญญา แต่มันอาจถูกนำมาใช้เพื่อ "ล้างสมอง" และ "สร้างความเื่ชื่อใหม่" ให้คนคล้อยตามว่า "ไทยและประเทศอื่นๆ ในเอเชียเป็นส่วนหนึ่งของจีน" ก็แค่นั้นเอง เอาละ วันนี้ แค่ให้ข้อสังเกตุในสื่อต่างๆ ที่มาจากประเทศจีน จริงๆ แล้วมันสนุกและมันมาก (แหม ถ้านั่งดูหนัง ก็ได้อารมณ์ อินกันสุดๆ) เพราะยังมี "สื่อจากประเทศอื่นๆ" เช่น เกาหลี ที่เก่งเรื่อง "การปั้นแต่ง, เสริมแต่ง" ประวัติศาสตร์ของตัวเองมาก คงเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระจากจีน นั่นเอง แล้วเราละ ยังมีหนังเก่าย้อนไปได้อย่างมากแค่ยุคของพระนเรศวรเท่านั้นเอง หนังจักรๆ วงศ์ๆ ของเรา พวกนิทานปรัมปรานั้น มีมานานแล้ว แต่มันอาจหมายถึง "ประว้ัติศาสตร์ที่เล่าเป็นนิทาน" สอนลูกหลานให้จดจำ มาแต่ครั้งยุคก่อนประวัติศาสตร์ "สุโขทัย" ก็เป็นได้! (แต่มันคงได้ผลแต่กับเด็กที่โง่ๆ ซื่อๆ หรือเอ๋อไปเลย ที่เชื่อนิทานว่าเป็นความจริงเท่านั้น!) เอาละ ในบทความฉบับหน้า เราอาจจะได้มาวิจารณ์กันเรื่อง "สื่อ" กัน โดยเฉพาะ "หนัง" ของประเทศอื่นๆ เช่น หนังของเกาหลี, ฮ่องกง, ไต้หวัน ฯลฯ กันบ้าง สำหรับบทความฉบับนี้ นั้น ขอจบลงเท่านี้ สวัสดีครับ ...



วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จัดการ "ทักษิณ" แล้วจะดีกับประเทศไทยจริงไหม?

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกจับจ้องว่า "มีสายสัมพันธ์กับประเทศจีน" และทำงานให้กับพวกคนจีน (เหตุการณ์คล้ายยุค พระเจ้าตากสิน ครั้งที่ติดหนี้คนจีน ทำให้คนจีนอาศัยโอกาสครอบงำไทยได้ จนต้องหาวิธีปลดพันธนาการนั้นด้วยการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน) และถูกสงสัยว่าอยู่เบื้องหลังรัฐบาลและเป็นผู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายอย่าง คำถามคือว่า "จัดการเขาแล้วจะทำให้ประเทศ ไทยดีขึ้นจริงหรือไม่?" ผมคิดว่าคงมีหลายๆ คนในประเทศไทยที่คิดอย่างนั้น ไม่สิ ไม่เพียงแต่คิด ทั้งยังลงมืิอทำไปแล้วด้วยหลายครั้ง แต่อาจยังไม่สำเร็จ นั่นคือ การคิดแบบลวกๆ หรือทำแบบลวกๆ ครับ ยังไม่สุขุมรอบคอบพอ เพราะอะไรครับ? เพราะจีนวาลแผนครองอำนาจในเอเชียอยู่แล้ว ต่อให้เรากำจัดคุณทักษิณได้ จีนก็จะหา "ตัวหมากตัวใหม่มาเล่น" และหมากตัวนั้น ถูกสงสัยว่าจะเป็น "คุณบรรหาร" อดีตนายกไทยอีกคนหนึ่ง นั่นเอง นั่นคือ "หมากเบอร์ที่ ๑" ถัดจากนั้นยังมีหมากรองที่ถูกสงสัยว่าจะเป็นตัวหมากตัวต่อไปของคนจีน เช่น "คุณเนวิน" ฯลฯ เอาละ ผมไม่อยากสงสัยมาก อย่าลืมครับ ว่ามันเป็นแค่การสงสัยเท่านั้น คนเราทุกคนสงสัยกันได้ ไม่ใช่การหมิ่นประมาทเลยแม้แต่น้อย ทีนี้ ผมจะอธิบายต่อไปว่า "ถ้าจัดการคุณทักษิณ" แล้วจะกระทบต่อภาพรวมของ "การเมืองในภูมิภาคเอเชีย" อย่างไร?


กล่าวคือ ผมสงสัยว่า ไทยก็ไม่พ้นการครอบงำของจีนอยู่ดี จีนจะหาตัวหมากใหม่มาแทนที่คุณทักษิณทันที ซึ่งก็ไม่ยากเลย (มีไพ่เต็มมืออยู่แล้ว) ดังนั้น เราจะต้องเจอตัวหมากใหม่, กลยุทธ์ใหม่ และอะำไรๆ ที่เราไม่คุ้นเคยและเราต้องมาปรับตัวใหม่อีกมาก ตอนนี้ เราคุ้นเคยกับการเดินหมากตัวนี้ (คุณทักษิณ) แล้ว เรารู้ว่าเขาเดินอย่างไร ก็ดีแล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนตัวหมากใหม่ กลยุทธ์ใหม่ เราเองอาจได้รับผลกระทบหรือปัญหาที่มากขึ้นกว่าเก่าก็ได้ โดยเฉพาะ "อำนาจขั้วอเมริกา" จะครอบงำไทยทันที หลังสายป่านข้างคุณทักษิณขาด เพราะอะไร? เพราะทั้งอเมริกาและจีน ต่างก็จ้องครอบงำไทยอยู่แล้ว ถ้าแขนข้างใดข้างหนึ่งขาดไป อีกข้างก็จะกลายเป็น "ผู้ผูกขาด" ประเทศไทย ไปทันที นี่แหละ คือ ปัญหาที่ร้ายกาจกว่าที่คุณจะคาดคิดได้ ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดของไทยคือ "ควรเก็บทั้งแขนขวาและแขนซ้ายเอาไว้" เพื่อคานอำนาจกันและกัน นี่จึงดีที่สุด และเพื่อที่เราจะเล่นเกมคานอำนาจนี้ให้ได้ผล มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง เราจึงจะต้อง "มีผู้อยู่ตรงกลาง" ที่มีบารมีมากพอที่จะช่วยในกระบวนการถ่วงดุลอำนาจของแขนทั้งสองข้างนี้ให้ได้ ด้วยวิธีนี้เอง เราจึงจะรอดจากวิกฤติการเข้ามาแผ่อิทธิพลของ "สองอภิมหาอำนาจ" ที่ยิ่งใหญ่ของโลก ท่านเอ๋ย ที่ผมเขียนอยู่นี้ ไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่เพื่อ "ทั้งหมดทั้งมวล" เพราะมันจะมีผลต่อทั้งอาเซียน ทันที ที่ประเทศไทยไม่อาจคานอำนาจสองฝ่ายนี้ได้ กลไกลมันจะเกิดการขับเคลื่อนทันที เมื่อใดที่ประเทศไทยอันเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ถูกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งครองได้แล้ว เขาก็จะเดินเกม "สงครามในแบบของตน" ทันที และเมื่อนั้น "อาเซียนจะลุกเป็นไฟ" และตามมาด้วยการเกิดผลกระทบไปทั่วโลก ดังนั้น อย่าคิดสั้นๆ อย่าทำอะไรลวกๆ ควรมีความสุขุมรอบคอบให้มากเข้าไว้ เพราะสถานการณ์ไม่สู้ดี ท่านเอ๋ย ผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเองหรือใครคนใดคนหนึ่ง นี่คือ สัจจริง ไม่ใช่การสร้างภาพ พูดสวยหรูแต่ปาก แต่การกระทำขัดแย้งก็หาไม่ โปรดไตร่ตรวงดูให้ดีเถิดว่าสิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ "มีเหตุผล มีน้ำหนัก" มากน้อยเพียงใด สำหรับบทความฉบับนี้ ขอจบลงแต่เพียงเท่านั้นครับ...



วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"ฉีกหน้ากากกบฎ" กบฎตัวจริงคือใครกันแน่?

ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่นำโดย "ผังเจียน" (ผมขอเรียกคนๆ นี้ ตามอดีตชาติของเขา ที่ผมระลึกได้ เพราะชื่อปัจจุบัน เอ่ยไม่ได้ครับ) คนกลุ่มนี้ มีมิจฉาทิฐิฝังหัวอยู่เสมอว่า "ประชาชนที่แสดงความคิดเห็นทางการเมือง คือ ภัยต่อความมั่นคง" และคอยใช้อำนาจบาตรใหญ่ "ใส่ร้าย" ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่เคยออกไปชุมนุมประท้วง ได้แต่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยสันติ ทางอินเตอร์เน็ต ว่าเป็น "ภัยต่อความมั่นคงของชาติ" ทั้งๆ ที่พวกเขาเหล่านี้ "ล้วนมีจิตอาสาทำเพื่อประชาชนโดยไม่หวังผลตอบแทน" ไม่ต่างจาก "มหาตมะ คานธีร์" ที่เคยขับเคลื่อนประเทศอินเดียโดยสันติวิธี ไม่ใช่ความรุนแรง แต่ก็ยังไม่วายโดนคนพวกนี้ก็ยังใส่ร้าย ให้คนมากมายเชื่อได้ว่า ประชาชนผู้บริสุทธิ์และเสียสละเหล่านั้น คือ "ภัยต่อความมั่นคงของชาติ" ทั้งยัง เรียก "นายกยิ่งลักษณ์" ไปคุย กรอกหู และยัดเยียดข้อมูลตอแหล ให้นายกเชื่อว่า "ประชาชนผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ คือ ภัยต่อความมั่นคงของชาติ" แต่ว่า นายก เขาก็ไม่เคยเชื่อหรอก เพราะถูกบังคับ จึงจำเป็นต้องเออออ เข้าไปฟัง ถูกบังคับให้ออกมาทำงาน เรื่องปัญหาภัยต่อความมั่นคง ที่นอกเหนือจากสามชายแดนใต้ (เรื่องปัญหาชายแดนใต้ ก็ยังแก้ไม่ได้ ทั้งศัตรูทางการเมืองของตัวเอง มันก็ยังจัดการไม่เรียบร้อย มันยังเสือกก่อศัตรูเพิ่ม นี่ละครับ "สันดาน" ของผังเจียน เวลายกทัพไปตีศัตรูถึงได้ถูกซุนปินตลบหลังอยู่ตลอด สุดท้าย ก็ตายไม่ต่างจากหมาตัวหนึ่ง) เปลือกนอกของผังเจียน ถูกกำหนดให้มาทำงานด้านการสร้างสัมพันธไมตรี ดูดีมากครับ นั่นเพราะอะไร เพราะเขาต้องแก้ไข จุดเสียของตนเองตรงนี้ให้มาก เขาเป็นคน "ไม่จริงใจกับใคร" ไปเข้าหาใคร เปลือกนอกก็ดูดี เหมือนรักกันมาก แต่ใจจริงมันตรงกันข้ามครับ ไปทำดีกับคนจีน แต่ใจมันเกลียดคนจีนเข้าใส้ ไปทำดีกับคนลาว แต่ใจก็ไม่เคยเห็นคุณค่าที่แื้ท้จริงของคนลาว คือ มันก็ทำไปอย่างนั้นเอง แสดงละครได้ดีเลยมีภาพลักษณ์ดี คนชอบเยอะครับ


ทีนี้ พอมันมีอำนาจมากๆ เพราะ "พ่อมันป่วย" แล้วหาคนทำงานให้พ่อมันไม่ได้ พ่อมันไม่ไว้ใจใคร มันก็เลยได้อำนาจ มาสั่งการ นั่น โน่น นี่ สารพัด ไม่สนใจใครจะคิดอย่างไร มันก็มาตามมิจฉาทิฐิของมัน มันคิดวางแผนที่จะจัดการกับ "ประชาชนผู้บริสุทธิ์" ที่แสดงความคิดเห็นอย่างสงบตามระบอบประชาธิปไตย   โดยการใส่ร้ายว่าเป็น "ภัยต่อความมั่นคง" ครับ นั่นแหละ สันดานของผังเจียน กี่ชาติก็แก้ไม่หาย คุณคิดดูนะ ประชาชนเขาอุตส่าห์ ไม่ออกไปเดินขบวน ไม่ไปชุมนุมสร้างความเดือดร้อนให้ใคร เขาใช้สิทธิ์แสดงความคิดเห็นทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย แต่มันยังอาศัย "หน้ากากผู้ดี" อาศัยว่ามีคนเชื่อว่ามันเป็นคนดีมาก (ภาพลักษณ์มันดีครับ) มันก็เลยครอบงำ กล่อมประสาท ทำให้คนเชื่อ ตามๆ มันไปว่า "ประชาชนที่แสดงออกทางความคิดเห็น" คือ "ภัยต่อความมั่นคงไป" มันจะเป็นภัยต่อความมั่นคงไปได้อย่างไรละครับ? ตรงกันข้าม มันคือ "เสาหลักแห่งความมั่นคงของประชาธิปไตย" เลย และอย่าลืมครับ อย่าหลงเพ้อครับ ตื่นได้แล้วครับ อย่าอินกับอดีตที่ผ่านไปแล้วมากไป ประเทศของเรา หมดยุดที่เป็น "ระบอบเจ้าขุนมูลนาย" ไปนานแล้วครับ ตื่นได้หรือยัง? หรือยังฝันเฟื่องลอยลมกันอยู่อีก? จะทำให้ประเทศมันถอยหลังลงคลอง แล้วพวกเราต้องไปเป็นขี้ข้า ไปเป็นทาส เช้ามาตื่นมากราบตีนเจ้าขุนมูลนายกันอีกหรือครับ? พอแล้วครับ เราโดนกันมาเยอะแล้ว พระไทยท่านก็สอน "ให้อยู่กับปัจจุบันนะลูกนะ" ไม่ให้ไปหลงยึดติด อาลัยอาวรณ์อะไรกับอดีตที่มันสิ้นไปแล้ว เราเป็นประชาธิปไตยแล้วในปัจจุบัน ดังนั้น การที่ประชาชน ไม่ไปชุมนุมประท้วง แต่แสดงความคิดเห็นทางการเมือง ผ่านสื่อต่างๆ โดยสงบนั้น คือ "รากเหง้าและเสาหลักของประชาธิปไตย" ครับ ดังนั้น สิ่งที่ผังเจียนทำ ก็คือ "การใส่ร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์" ที่กำลังสร้างรากฐาน สร้างความมั่นคง ให้กับประชาธิปไตยไทย กำลังสร้างภูมิปัญญาให้กับมวลชนคนไทย และกำลังกลายเป็น "เสาหลัก" ที่ยืนหยัดด้วยอุดมการณ์แห่งประชาธิปไตยเต็มร้อยครับ นั่นคือ "ผังเจียนต้องการล้มเสาหลักประชาธิปไตย" จับประชาชนผู้บริสุทธิ์มายัดเยียดข้อหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็น "กบฎ" เพราะกำลังคิดการณ์ใหญ่ ล้มล้างระบอบประชาธิปไตยครับ เพื่ออะไร? เพื่อให้ประเทศถอยกลังลงคลองกลายเป็นระบอบเจ้าขุนมูลนายไงละครับ ดังนั้น เขาจึงสั่งใช้ ปชป. ให้มาไล่จับเว็บไซต์ต่างๆ ถามว่า "เว็บไซต์เหล่านี้" ผิดหลักประชาธิปไตยไหม? ไม่เลยครับ ตรงข้าม มันคือ การแสดงออกอันจะนำไปสู่ความเ้ข้มแข็งของประชาธิปไตย แต่พวกเขาก็ยัง "ใส่ร้าย" ป้ายสีว่าคนเหล่านี้เป็นภัย? ถามว่าเป็นภัยต่ออะไรกันแน่? มันไม่ใช่ภัยต่อประชาธิปไตยแน่นอนครับ แต่มันอาจเป็น "ภัยต่อพวกที่กำลังกบฏต่อประชาธิปไตย" เท่านั้นเองครับ สมัยก่อน พวกกบฏพวกนี้ ต้องถูกประหารเจ็ดชั่วโคตรครับ แต่สมัยนี้เราเป็นประชาธิปไตยแล้ว เราไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ เราก็ได้แค่ "แสดงความคิดเห็น" ให้ท่านผู้อ่านที่ "น่าจะมีปัญญามาก" ไม่น้อย ดูกันเอาเองครับว่าใครกันแน่ที่เป็น "ภัยต่อความมั่นคงของชาติ" ขอท่านผู้อ่านอย่าได้ยึดติดตัวบุคคล เปิดใจให้กว้าง ใช้เหตุผลให้มากครับ



วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สงครามเย็น การปฏิรูปสีเจี้ยนผิง เปาบุ้นจิ้น 2012

ผมได้แจ้งให้ท่านทราบแล้วว่า "จีนเดินกลยุทธ์สงครามเย็น" และ อเมริกาเดินกลยุทธ์ "สงครามไฟ" ต่างกัน อย่างนี้ ชัยชนะ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสร้างสถานการณ์ให้เอื้อต่อกลยุทธ์ของตนเองได้มากกว่ากัน ก็เท่านั้น เช่น ถ้าทำให้เกิดสงครามไฟ เปิดเผยได้ อเมริกาก็ได้เปรียบ แต่ถ้าไม่ให้เกิดได้ ก็เข้าสู่สงครามเย็นต่อไป จีนก็ได้เปรียบ ดังนั้น "จีนจึงไม่มีนโยบายทำสงครามเปิดเผย" มีแต่สงครามเย็นแบบลับๆ เท่านั้น (และเป็นเหตุให้ อเมริกาตอบโต้กลับด้วย HAARP ก่อให้เกิดภัยพิบัติที่ไม่ไ่ด้เกิดจากธรรมชาติที่แท้จริง เพราะเป็นการลอบกัดเหมือนกัน) ด้วยเหตุนี้ จีนจึงมุ่งเน้นกลยุทธ์ สร้างความเข้มแข็งจากภายใน และ "กัดกร่อนภายนอกอย่างช้าๆ" เป็นกลยุทธ์ "น้ำกรดแช่เย็น" และเพื่อให้กลยุทธ์เข้มแข็งจากภายในสำเร็จดั่ง "ซางหยาง" ที่เคยปฏิรูปรัฐฉินจนทำให้ชาติที่ยากจนกลายเป็นมหาอำนาจไปแล้ว จึงมีการกวาดล้างและเช็คบิลกันยกใหญ่ ดังที่ท่านได้เห็นข่าวว่านักการเมือง, ผู้มีอำนาจของจีน มากมายที่โดนเล่นงานแบบเรียงหัวกันไปเลย ออกข่าวแทบไม่เว้นแต่ละเดืิอน เดี๋ยวคนนั้นคอรัปชั้น เดี๋ยวคนนี้มีเรื่องฉาวโฉ่ ฯลฯ นั่นแหละ ผมจึงเรียก สีเจี้ยนผิง ว่า "เปาบุ้นจิ้น 2012" มาลงดาบเล่นงานพวกอำนาจเก่าให้หมดไป เพื่อเปิดทางให้กลุ่มอำนาจใหม่ขึ้นมา เปลี่ยนโครงสร้างผู้มีอำนาจจากเดิมที่มาจาก "เชื้อสาย" ให้เป็นมาจาก "ความสามารถ" อันเป็นสิ่งที่สีเจี้ยนผิง "เก็บกดมานานแล้ว" (ไม่ต่างจากเปาบุ้นจิ้นที่เก็บตัวเฝ้าสุสานบิดาเป็นสิบปีเลยครับ) เอาละ แม้ว่าเขาจะไม่สำเร็จถึงที่สุด แต่ไม่้ต้องกลัวครับ แค่ทำให้คนเก่าที่ไม่ไ่ด้เรื่องออกไปซะ เปิดทางให้คนใหม่ๆ ดีๆ เข้ามาแทนที่ได้ เท่านั้น ก็ยอดเยี่ยมแล้ว ถ้าเขาเดินหมากต่อไม่ได้ ก็จะมี "มือใหม่มารับช่วงต่อ" แน่นอนครับ รับรองว่าสภาคอมมิวนิสต์จีน "ไม่ขาดคนมีความสามารถแน่นอน" อันนี้รับรองได้ว่า "เสือซุ่มมังกรซ่อน" ยังมีอยู่ในนั้นอีกมากมายครับ (อย่าประมาทไปเชียว) เพราะอะไรหรือครับ? เพราะเบื้องหลังประธานาธิบดี ยังมีคนที่มีอำนาจมากกว่าที่ไม่แสดงตัวออกมาอีก อย่างไรละครับ คนเหล่านี้ คอยคัดเลือกสรรหา "ประธานาธิบดี" ที่เหมาะสมกับจีน มาสานต่องานต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด คนจีนเก่งๆ ก็ถูกจัดสรรให้ไปบำเพ็ญบารมี ฝึกตนอย่างหนัก อดทนแล้วรอไว้ ถึงวาระ เวลาของตนเมื่อไร พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็จะค่อยๆ ปั้นให้จนถึงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ครับ


นั่นคือ ระบบพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่แตกต่างจากระบอบประชาธิปไตยของอเมริกา ดังนั้น เมื่อเขาเตรียมเข้าสู่ยุคสงครามเย็นเต็มรูปแบบแล้ว ใครบ้างละที่จะเตรียมพร้อมกับกระแสนี้? ก็มี ๑. พม่า ครับ อย่าดูถูกประธานาธิบดีคนปัจจุบันเด็ดขาด คนนี้ไม่ธรรมดา เขากำลังปฏิรูปโครงสร้างอำนาจภายในอยู่ครับ เพื่อให้มีแต่พวก "หัวก้าวหน้า" มาทำงาน เอาพวกหัวอนุรักษ์นิยมออกไป ทั้งยังเปลี่ยนสายป่านจากจีนอย่างเดียว มาเป็น "คานอำนาจจีน-อเมริกา" นี่ไม่ธรรมดาเลยครับ เพราะสิ่งเหล่านี้ที่ผมพูดมาทั้งหมด "มันยากมากครับ" สำหรับพม่านะ ถ้าคุณเป็นคนพม่า จะรู้ว่ามันตึงเครียดแค่ไหน ที่มีหลายชนเผ่า แต่ละชนเผ่าก็มี "กองกำลังทหารของตัวเองทั้งนั้น" อยู่รายรอบเต็มป่าไปหมด แต่เขาทำได้ขนาดนี้ ในเวลาอันสั้น ผมจึงประมาทเขาไม่ได้เลยครับ ๒. สิงคโปร์ ตอนนี้ กำลังวางรากฐานของตนเองให้มั่นคงยิ่งขึ้น และสร้างความแตกต่างให้ชัดเจนจากประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เช่น มุ่งเน้นการเป็นธนาคารแห่งอาเซียน (นายทุนแห่งอาเซียน) ในขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นส่งเสริมด้านศิลปะวัฒนธรรมอันเป็นสิ่งที่เขาขาด เป็นจุดอ่อนของเขาครับ นับว่า "สอบผ่านเต็ม ๑๐๐%" ส่วนเวียดนามยังบ้าคลั่งแข่งขันกับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว มั่วไปหมดจนงงเอง ตอนแรกก็ดีกับจีน เอาแผนเขามาเล่นงานไทยด้วยการกดราคาข้าวแข่งกับไทย ตอนนี้ไปตีกับจีนต่อเรื่องข้อพิืพาทเขตชายแดน ดูสิ ว่ามั่วแค่ไหน? บางทีก็ก้อปความคิดคนอื่นมาทำ มั่วไปหมด แต่ก็ขอชื่นชมว่า "เขาทำเร็ว และทำจริง" เพียงแต่ต้องใจเย็นๆ นิ่งๆ แล้วให้มันแม่นๆ หน่อย ไม่มั่วแบบนี้ เอาละ ประเทศอื่นๆ ก็ก้าวไปไกลแล้ว แต่ไทยเรายังมีปัญหาอีกมาก อาเซียนกำลังรวมเป็นตลาดเดียว มันก็ไม่ต่างจากการที่ปลาน้อยในแต่ละบ่อ ต้องกลายเป็นบ่อเดียวกัน เมื่อนั้น "ปลาใหญ่ก็กินปลาเล็กได้สบาย" ละครับ (เพราะแม้แต่กำแพงภาษีเราก็ไม่มี ที่จะป้องกันตัวเองได้นี่ครับ สินค้าเขามาราคาไหน ไม่มีบวกภาษี ราคามันก็ถูกแน่นอน ทีนี้ละ นายทุนเรากระอักแน่) เราเตรียมตัวพร้อมหรือยัง? ลองคิดดูนะครับ...