วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ศึกชิง "ช้างแก้ว, นางแก้ว, คัมภีร์จักรพรรดิ และพระแก้วมรกต"

มีประวัติศาสตร์อีกช่วงหนึ่งที่น่าสนใจ ควรศึกษามากคือ ช่วงกรุงศรีอยุธยาล่มสลาย ซึ่งในไทยอาจหาความจริงได้ยาก เพราะเป็นความพ่ายแพ้ของไทย ท่านควรหาข้อมูลจากประวัติศาสตร์ประเทศเพื่อนบ้านด้วยนะครับ เอาละ เพื่อไม่ให้เสียเวลา อยากสรุปว่า มันคือ "ศึกชิงความเป็นเจ้าจักรพรรดิ" นั่นเอง


เริ่มจาก "ศึกชิงคัมภีร์จักรพรรดิ์"
หรือ คัมภีร์สุวรรณโคมคำ ที่ตกทอดสู่อาณาจักรล้านนา เดิมยุคนั้น "พระไชยเชษฐาธิราช" ทรงปกครองอยู่ (ทรงมีเชื้อสายล้านช้าง แต่เพราะล้านนาแย่งชิงอำนาจกันวุ่นวาย จึงถูกเชิญมาปกครองล้านนาก่อน) เมื่อล้านนามีผู้เหมาะสมดูแลแล้ว ท่านจากไป ไม่นานนัก บุเรงนองก็ยกทัพมาตี และคาดว่า บุเรงนองน่าจะได้ "คัมภีร์สุวรรณโคมคำ" ไปด้วย ในขณะที่พระไชยเชษฐาธิราช ทรงอัญเชิญ "พระแก้วมรกต" กลับไปยังเมืองล้านช้าง (ลาว) ต่อมา เมื่อทรงออกจากเมือง บุเรงนองก็ถือโอกาสยกทัพไปตี ทำให้ท่านต้องย้ายเมืองไปอยู่ที่ "เวียงจันทร์" ซึ่งเป็นเมืองใหม่ของล้านช้าง (ลาว) ในขณะนั้น

ต่อมาก็ศึกชิง "ช้างเผือก"
ซึ่งเดิมทีเป็นของพระมหาจักรพรรดิ กษัตริย์อโยธยา ท่านมีช้างเยอะเป็นร้อยๆ และช้างเผือกอีกมากมาย ได้รับนามว่า "พระเจ้าช้างเผือก" อีกนามหนึ่ง ต่อมาบุเรงนองขอช้างเผือกเพื่ออ้างเป็นเหตุมาทำสงคราม  พระมหาจักรพรรดิ ไม่ให้ จึงเป็นเหตุให้บุเรงนองยกทัพมาตีเรื่อยๆ จนชนะแล้วได้เมืองอโยธยาในที่สุดไป อนึ่ง ตามตำราพระจักรพรรดิ จะทรงมี "ช้างแก้ว" ซึ่งก็คือ "ช้างเผือก" ในความหมายของคนยุคนั้น ดังนั้น การมีช้างเผือก จึงหมายถึงความอยากเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หรืออยากขยายอิทธิพลยึดเมืองคนอื่น ทั้งนามของกษัตริย์อโยธยาก็มีนามว่า "พระมหาจักรพรรดิ" ยิ่งทำให้พม่าระแวงแน่นอน

ต่อมาก็ศึกชิง "นางแก้ว"
ซึ่งก็คือ "พระเทพกษัตรี" พระราชธิดาของพระมหาจักรพรรดิและพระสุริโยทัย ซึ่งในยุคนั้น พระสุริโยทัย ทรงสละชีพบนช้างอย่างกล้าหาญ ทำให้ต่างก็ชื่นชมในพระเกียรติคุณของท่าน ดังนั้น พระราชธิดาจึงตกเป็นที่ต้องตาต้องใจของกษัตริย์ทั้งหลาย เดิมทีพระไชยเชษฐาธิราช สู่ขอต่อพระมหาจักรพรรดิก่อน แต่ถูกชิงตัวโดยบุเรงนองไประหว่างทาง (เดิมท่านป่วย จึงจะให้อีกองค์ไปแทน พอพระไชยเชษฐาธิราชรู้ก็ส่งคืน ปีต่อมา ท่านจึงส่งพระเทพกษัตรีไปให้) สุดท้าย พระเทพกษัตรีจึงต้องไปอยู่พม่าแทน ซึ่งหากว่าส่งพระเทพกษัตรีได้สำเร็จ อโยธยาและล้านช้างก็จะผูกสัมพันธไมตรีกันได้อยู่แล้ว

บุคคลสำคัญที่น่าสนใจคือ

๑. พระมหาจักรพรรดิ ซึ่งได้ครอบครองทั้ง ช้างแก้ว, นางแก้ว อันเป็นสองสิ่งในเจ็ดสิ่งที่เป็นสมบัติของพระมหาจักรพรรดิ ประกอบกับพระนามยิ่งทำให้กษัตริย์รอบข้าง ระแวงว่าจะทรงแผ่ขยายอิทธิพล บทบาทของพระองค์ไม่โดดเด่นเท่าพระสุริโยทัย ที่ยอมออกรบไปสละชีพแทนพระมหาจักรพรรดิ ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของท่านแย่ลง เหมือนกษัตริย์ที่อ่อนแอ อาศัยการ "ยื้อเวลา" อยู่ต่อไปวันๆ รอวันที่จะล่มสลายเท่านั้นเอง ดังนั้น ท่านจึงมีความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เพียงแค่ "ในนาม" เท่านั้นเอง

๒. พระไชยเชษฐาธิราช (ลาว) ซึ่งได้ครอบครองพระแก้วมรกต (จากล้านนา) อันเป็นเหมือนองค์แทนของพระเจ้าจักรพรรดิในตัว ท่านผู้นี้ ไม่ได้ใช้่สงครามยึดบ้านเมืองใคร แต่ด้วย "บารมี" ของท่าน ทางล้านนาถึงกับอัญเชิญท่านไปเป็นกษัตริย์ ต่อมา ทางล้านช้างมีเรื่องกันอีก ก็เชิญท่านไปเป็นกษัตริย์อีก เรียกได้ว่า "ท่านได้อำนาจด้วยบารมีล้วนๆ" เลยทีเดียว ภายหลังท่านตั้งเมืองใหม่คือเวียงจันทร์ ทำให้เมืองที่ท่านเคยปกครองทั้งหมดคือ ๓ เมือง ได้แก่ ล้านนา, ล้านช้าง (เก่า), ล้านช้าง (ใหม่)

๓. พระธรรมราชา ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระนเรศวร ซึ่งไม่ลงรอยกับพระมหาจักรพรรดิ เมื่อถูกพม่าตีแตกก็ขึ้นกับพม่าไป รอให้พม่ามายึดเมืองอโยธยาแล้ว ก็ได้รับตำแหน่งจากพม่าเป็นกษัตริย์อโยธยาต่อ แบบ "หุ่นเชิดพม่า" เป็นเมืองขึ้นของพม่า คาดว่าท่านตั้งใจจะย้ายเมืองหลวงมาที่พิษณุโลก และปล่อยให้อโยธยาล่มลงไปเอง เพื่อให้เป็นศูนย์กลางอำนาจใหม่ที่จะประสานระหว่างเมืองอโยธยาและล้านนาได้ ภายหลัง ก็ได้พระนเรศวร (พระราชบุตร) สานต่องาน ชนะสงครามประกาศอิสรภาพ ไม่ขึ้นแก่พม่า

๔. พระเจ้าบุเรงนอง ซึ่งเป็นกษัตริย์พม่าที่ยึดครองอโยธยาได้สำเร็จ อนึ่ง บุเรงนองเองก็เกรงบารมีของพระไชยเชษฐาธิราชบ้างเหมือนกัน แม้จะชนะได้ ก็ด้วยเล่ห์ เช่น อาศัยจังหวะที่ท่านไม่อยู่ในเมือง บุกโจมตี จึงชนะ หรืออาศัย "พระธรรมราชา" ขัดขวางพระไชยเชษฐาธิราชแทนตนเอง ในยุคนั้น เรียกว่าอยู่ในยุคสงคราม บุเรงนองนับว่าเป็นหนึ่งด้านการทหาร แต่ด้านการปกครอง ไม่อาจเทียบพระไชยเชษฐาธิราชได้ แม้ได้ยึดเมืองผู้อื่นก็ด้วยการเข่นฆ่า ไม่ต่างจากโจร (ซึ่งพระไชยเชษฐาธิราช ไม่มีแบบนี้เลย)


หากจะเปรียบเทียบคนทั้งสี่แล้ว นับว่า "บุเรงนอง" ประสบความสำเร็จสูงสุด แต่ความสำเร็จของเขาก็มาได้ด้วย "การเข่นฆ่า" และการก่อกรรมทำเข็ญเท่านั้น ในขณะที่พระไชบเชษฐาธิราช กลับประสบความสำเร็จได้ด้วย "บารมีล้วนๆ" เช่น การได้ครองอำนาจ ก็มาจากผู้อื่นอัญเชิญท่าน มิได้ใช้กำลังยึดครองบ้านเมืองผู้ใดเลย ส่วนอีกสองท่านคือ พระมหาจักรพรรดิ เรียกได้ว่า "ล้มเหลว" ทั้งทางด้านการปกครองและการทหาร เพราะไม่อาจปกครองในคนทั้งหลายรวมใจเป็นหนึ่งเดียวได้ทั้งยังแพ้สงครามต่อบุเรงนองอีก ส่วน "พระธรรมราชา" ก็นับว่าประสบความสำเร็จครึ่งหนึ่ง เมื่อได้พระนเรศวรมาสานต่องาน ทำให้ได้อำนาจมาครองได้ในที่สุด (หากไม่ปล่อยให้อโยธยาล่มสลาย เกรงว่าท่านคงไม่ได้อำนาจมาครอง ด้วยพระมหาจักรพรรดิมีรัชทายาทอยู่แล้ว) ซึ่งความสำเร็จของพระธรรมราชานั้น ก็ไม่ได้เกิดจากการใช้กำลังทหารเข้ายึดครองอำนาจของกรุงอโยธยาแต่อย่างใด ดังนั้น ท่านจึงไม่ได้ชื่อว่าเป็นกบฏ (ก่อนหน้านั้นมีหลายคนก่อการกบฏ เช่น แม่หยัวศรีสุดาจันทร์ เป็นต้น) แต่ท่านอาศัยความพ่ายแพ้ต่อพม่าเป็นประโยชน์  เพื่อยืมมือพม่า ล้มอำนาจของอโยธยาลง ก่อนจะได้อำนาจมาครองไว้ในมือ นั่นเอง


ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ มีบางส่วนคล้ายกับสถานการณ์ปัจจุบันนะครับ ลองดูให้ดีๆ จะเ็ห็นเอง



วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การปฏิวัติประชาธิปไตย และผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม จูเลียส ซีซาร์, ออกัสตัส ซีซาร์, มาค แอนโทนี่

ประวัติศาสตร์โลกที่น่าสนใจมากช่วงหนึ่งคือ การเกิดขึ้นของ "จักรวรรดิโรมัน"


ซึ่งเกิดจากการใช้สงครามยึดเมืองหลายๆ เมืองในยุโรป และส่งผลให้ยุโรปหลายประเทศมีวัฒนธรรมร่วมกัน คือ วัฒนธรรมของโรมัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจาก "จักรวรรดิกรีก" ซึ่งกำลังล่มสลายลง ไปสู่จักรวรรดิโรมัน สิ่งหนึ่งที่ถูกเปลี่ยนตามไปด้วยคือ "ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย" ซึ่ง เดิมเป็นการปกครองของกรีก และสืบทอดมาถึงโรมันด้วยบางส่วน คือ การประชุมโหวตความคิดเห็นร่วมกัน ของกรีกจะเริ่มต้นจากประชาชนทุกคนมาร่วมกัน แต่ของโรมันจะเหลือเพียง "รัฐสภา" ซึ่งประำกอบด้วยคณะผู้มีอำนาจทางการเมืองหลายคน เอาละ เรามาศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงนี้แบบง่ายๆ กัน ก่อนที่แต่ละท่านจะไปหาข้อมูลที่ละเอียดขึ้นต่อไป ดังนี้


จูเลียส ซีซาร์ เป็นนักการทหารชั้นยอด ที่รบชนะทั่วไปหมด จึงสามารถยึดเมืองต่างๆ ซึ่งเคยเป็นของกรีกได้ ทำให้อาณาจักรโรมันแผ่ขยายครอบคลุมหลายประเทศในยุโรปปัจจุบัน ทว่า เขามีแนวคิดด้านการปกครองที่ต่างไปจากพวกกรีก คือ เขาต้องการรวมอำนาจไว้ที่คนๆ เดียว เพื่อความเป็นเอกภาพในการตัดสินใจ ทั้งยังประกาศว่าจะเผด็จการครองอำนาจตลอดชีิวิตอีกด้วย ส่งผลให้เขาถูก "ลอบฆ่า" โดยที่ยังไม่ได้อำนาจทางการเมืองอย่างสมบูรณ์ และยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ อนึ่ง พึงเข้าใจว่ากษัตริย์ในยุึคนี้ ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เพราะทุกอย่างต้องผ่าน "รัฐสภา" และอำนาจของรัฐสภานี้เอง ที่ทำให้จูเลียส ซีซาร์ต้องถูกลอบฆ่า (เืพื่อไม่ให้เขาใช้ระบบเผด็จการ) ในระหว่างนั้น มีคนสำคัญอีกสองท่าน คือ ออกัสตัส ซีซาร์ และ มาค แอนโทนี่ ทั้งสองคนได้ร่วมกันเพื่อก่อตั้งอาณาจักรโรมันด้วย (แล้วแย่งอำนาจกันทีหลัง)


โดย มาค แอนโทนี่ ได้ร่วมรบเป็นแม่ทัพคนหนึ่งมาตลอด เรียกว่าคู่กันมากับจูเลียส ซีซาร์ แต่ไม่โดดเด่นเท่า (เนื่องจากทหารทั้งหลายต่างรวมใจอยู่ที่จูเลียส ซีซาร์คนเดียวเท่านั้น) มาค แอนโทนี่ แม้ไม่เก่งทางการสงครามเท่ากับจูเลียส ซีซาร์ แต่เรื่องการเมืองเขาทำได้ดีกว่า ดังนั้น เขาจึงไม่ถูกลอบฆ่าตาย และยังได้ร่วมกับออกัสตัส ซีซาร์ (ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมและทายาททางการเมืองของจูเลียส ซีซาร์) เพื่อจัดตั้งระบบ "สามผู้มีอำนาจ" ปกครองอาณาจักรโรมันร่วมกัน ซึ่งตอนนั้น ออกัสตัส ซีซาร์ ยังอายุไม่มาก คือ เป็นคนรุ่นลูกของมาค แอนโทนี่ และจูเลียส ซีซาร์ ดังนั้น จึงไม่อาจมีใครครองอำนาจเบ็ดเสร็จได้ ต่อมา มาค แอนโทนี่ ได้นำทัพช่วยเหลือ "ครีโอพัตรา" ให้อำนาจแก่ครีโอพัตรา ทั้งยังมีลูกด้วยกันด้วย (ซึ่งจูเลียส ซีซาร์ ก็มีลูกกับครีโอพัตรา) ภายหลัง เมื่อความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน จึงเกิดการแย่งชิงอำนาจกันขึ้นระหว่างมาค แอนโทนี่ และ ออกัสตัส ซีซาร์ ผลคือ มาค แทนโทนี่แพ้สงคราม แล้วฆ่าตัวตาย


ส่วน ออกัสตัส ซีซาร์ นั้น นับว่าทางการรบก็เก่ง ทางการเมืองก็เหนือกว่ามาค แอนโทนี่ สังเกตุจากอะไร? ก็ดูจากการทำทัพสู้กับมาค แอนโทนี่ แล้วได้ชัยชนะ ทั้งยังเดินเกมการเมืองอย่างระวังกว่าพ่อบุญธรรม จึงไม่ถูกลอบฆ่าเหมือนจูเลียส ซีซาร์ ในที่สุด "รัฐสภา" ก็ยอมรับอำนาจของออกัสตัส ซีซาร์ ทั้งยังยอมให้เขาเผด็จการได้ ยอมรับการรวบอำนาจของออกัสตัส ซีซาร์ด้วยการแต่งตั้งให้เขาด้วยนาม "ออกัสตัส"  อันหมายถึง "ผู้ได้รับการเคารพสูงสุด" (ประมาณนั้น) ว่าให้มีอำนาจเหนือรัฐสภา คือ ไม่ต้องโหวตผ่านรัฐสภา ก็สามารถตัดสินใจได้เอง เรียกว่ามีอำนาจเผด็จการได้ นั่นเอง ดังนั้น ออกัสตัส ซีซาร์ จึงมีแนวคิดเผด็จการไม่ต่างจากจูเลียส ซีซาร์ เป็นทายาททางการเมืองโดยแท้ แต่เขาทำได้สำเร็จเพราะความสุขุมรอบคอบกว่า นั่นเอง ในที่สุด จักรวรรดิโรมันก็เกิดขึ้น โดยมีออกัสตัส ซีซาร์ เป็นปฐมกษัตริย์


ถามว่าทำไม ประวัติศาสตร์ยุโรปช่วงนี้น่าสนใจ คำตอบคือ


๑. มีการเปลี่ยนแนวคิดจากระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบกรีก เป็นระบบการปกครองแบบเผด็จการโดยกษัตริย์ ซึ่งส่งผลให้อาณาจักรโรมัน ยิ่งใหญ่เกรียงไกร และยึดครองอาณาจักรกรีกได้

๒. มีการรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง ทำให้เกิดวัฒนธรรมร่วมกันของประเทศยุโรปหลายประเทศ ตกทอดมาสู่ยุคปัจจุบัน เหมือนการรวมตัวกันของกลุ่มประเทศอียู และการรวมตัวกันของกลุ่มประเทศ AEC (อาเซียน)

๓. มีการล่มสลายลงของอาณาจักรกรีก ซึ่งใ้ช้การปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์ปัจจุบันที่ประเทศกลุ่มทุนนิยม กำลังเสื่อมอำนาจลง และประเทศกลุ่มสังคมนิยม กลับมีอำนาจมากขึ้น


สำหรับอาณาจักรโรมันนั้น ช่วงยุคกลาง ได้มีการตั้งเมืองหลวงแห่งที่สองขึ้นเรียกว่า "โรมันตะวันออก" โดยนักบุญที่ชื่อ "คอนสแตนติน" (ภายหลังได้รับการยอมรับเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งต้นราชวงศ์ไบแซนไทน์)   ผลคือ ทำให้เกิดการแตกแยกออกเป็นสองเมืองหลวงอย่างเงียบๆ (เมืองหลวงใหม่ หรือ โรมันตะวันออกแรกๆ จะไม่เปิดเผยตัวเองชัด จนเมื่อโรมันตะวันตกเสื่อมอำนาจจึงเผยตัวตน แสดงจุดยืนขึ้นมา) ซึ่งมีสิ่งที่สำคัญเกิดขึ้นคือ กษัตริย์คอนสแตนติน ได้ยอมรับ "ศาสนาคริสตร์" ชาวคริสตร์ในเมืองนี้ ได้รับการยอมรับ ซึ่งเดิมชาวโรมันจะนับถือเทพเจ้ากรีก รับวัฒนธรรมมาจากกรีกก่อน ภายหลัง การปฏิวัตินี้เองทำให้เกิดผลทั้งสองทางคือ ทางการเมือง กลายเป็นเมืองหลวงใหม่และกลายเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโรมันตะวันออกในที่สุด ทางวัฒนธรรม ทำให้โรมันตะวันออกมีวัฒนธรรม, ศาสนาของตัวเอง ต่างจากอาณาจักรกรีก นับว่าเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงอย่างเงียบๆ และรอคอยโอกาสอย่างเหมาะสม เมื่อโรมันตะวันตกอ่อนแอลง ในที่สุด โรมันตะวันออกก็ยึดอำนาจไป เกิดเป็นอาณาจักรโรมันใหม่ขึ้นมา


ผมคิดว่า ประัวัติศาสตร์ยุโรปช่วงนี้ น่าจะให้คำตอบอะไรแก่ท่านบ้าง ถึงสถานการณ์ปัจจุบันครับ ...



วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์โลกยุคสมัยแห่งโลกาภิวัฒน์ครั้งที่หนึ่ง "กระแสโลกหนึ่งเดียวจากการล่าอาณานิคมของยุโรป"

หลายครั้ง เราศึกษาประวัติศาสตร์ทีละประเทศ แม้เราจะศึกษาประวัติศาสตร์โลก เราก็ยังแยกศึกษาทีละประเทศ ทีละยุค ทำให้ความเข้าใจต่อ "โลก" ของเรา มีมิติที่ไม่กว้างเท่าใดนัก บทความนี้ ผมจะสรุปให้สั้นๆ เพื่อให้ท่านเห็นภาพ "ทั้งโลก" ในยุคหนึ่งได้ง่ายๆ ส่วนรายละเอียดนั้น ท่านสามารถศึกษาได้เองต่อไป มันเป็นยุคสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งของโลก ผมอยากจะเรียกว่า "ปฐมยุคแห่งการรวมโลก" ดังนี้


คือ ช่วงประมาณปี ๒,๔๐๐ หรือเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีที่แล้ว เป็นยุคของการล่าอาณานิคมครั้งแรกของชาวยุโรป อันส่งผลให้ประเทศต่างๆ ในโลก ได้รู้จักกันมากขึ้น แน่นอนว่า "มันเป็นครั้งแรก" เราจะหวังให้มันเป็นไปด้วยดี โรยด้วยกลีบกุหลาบ ย่อมเป็นไปไม่ได้ มันจึงถูกขับเคลื่อนด้วย "การล่าอาณานิคม" นั่นเอง ซึ่งยุคนี้ ผู้ล่าคือ "ยุโรป" ยังไม่มีอเมริกาเข้ามาร่วมด้วย (อเมริกาเพิ่่งก่อตั้งใหม่ ยังไม่มั่นคง) ผมอยากให้ท่านมองดูโลกผ่านประเทศต่างๆ โดยมีบุคคลสำคัญ ๓ คน ดังนี้


๑. ลินคอล์นแห่งอเมริกา
๒. รัชกาลที่ ๔ แห่งไทย
๓. เรียวมะแห่งญี่ปุ่น


ทั้งสามคนนี้ เ็ป็นคนสำคัญที่เกิดในยุคเดียวกัน และเสียชีวิตในเวลาใกล้เคียงกันครับ ผมขอสรุปสั้นๆ คือ


๑. ลินคอล์น อยู่ในสถานการณ์ที่ประเทศเพิ่มเริ่มก่อตั้ง ไม่มีความมั่นคง ประเทศแตกแยกกำลังจะแบ่งเป็นประเทศใครประเทศมัน หลังชาวผิวขาวปลดอำนาจของชาวอินเดียนแดงได้ พวกเขาต่างอยากตั้งประเทศของตนขึ้น และไม่อาจรวมกันได้ ผลงานของลินคอล์นคือ ๑. รวมประเทศ ๒. เลิกทาสครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก ๓. ปลดแอกจากอังกฤษ เป็นเอกราชได้อย่างแท้จริง ไม่ถูกล่าเป็นอาณานิคม

๒. รัชกาลที่ ๔ แห่งไทย อยู่ในสถานการณ์ที่ประเทศได้รับการวางรากฐานมาอย่างดีครึ่งแรก ทำให้สามารถก้าวไปสู่ระดับโลกได้ด้วย "วิธีทางการฑูต" ซึ่งสมัยนั้น ยังไม่ค่อยมี และผ่านการล่าอาณานิคมมาได้ โดยไม่ตกเป็นเมืองขึ้นด้วยการ "ยอมเสียสละดินแดนบางส่วน" นับว่าเป็นบทบาทสำคัญมากในเรื่อง "การฑูตระดับโลก" ไม่มีการใช้กำลังทหารเข้าสู้ (ของอเมริกามีการใช้กำลังทหารรวมประเทศ)

๓. เรียวมะแห่งญี่ปุ่น อยู่ในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังย่ำแย่ถึงที่สุดจนถึงขั้นอำนาจเก่าล่มสลายลง ด้วยเพราะการปกครองที่ย่ำแย่ บวกกับการล่าอาณานิคม บีบให้ประเทศต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง เรียวมะเกิดเป็นซามูไรชั้นล่าง หรือก็คือ "คนของทางการที่มีระดับต่ำที่สุด" ไม่ได้ไต่เต้าให้สูงขึ้น แต่กระทำการณ์โดยอิสระ ไม่มีการประกาศแนวคิด "เสรีนิยม" แต่ขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนยุคสมัย ไปสู่ยุคสมัยใหม่


ผมอยากให้เราดูบทบาทของท่านทั้งสามนี้ เปรียบเทียบกันครับ แต่เราจะดู "บทบาทในระดับโลก" นะครับ เช่น ลินคอล์นเลิกทาสเป็นครั้งแรก เป็นผู้นำกระแสความคิดเรื่อง "เสรีนิยม" ของโลกทีเดียว จากนั้นมาจึงเริ่มมีประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศที่ได้รับอิทธิพลความคิดนี้ และทำการเลิกทาสตามๆ กันมา ซึ่งถ้าดูบทบาทของเรียวมะ ก็คล้ายกัน คือ เรียวมะกระทำการณ์อย่างอิสระ เพียงแต่ไม่ได้ประกาศ และยังไม่เป็นผู้นำทางความคิดของโลกเรื่อง "เสรีนิยม" ได้ แต่ทั้งสามท่านก็ผ่านวิกฤติ "การล่าอาณานิคม" มาได้ทั้งหมด ด้วยวิธีที่ต่างกัน ลินคอล์นใช้ทั้งการฑูตและการทหารคู่กัน โดยใช้การทหารภายในประเทศก่อน ให้รวมกันเป็นหนึ่ง เมื่อเป็นหนึ่งดีแล้วก็มีอำนาจมากพอที่จะใช้การฑูตได้อย่างมีพลัง ทำให้ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของพวกล่าอาณานิคม ส่วนรัชกาลที่ ๔ ของไทย จะใช้่การฑูตเป็นหลัก แทบไม่มีการใช้กำลังทหารเลย แต่ส่งผลให้ต้องเสียดินแดนบางส่วน นับว่าเป็น "ตัวอย่าง" หรือ "ผู้นำในด้านการฑูตระดับโลก" ในยุคนั้นได้ทีเดียวครับ (แต่เพราะไม่มีอำนาจทางการทหารหนุนหลัง ทำให้การฑูตไม่มีพลังเหมือนในประเทศอเมริกา) ส่วนเรียวมะ เป็นตัวอย่างของโลกในเรื่อง "การปฏิวัติ-ปฏิรูป" จากโครงสร้างรากฐานเพื่อวางระบบใหม่ สร้างอนาคตใหม่ทั้งหมดครับ ผลต่อมาคือ ประเทศญีุ่ปุ่นที่เกิดใหม่ แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ญีุ่ปุ่นที่เคยล้าหลังกว่าประเทศไทย ก็กลายเป็นทันสมัยไม่ต่างจากประเทศอเมริกา แม้แนวคิดด้านการปฏิวัติ-ปฏิรูปของเขา อาจไม่ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก เพราะเขาได้ถ่ายทอดต่อให้คนภายในประเทศที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการ แต่ผลงานของเขาก็เป็นที่ประจักษ์ชัดและเป็นแบบอย่างในการปฏิวัติและการปฏิรูปของโลกได้ดีอย่างหนึ่งในยุคสมัยนั้นเลยครับ






วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

เกษตรกรลาว ผู้มีปัญญาเหนือกว่าไทย อย่าได้ประมาท

ได้ข่าวเกษตรกรลาวบางคน ปลูกไม้กฤษณา (ซึ่งมีราคาแพงมากๆ) บางคนก็เลี้ยงกุ้งมังกรในนาข้าว (ซึ่งแพงสุดยอดอีกเช่นกัน) เห็นแล้วทึ่ง เพราะการปลูกไม้กฤษณา และเลี้ยงกุ้งมังกร ไม่ใช่ของง่ายๆ สำคัญกว่านั้นคือ "การมีวิสัยทัศน์" มองเห็นอนาึคตของสินค้าเกษตรอย่างยาวไกล แน่นอนครับ สินค้าเกษตรที่กล่าวถึงมานี้ เป็นของระดับบนมากๆ แพงมากๆ ทีเดียว ซึ่งใครสักคนจะทำอย่างนี้ได้ จะต้องมีสิ่งนี้ครับ


๑. ความกล้าหาญที่จะทำ เพราะมีความเสี่ยงที่จะไม่สำเร็จสูง
๒. วิสัยทัศน์ที่เห็นอนาคต เพราะสินค้าเกษตรเหล่านี้มีอนาคตดีมาก
๓. ปัญญาที่เข้าใจกลไกลตลาด จึงเลือกสินค้าที่มีราคาแพง ทำแล้วคุ้ม
๔. ความเพียรพยายาม ที่ค้นหาวิธีปลูกหรือเลี้ยงสิ่งที่ปลูกและเลี้ยงได้ยาก
๕. เข้าใจถึงธรรมชาติ ของสัตว์หรือพืชที่เพาะเลี้ยงได้ยาก เช่น กุ้งมังกร เป็นต้น


สุดท้ายต้องชื่นชมเกษตรกรชาวลาวอย่างยิ่งทีเดียวครับ ที่สามารถทำการเกษตรเช่นนั้นได้ หากประเทศ อื่นๆ จะทำตาม เช่น ประเทศภูฏานจะทำเกษตร คิดหาต้นแบบการเกษตรละก็ "แนะนำประเทศลาว" ครับ ไม่ใช่ประเทศไทยและประเทศเวียดนาม เพราะประเทศไทยเรา เกษตรกรเก่งการผลิตจริง แต่มีความรู้ในด้าน "การตลาด" ต่ำที่สุดระดับโลก เรียกว่า เรามีไม่ได้มากไปกว่าประเทศแอฟริกา ปาปัวนิกินี อะไรแบบนั้นเลย เพราะเขาไม่ยอมเปิดโอกาสให้ชาวนาฉลาดขึ้น เท่าทันตลาดมากขึ้น เกษตรกรไทย ถูกสอนให้โง่มาตลอด เพราะอะไร? เพราะง่ายต่อการปกครอง ง่ายต่อการทำให้ยอมเป็นขี้ข้าตลอดไป ดี อย่างไรละครับ คนระดับบนของไทย จึงไม่เคยสอนให้คนไทยรู้จักฉลาดเท่าทันโลก หรือตลาดเลย สอนแต่ให้ทำๆๆ ไป ไม่ต้องคิด แล้วผลิตข้าวออกมาล้นตลาด ผลไม้ออกมาล้นตลาด นมออกมาล้นตลาด พอล้นตลาดแล้วราคาตกแล้ว นักการเมืองก็จะใช้โอกาสนั้นในการปลุกระดมมวลชน ทำให้ออกมาล้มรัฐบาลครับ ดังนั้น คนระดับบนจึงไม่เคยสนใจที่จะสอนให้เกษตรกรไทย ฉลาดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุผลนี้ นี่เอง รู้ไหมครับ เวลาคนอื่นเขาเล่นงานตลาดการเกษตรไทย เขาไม่ไ่ด้ใช้เล่ห์กลอะไรซับซ้อนเลย เขาใช้แค่วิธีตื้นๆ เท่านั้น ก็สำเร็จแล้วครับ เช่น ปล่อยข่าวว่าทำยางพาราสิจะรวย แค่นั้นแหละ ก็แห่ทำตามๆ กัน จนราคาตกไปเลยครับ ง่ายเสียจริง ยิ่งกว่าหมูเสียอีก ดังนั้น "คนจีน" เขาจึงนอนรอครับ รอให้เราเปิดเสรีการค้า เปิดประเทศ เปิดเมื่อไร เราก็จะถูก "กิน" อย่างง่ายๆ เหมือนเสือฉลาดที่จับหมูโง่กิน นั่นเลยละ ขออภัยถ้าผมใช้คำว่าโง่ ไม่ได้ต้องการด่า หรือลบหลู่ท่านเลย แต่ผมขอร้องละ ลองดูดีๆ เกษตรกรเรานี้ มีปัญหาเรื่องนี้ จุดนี้หรือไม่? ถ้าใช่ ถึงเวลาหรือยังที่ควรแก้ไขให้ดีขึ้น? ผมติเพื่อก่อ เพื่อแก้ไขครับ ไม่ใช่ต้องการลบหลู่อะไรท่านเลย เพราะพ่อแม่ผมก็เป็นเกษตรกร และขอบอกตรงนี้เลยว่า ในประเทศไทยนี้ พ่อแม่ของผมเป็นเกษตรกรที่โง่ระดับต้นๆ เลย ผมจึงเข้าใจไงครับว่าความโง่เป็นอย่างไร? เช่น เพื่อนบ้านทำการเกษตรอย่างดีแต่ละขั้นตอนมาตลอด ผลออกมาจึงดี แม่ผมดันไปเห็นตอนแว้บเดียวว่าเขาใช้นมรด (เพราะมันเหมือนจะตาย เจ้าของเขาคิดอะไรไม่ออกเลยทดลองเอานมรด) แม่ผมจึงทำตาม ด้วยคิดว่าจะได้ผลผลิตดีอย่างเขาบ้างครับ โธ่ๆ คุณดูเอาเถิด ผมไม่ได้ลบหลู่คุณท่าน หรือแม่ของตัวเองแต่ผมกล้าเปิดเผยความจริงว่าผมอยู่กับแม่แบบนี้ ซึ่งมันมีอะไรที่งี่เง่ากว่านี้อีกมาก ดังนั้น ผมจึงไม่ได้้คิดที่จะด่าใคร เกษตรกรคนไหนเลย เพราะพ่อแม่ของผมเอง ก็เป็นเหมือนกับท่านทั้งหลาย มีกรรมทำให้เป็นคนโง่ เหมือนกัน ไม่ต่างกันเลย หัวอกเดียวกันครับ อย่าโกรธใครเลย ถ้่าเขาด่าว่าเราโง่ แล้วถ้ามันเป็นความจริงนะ ควรขอบคุณเขาที่เขาเตือนสติเรา ดีกว่าเขาไม่บอกว่าเรามีจุดอ่อนที่ความโง่ แล้วหลอกใช้เรา โดยอาศัยความโง่ของเราตลอดไป กี่สิบปีมาแล้วครับ ที่เกษตรกรไทย พบปัญหาผลผลิตล้นตลาด นี่ เกษตรกรประเทศอื่นเขาไม่ผิดซ้ำซาก เหมือนบ้านเรา ดูคนลาวสิครับ เขาไม่ได้ปลูกข้าวอย่างเดียว แต่เอากุ้งมังกรไปเลี้ยงในนาข้าว บางคนไม่้ได้ทำข้าวแต่ปลูกไม้กฤษณาครับ ราคาแพงกว่าข้าวเป็นร้อยเท่า   เกษตรกรฝรั่ง เขาเรียกว่า "นายทุนน้อย" ทำไมเขาเรียกอย่างนั้นครับ? เพราะเกษตรกรแท้แล้วคือ นายทุน ที่มีที่ดินในการลงทุนผลิตสินค้าไปขายต่อได้ มีกิจการของตัวเอง ผลิตเอง บริหารเองทั้งหมดครับ ฝรั่งก็เลยมีความฉลาด เข้าใจตัวเองว่าเขาคือนายทุนและอยู่กับความเสี่ยง จะต้องคิดให้เป็น ใช้ปัญญาให้เป็น ไม่ใช่ทำๆๆ อย่างเดียว โดยไม่คิด ใช้แต่แรง ไม่ใช้สมอง ถูกหลอก ถูกสนทะพาย ถูกแกล้งให้ขายสินค้าในราคาตกต่ำ เพื่อกำไรไปสู่พ่อค้าคนกลาง และกองกำลังประท้วงเล่นงานรัฐบาลให้ล้มลง ไปอยู่ในมือของนักการเมืองอีกฝ่ายหนึ่ง อย่างนี้เรื่อยมา เกษตรกรไทย จึงถูกกระทำอย่าง "ควาย" คือ ทำให้โง่แล้วสนทะพายหลอกใช้ อย่างนี้ซ้ำๆ ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่อาจยืนหยัดภาคภูมิใจในอาชีพของตนเองได้เลย


เลิกบ้าปลูกข้าวแข่งกับเวียดนามเถอะครับ คนจีนเขาหลอกให้เราบ้าปลูกแข่งกันเยอะๆ ราคาจะได้ตก แต่เขาหลอกเวียดนามก่อน เพราะเวียดนาม "มันบ้าอยากเอาชนะคนอื่น" จนหน้ามืดตามัว ไร้สมอง ไม่รู้จักคิดบ้างว่าขายราคาต่ำๆ แข่งกับไทย (แม้ว่าจะได้ต้นทุนต่ำกว่าไทย) สุดท้าย กลายเป็นเสียผลประโยชน์ให้คนอื่นไป แข่งกับไทยเพราะเชื่อกลยุทธ์คนจีนได้ไม่นาน คนจีนเห็นว่ามันโง่ เลยจะฮุบเอาเกาะซะเลย มันก็เลยไปบ้าทะเลาะกับจีนต่อ เออ ดูมันทำสิ ว่างๆ มันก็อยู่เบื้องหลังโยงใยให้กัมพูชา มาทะเลาะกับไทย ถามหน่อยนะ คนไทยไปทำอะไรให้มัน ตอนมันไม่มีแผ่นดินจะอยู่ มันก็หนีมากบดานในประเทศไทย เนรคุณสิ้นดี พอมาตอนนี้ รวมหัวเล่นงานไทยได้ยังไง แทนที่จะเป็นมิตรที่จริงใจต่อกันเพราัะมันบ้าอยากเอาชนะคนอื่นจนเกินไป จนลืมแบ่งแยกว่าใครควรเป็นมิตรแท้ ใครที่เป็นศัตรู ดู ดูมันทำ เอาละ ใช้คำพูดตรงๆ ด่าแหลกราญอย่างนี้ ต้องขออภัยด้วย แต่นี่คือ "ลับ ลวง พราง" บล็อกนี้ ไม่เน้นสร้างภาพลักษณ์ มีแต่แฉแหลกเท่านั้นเอง ใครทำดี เราก็ชื่นชม เช่น "ลาว" ดีมากครับ อย่าคิดว่าเขาโง่หรือล้าหลังละ คนลาวรักสงบ ไม่ได้อยากเอาชนะใครแบบไอ้บ้าเวียดนาม แต่เป็นคนเข้าใจธรรมชาติ และมีปัญญาในการทำการเกษตร ที่แม้แต่คนไทยก็ทำไม่ได้ และไปไม่ถึง ไหว้เกษตรกรลาวได้ครับ เขาเก่ง และดีจริงๆ คนดี เราไหว้ได้ครับ ไม่เสียมือ แล้วน้อมรับคำสอนเขา เอาเขาเป็นแบบอย่างได้ครับ แล้วภูฏานก็ไม่ต้องมาดูความล้มเหลวทางการเกษตรของไทยไปเป็นต้นแบบนะครับ ไปดูลาวครับ จะได้อะไรดีกว่าอย่างแน่นอน


ปล. ที่กล่าวถึงนี้ เรามองภาพรวมคือ "ส่วนใหญ่" นะครับ ไม่ได้เหมารวมทุกคน เพราะเกษตรไทยบางคน เป็น "อัจฉริยะ" ครับ เช่น คนที่ผสมพันธุ์พืชหรือสัตว์ชนิดใหม่ๆ ได้ คุณภาพดีขึ้น อย่างนี้ก็มีครับ แต่ว่า แบบนี้คือ "คนส่วนน้อยของประเทศ" ครับ




วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

แฉกลเล่ห์ลวงลับ "ก๊วยเจ๋ง" คนหน้าซื่อ กระทำล้ำลึก

ก๊วยเจ๋ง เป็นคนที่มีบุคลิกภาพเหมือนคนโง่และไม่มีความทะเยอทะยาน ทำให้คนทั้งหลายมองว่าเป็นคนดี ไม่มีกิเลส ไม่แก่งแย่งแข่งขันกันใคร และเป็นคนดี น่าศรัทธา แต่ว่า นั่นเป็นแค่บุคลิกเท่านั้น เพราะการกระทำที่แท้ ล้วนไม่เ็ป็นเช่นนั้น (บุคลิกโง่ การกระทำล้ำลึก) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของตัวละครเอกจากเรื่องมังกรหยก ตัวหนึ่งชื่อ "ก๊วยเจ๋ง" ที่มีบุคลิกภาพเหมือนคนโง่แต่มีการกระัทำเจ้าเล่ห์ล้ำลึก เช่น การที่ได้เป็นเขยของเจงกิสข่าน แต่กลับไม่รับตำแหน่ง คนก็มองว่าโง่ (แท้แล้วเพื่อจะตั้งราชวงศ์ของตนเองขึ้นใหม่) การเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเอี้ยคัง แต่ไม่ได้ร่วมมือกับเอี้ยคังเพื่อฟื้นฟูราชวงศ์กิม ที่ล่มสลายไปเลย (ปล่อยให้กิมล่มสลาย เพื่อเปิดทางให้ตนตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้น) การไม่ยอมทำงานให้แก่ราชวงศ์ซ้องที่กำลังล่มสลาย แต่กลับรวบรวมชาวยุทธ์ต้านทัพมองโกลกันเอง (เพื่อจะได้ไม่เป็นข้าพวกซ้อง และตนจะไ้ด้ตั้งราชวงศ์ขึ้นใหม่เอง) การมี "มารบูรพา" เป็นพ่อตา, การมี "ยาจกอุดร" เป็นอาจารย์ สองคนนี้ เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของยุทธภพ ที่ชาวฮั่นล้วนนับถืิอทั้งนั้น เท่ากับได้สองแรงคอยหนุน การได้อึ้งย้งเป็นภรรยา (แม่ของอึ้งย้ง จำคัมภีร์เก้าอิมได้หมด) ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นจอมยุทธ์ฝ่ายคุณธรรมและชาวยุทธ์ล้วนกล่าวว่า "เก้าอิมคือวิชามาร" แทนที่เขาจะปฏิเสธ แต่เขาไม่เคยปฏิเสธ ทั้งยังแอบฝึกจนสำเร็จอีกด้วย ก๊วยเจ๋งได้ตำแหน่งพรรคกระยาจกทั้งๆ ที่ตนเองไม่ไ้ด้เป็นขอทาน แทนที่จะให้คนที่เป็นขอทานจริงๆ ปกครองกันเอง เขากลับไม่ปฏิเสธ เพื่อที่จะได้ใช้พรรคกระยาจกเป็นกองกำลังในภายภาคหน้า ก๋วยเจ๋งรู้ว่าเอี้ยคังพี่น้องร่วมสาบานต้องการตำรายุทธพิชัยสงคราม "งักฮุย" เพื่อฟื้นฟูราชวงศ์กิมก๊กของตน ทั้งๆ ที่เขามีอยู่มือเขาก็ไม่เสียสละให้พี่น้องของเขา ตัวเขาเองเป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีเชื้อสายราชวงศ์เก่า ไม่มีกิจต้องฟื้นฟูราชวงศ์เหมือนเช่นเอี้ยงคัง แต่เขากลับเก็บไว้ที่ตัวเอง และใช้ต้านทัพมองโกล ก๊วยเจ๋งทำเป็นรักลูกรักเมียมาก ตามใจก๊วยพูแต่แท้แล้วปล่อยให้ก๊วยพูมาตัดแขนเอี้ยก้วย เพราะรู้ว่าเอี้ยก้วยฝึกวิชาเก้าอิืมอยู่ (ตัวเองฝึกได้ แต่พอเอี้ยก้วยฝึก ไม่ไ่ด้) ซึ่งวิชาสองมือขัดแย้งนั้น ก็ได้รับมาจาก "จิวแปะทง" ที่ให้วิชาเก้าอิมแก่้ทั้งเอี้ยก้วยและก๊วยเจ๋งๆ จึงรู้ดี ก๊วยเจ๋งเลี้ยงเอี้ยก้วยเหมือนลูกเลี้ยงแต่ไม่เคยสอนวิชาดีๆ ให้ ทำให้เอี้ยก้วยถูกพี่น้องรังแกมาตลอด เป็นเด็กเก็บกดมีปมด้อย จนเมื่ออ้าวเอี้ยงฮงแอบสอนวิชาคางคกให้จนเกิดเรื่อง ก๊วยเจ๋งถึงกับไม่ยอมเลี้ยงเอี้ยก้วยต่อ เอาไปให้สำนักช้วนจินก่าดูแล ซึ่งช้วนจินก่าก็ไม่เคยสอนวิชาให้เอี้ยก้วยเลย (ก้วยเจ๋งเป็นคนใหญ่โตในยุทธภพ กลับไม่เคยเหลียวแลเลยว่าลูกเลี้ยงของตนอยู่ที่ช้วนจินก่าแล้วเขาไม่เคยสอนวิชาอะไรให้เลย) เอี้ยก้วยต้องขวนขวายหาเองจนได้วิชาของสำนักสุสานโบราณ ยามนั้น ราชวงศ์ซ้องกำลังล่มสลาย ก๊วยเจ๋งไม่เคยเข้าไปช่วยเหลือราชวงศ์ซ้องเลย ปล่อยให้ล่มสลายไป จะเรียกว่าจงรักภักดีได้อย่างไร เขาปล่อยให้ราชวงศ์เก่าล่มสลายลงไป ไม่ฟื้นฟูราชวงศ์กิม (ของพี่น้องร่วมสาบาน เอี้ยคัง) และไม่ยอมช่วยพ่อตา เจงกิสข่าน ทั้งหมดเพื่ออะไร? ก็เพื่อที่ตนเองจะได้ตั้งราชวงศ์ใหม่ แต่เขาทำไม่สำเร็จก็เท่านั้น คนที่คอยดู "นิสัยคนอย่างลึกซึ้ง" แท้จริง ก็คือ "จิวแปะทง" ที่ต้องแกล้งอยู่อย่างคนบ้าไปวันๆ เพราะรู้ว่าแม้แต่พี่ชายของตัวเองเก่งขนาดไหน ยังโดนสี่ยอดฝีมือที่ชาวยุทธ์ยกย่อง "รุมฆ่าเพื่อเอาคัมภีร์เก้าอิมเล่มเดียว" (ชาวฮั่นมองชาวกิมก๊กว่าเลวเพราะฆ่าคนเอาคัมภีร์และยุทธพิชัยสงครามของงักฮุย แท้แล้ว ยอดยุทธ์ชาวฮั่นทั้งสี่ ก็เลวไม่แพ้กันรุมฆ่าเฮ้งเต้งเอี๊ยงเพื่อคัมภีร์เล่มเดียว แต่ในเรื่องสร้างภาพว่าคือการปะลองยุทธ์นะ แท้แล้วคือ การแสร้งปะลองยุทธ์ทีเดียวสี่คนเพื่อรุมคนๆ เดียว) พอพบก๊วยเจ๋ง เขาคิดว่าเป็นคนดี จึงลองใจบังคับให้ท่องวิชาเก้าอิม (แต่ไม่ได้บอกให้ฝึก เพื่อลองใจก๊วยเจ๋งดูว่าจะแอบฝึกเก้าอิมหรือไม่?) ภายหลังก๊วยเจ๋งก็รู้ว่าวิชาเก้าอิม ชาวยุทธ์ล้วนถือเป็นวิชามาร ไม่ให้ฝึกกัน แต่ตนเองก็ยังฝึกต่อจนสำเร็จ  (เพื่ออะไร?) สุดท้ายจิวแปะทงรู้ว่าไม่ใช่คนดีแท้จริง จึงไม่ช่วยเหลือ ได้พบเอี้ยก้วยและเซียวเล่งนึ้ง จึงได้ถ่ายทอดวิชาเก้าอิมและสองมือขัดแย้งให้ทั้งสองคนนี้แทน (แต่ทั้งสองคนไม่อยากแก่งแย่งอำนาจ รักสันโดษ ภายหลังจึงได้ปลีกวิเวกหายไป) ก๊วยเจ๋งยามมีเอี้ยก้วย ทำผลงานมากมายต้านทัพมองโกลสำเร็จ แต่พอไม่มีเอี้ยก้วยแล้ว สุดท้าย ก็ต้องพินาศและล่มจมไป ทัพมองโกลก็บุกยึดแผ่นดินฮั่น ตั้งราชวงศ์หยวนขึ้นมาแทนที่


คนเราถ้าจงรักภักดีจริงก็ต้องร่วมมือกับ "ราชสำนัก" (ราชวงศ์ซ้องขณะนั้น) แล้วต้านทัพมองโกลในฐานะประชาชนชาวซ้อง ไม่ใช่ รอให้ซ้องล่มสลาย ตัวเองกลับซ่องสุมกำลังกันเงียบๆ ในรูป "สำนักธรรม" หรือก็คือ "สำนักชาวยุทธ์ต่างๆ" นั่นเอง แท้แล้ว ก็คือ "การเล่นการเมืองเพื่อตั้งราชวงศ์ใหม่ของตนเอง" เพื่อให้ได้อำนาจตกในมือของตนกันทั้งนั้น หากเป็นผู้มีธรรมละทางโลกได้จริง เหตุไฉนต้องเลือกว่ากิมก๊กหรือชาวมองโกล เป็นผู้ผิด ไม่อาจครองแผ่นดินจีนได้? ก็ในเมื่อ ไม่ว่าชาวกิมก๊กหรือชาวมองโกล ล้วนแต่เป็นชาวจีนทั้งนั้น เพียงแต่ต่างชาติพัันธุ์กันเท่านั้นเอง ใครจะึขึ้นครองอำนาจ เป็นใหญ่ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ผิดเลย ทว่า "ชาวยุทธ์ฮั่น" ต่างตีตราบาปผูกขาดไว้ว่า "ถ้าไม่ใช่ชาวยุทธ์ฮั่น" มันจะครองแผ่นดินจีน ไม่ได้ ใครที่อาจหาญตั้งราชวงศ์ ก็จะถูกมองว่าเป็นตัวร้าย เป็นมารไป ไม่ต่างจาก "เอี้ยคัง" แท้แล้ว ชาวยุทธ์ฮั่น ต่างก็ตั้งตัว ตั้งสำนักขึ้นมา เืพื่อเล่นการเมือง เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ เพื่อให้ได้ตั้งราชวงศ์ของตนเองบ้าง ก็เท่านั้น หาใช่ตั้งสำนักธรรมมาเพื่อหลุดพ้นเรื่องทางโลกไม่ แม้แต่ "วัดเส้าหลิน" ที่มี "ฉากหน้าเป็นวัด" ที่แท้ก็คือ "แหล่งซ่องสุมของนักการเมือง" ที่แอบไปซ่อนตัวในรูปของพระสงฆ์ (ซึ่งในพม่ายุคปัจจุบัน พระสงฆ์ทำแบบนี้ก็มีมากมาย) แท้แล้วกลับฝึกวิชาฆ่าคน พร้อมรบ พร้อมทำสงครามยึดอำนาจกันทั้งนั้น ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์หนึ่งไปสู่ราชวงศ์หนึ่ง วัดเส้าหลินก็ล้วนมีส่วนรู้เห็นและอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะมันคือ "การเล่นการ เมือง" ใครก็มีสิทธิ์เล่นได้ ทว่า "จอมยุทธ์ฮั่น" จะตีตราบาปให้คนอื่นที่ไม่ใช่ชาวยุทธ์ฮั่นว่าไร้ความชอบธรรมในการเล่นการเมือง หรือก่อตั้งราชวงศ์ของตนเอง ดังเช่นที่ตีตราบาปให้ใครหลายคนมาแล้ว ภายหลัง "เฉียนหลงฮ่องเต้" กวาดล้างพวกชาวยุทธ์ (นักการเืมืองนอกระบบ) ไปเืื่พื่อความมั่นคงของประเทศ กลับถูกชาวธิเบตมองว่าเลวร้าย จนเมื่อดาไลลามะแห่งธิเบตองค์ที่ ๖ ได้เข้ามาพบเฉียนหลงด้วยตนเอง จึงได้เข้าใจสาเหตุทั้งหมด จึงเป็นเพื่อนกัน พอกลายเป็นเพื่อนกันเท่านั้น ดาไลลามะองค์ที่ ๖ ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากชาวธิเบตเลย จนต้องเร่ร่อนออกไปมรณภาพในบั้นปลายชีวิต แท้แล้ว "ชาวธิเบต" ส่วนหนึ่งก็มาจาก "ชาวยุทธ์ฮั่น" ที่ถ้าเราไปศึกษาดูวิชาที่พระลามะธิเบตฝึกกันแล้ว คุณจะรู้ว่า หลายวิชามาจากวิชายุทธ์ของชาวฮั่น ทั้งสายเส้าหลินและสายลี้ลับอื่นๆ ทั้งสิ้น (พวกชาวยุทธ์แฝงตัวเป็นพระลามะธิเบต พวกนี้ ก็คือ ชาวฮั่น) ในที่สุด ประเทศจีนจึงอ้างเหตุ "ยึดธิเบต" เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนในปัจจุบัน (คุณทราบไหมว่ามีลามะธิเบตรูปหนึ่ง ถือ "ตราราชวงศ์ฮั่น" บางอย่างที่สำคัญมากไว้ในมือ และคนผู้นั้น "มิใช่ดาไลลามะ" ที่แสนจะโด่งดังและอาจไม่ทราบเลยว่า "ลามะธิเบต" ทำไมถูกจีนเล่นงานเพราะเป็นชาวยุทธ์ฮั่นแฝงมานั่นเอง) คนที่ประธานาธิบดีจีนเล่นงานคือ ปันเชนลามะและดาไลลามะนั้น ทั้งสองคน ไม่ได้ถือตราราชวงศ์ฮั่น แต่คนที่มีตราราชวงศ์ฮั่นอยู่ในมือ คือ "ลามะท่านอื่น" และตราบใดที่ยังมีตราราชวงศ์นี้ ก็ยังใช้รวบรวมชาวฮั่นขึ้นเพื่อต่อต้านการปกครองแบบคอมมิวนิสต์จีนได้อีก ซึ่งอันตรายกว่า "เฉินกวงเฉิง" เสียอีก


เรื่องนี้ลับมากๆ บอกมากกว่านี้ไม่ได้ครับ เพราะคนที่มีชีวิตอยู่ หลบซ่อนตัวอยู่ ยังมี ...



วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

ควันหลง "ศึกชิงเมือง" เลือกตั้งผู้ว่า กทม.

เดิมทีผมกะจะประเมิณน้ำใจคนกรุงเทพฯ ดู ว่าจะเอนน้ำหนักไปทางใดมากกว่า ระหว่าง

๑. เห็นประโยชน์ของบ้านเมือง มาก่อน ประโยชน์เฉพาะตัวคนกรุงฯ แล้วเลือกเพื่อคานดุลยภาพอำนาจ
๒. เห็นประโยชน์เฉพาะัตัวคนกรุงฯ มาก่อน ภาพรวมของบ้านเมือง แล้วเลือกคนที่มาจากพรรครัฐบาล

ทว่า เมื่อดูจากคะแนนที่ออกมาแล้ว เหมือนว่าชัดเจนว่าใครแพ้ ใครชนะ ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจในสิ่งที่ได้เห็นว่า "มันจริงหรือไม่?" หรือมีเบื้อหลังกันแน่? อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ เกินไปครับ แม้สิ่งนั้นจะมองเห็นชัดด้วยตาของเราก็ตาม ใครจะไปรู้ว่ามี "มืิอที่มองไม่เห็น" ให้ผลออกมาเป็นเช่นนั้นบ้างหรือไม่?


อีกประการ หากฝ่ายหนึ่งใช้วิธีสกปรก โกงคะแนนเพื่อเอาชนะเสียเลย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็ใช้วิธีสอยให้ร่วง กลับคืนไปบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น? ก็คงไม่เท่าไรหรอกครับ เพราะไม่กระทบคนทั่วไปมากนัก เป็นการใช้วิธีทางการเมือง จัดการทางการเมือง แต่เท่าที่ดูแล้ว ผู้ว่า กทม. นั้น ไม่ใช่คนของเสื้อเหลือง แต่เป็นคนของพรรคประชาธิปัตถ์ ซึ่งตอนนี้เริ่มชัดเจนแล้วว่าเป็นอีกก๊กหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะคนของเสื้อเหลืองน่าจะเป็น คุณ เสรีพิสุทธิ์ มากกว่า (สุดท้ายกลายเป็นแตกสามฝ่าย เสื้อแดง, เสื้อเหลือง, และเสื้อฟ้า) งานนี้แม้ดันคนของเสื้อเหลือง (เสรีพิสุทธิ์) ขึ้นไม่ได้ ก็ใช้หลัก "ศัตรูของศัตรูคือมิตร" แทน ก็แล้วกัน คือ ดันให้คนเสื้อฟ้าขึ้นไปเป็น ผู้ว่าฯ ดีกว่าให้คนของเสื้อแดงขึ้นครองอำนาจว่าอย่างนั้น เพราะดูคะแนนแล้ว เสื้อฟ้ากับเสื้อแดง คะแนนสูสีกัน (ใน กทม.) ดังนั้น จะดันเสื้อฟ้าขึ้น ก็คงไม่ยากเกินไป ถ้าต้องโกงคะแนนก็ไม่มาก นิดหน่อยเท่านั้นเอง เพราะ "มือที่มองไม่เห็นบางมือ" เป็นอะไรที่ ท่านไม่อาจตรวจสอบได้ และไม่อาจก้าวล่วงได้เลย หากมือนั้นลงมือกระทำแล้ว รับรองว่า "ไร้ร่องรอยและแนบเนียนเป็นที่สุด" ท่านไม่มีทางจับได้แน่นอนว่ามีการโกงหรือไม่? อีกประการ ฝ่ายเสื้อฟ้าอาจไม่ใช่ผู้ลงมือโกงด้วยตนเอง ก็ยิ่งยากที่จะตรวจสอบไปใหญ่ว่า "ตกลงแล้วมีการโกงหรือไม่?" และใครกันที่เป็นผู้ลงมือ


ในอีกมุมหนึ่ง ทำให้เห็นได้ว่า "คนกรุงเทพฯ" แยกแยะไม่ออกระหว่างคนของเสื้อเหลืองจริงๆ กับคนของเสื้อฟ้า ไม่ใช่พวกเดียวกัน แต่คนเสื้อฟ้าใช้ความไม่เข้าใจ และความคลุมครือตรงนี้ ในการค่อยๆ ยึดฐานมั่นในเมืองกรุงเอาไว้ก่อน ก็เท่านั้นเอง ยังมีเกมที่ดูได้ยากอีกมาก ที่ฝ่ายเสื้อฟ้าจะใช้โดยแฝงกายในรูปคนเสื้อเหลืองไปก่อน เป็นก๊กแอบแฝง แนวๆ "แอบอ้่างสถาบัน" นั่นแหละครับ เช่น การแอบอ้างว่าทำเพื่อสถาบัน แล้วจับศัตรูทางการเมือง (เสื้อแดง) เข้าคุก ลงโทษอย่างรุนแรงด้วยข้อหา "หมิ่นสถาบัน" ทำให้คนเสื้อแดงส่วนใหญ่เกลียดสถาบัน และยุให้ตีกันเอง ระหว่างคนเสื้อแดงและสถาบัน จนพังกันไปทั้งสองฝ่าย ทีนี้ละ ความชอบธรรมและคุณธรรมความดีทั้งหมด ก็จะตกแก่คนเสื้อฟ้า ซึ่งประชาชีทั้งหลาย หาได้รู้ไม่เลยว่า "เสื้อฟ้ากับเสื้อเหลือง" เป็นคนละกลุ่มกัน ดังนั้น การประเมิณน้ำใจคนกรุงฯ มีจุดประสงค์เพื่อจะดูว่า "คนกรุงฯ" สมควรดำรงอยู่ในฐานะเมืองหลวงของประเทศต่อไปหรือไม่? ถ้าคนกรุงฯ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่เมืองตัวเอง แต่ยอมเสียสละทำเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อประเทศชาติ แม้ว่าตนจะเสียผลประโยชน์ก็ยอม นั่นหมายความว่า พวกเขาล้วนมีความชอบธรรมที่จะได้ครองความเป็นคนกรุงฯ ต่อไป แต่ถ้าเขาไม่ทำหน้าที่ตรงนี้แล้ว เขาก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะได้เป็น "เมืองหลวง" อีกต่อไป คงไม่อาจที่จะสรุปได้ เอาละ ผมไม่รู้ เพราะสิ่งที่ผมเห็น ผมอาจจะถูกหลอกทั้งหมดเลยก็ได้ อย่าเชื่อตาเนื้อตัวเองมากเกินไป แต่สวรรค์ย่อมรู้ คนไม่อาจปิดบังฟ้าได้ เป็นอันว่าคนกรุงฯ จะรอดหรือไม่ ก็ไม่ใช่ใครเป็นผู้กำหนดแล้ว ฟ้าดินรู้เห็นทั้งหมด คงจัดสรรเอง


เอาละ สุดท้ายนี้ ผมไม่ได้กล่าวหาใครทั้งนั้นครับ มันเป็นแค่ "ความสงสัยเฉพาะบุคคล" เท่านั้นเอง



วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

อเมริกันชนยุึค "ชาตินิยม" กับความหดแคบทางโลกทัศน์ครั้งสำคัญ!

อะไรคือความเป็นอเมริกา? คำตอบน่าจะเป็น "ดินแดนแห่งเสรีภาพของโลก" ไม่ใช่ของชนชาติหรือเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง เพราะหลังจากประเทศอเมริกาเกิดขึ้นแล้วในโลก หลังจากการยึดครองแผ่นดินของชาวอินเดียนแดงไปโดย "กลุ่มผู้อพยพหลากหลายเชื้อชาติ" ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากยุโรป และเพื่อให้เขาเหล่านั้นสามารถอยู่ร่วมอเมริกาด้วยกันได้ ทั้งๆ ที่มาจากหลายประเทศ มีหลายเชื้อชาตินั้นเอง อเมริกาจึงต้องปรับตัวเองไปสู่โลกทัศน์ที่กว้างขึ้นในระดับโลก ด้วยแนวคิดใหม่เป็นประเทศแรกของโลกที่ว่า "อเมริกันคือดินแดนแห่งเสรีภาพของโลก" ที่ไม่จำกัดด้วยเชื้อชาติ, ศาสนา, เพศ หรือสิ่งใดๆ


ทว่า อเมริกันในวันนี้ กำลังหดแคบลงกลายเป็นเพียงประเทศที่ยึดความเป็น "อเมริกันชนอย่างคับแคบ" เช่น การที่ยึดผู้นำประเทศของตนมาก ไม่สนใจผู้นำอื่นๆ ในโลก ใครมาต่อว่าผู้นำของตนเอง ก็จะรู้สึุกไม่ชอบ ไม่อยากฟัง ปิดกั้นไม่เปิดใจรับ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะของ "ชาตินิยม" อย่างหนึ่ง และด้วยกระแสชาตินิยมอเมริกันนี่เอง กลายเป็น "ตัวทำลายความเป็นอเมริกันที่แท้จริง" แต่เิดิม อเมริกันคือโลก คือ ศูนย์รวมของโลก ของคนทั่วโลกทุกเชื้อชาติ, ทุกชนชั้น ฯลฯ เสรีและเปิดกว้าง ไม่ใช่พวกชาตินิยมที่ยึดเอาแต่ประเทศเล็กๆ ของตนเป็นสำคัญ แต่ทำหน้าที่เป็น "ตัวแทนของโลก" เป็นแบบอย่าง เป็นต้นแบบให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้เห็น ได้มีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น ไม่ยึดอยู่แต่เชื้อชาติ, ประเทศชาติ, ผู้นำของตน ฯลฯ นับเป็นครั้งแรกทีเดียว ที่เราได้เห็น "ชาตินิยมอเมริกัน" เกิดขึ้น ภายใต้การนำของ ปธ. บารัค มีเืรื่องน่าตลกบางอย่างให้สังเกตุดูึครับ หลังจากกระแส "กังนัมสไตล์" จากเกาหลี แพร่ไปทั่วโลก อเมริกา ก็เอาบ้าง สร้างกระแสการเต้นแบบอเมริกันชนในเครื่องบิน แล้วก็แสร้งสร้างข่าวให้ดัง ให้เผยแพร่กันไปในยูทูปครับ นี่ก็คือการกระทำที่ไม่พ้นไปจากแนวคิด "ชาตินิยม" เลย ซึ่งสิ่งนี้ ไม่ใช่รากเหง้า ไม่ใช่แนวนโยบายของอเมริกันตั้งแต่ต้นครับ อเมริกันทุกวันนี้ เปลี่ยนไปครับ เมื่อก่อน มันคือ ดินแดนใหม่ ที่มีผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ เข้าไปบุกเบิกและสร้างชาติร่วมกัน คำว่า "อเมริกันจึงไม่ใช่ชาตินิยม แต่เป็นสากลนิยม" มาตั้งแต่เริ่มสร้างชาติ สร้างประเทศแล้ว ทว่า ทุกวันนี้ อเมริกันกลายเป็นชาตินิยม สูญเสีย "ความเป็นสากลนิยม" ลงอย่่างไม่รู้ตัว และสิ่งนี้เองนั่นแหละ ที่จะเป็นตัวทำลายความเ็ป็นอเมริกันลง


ทุกวันนี้ ชาวอเมริกัน ภูมิใจในความเป็นอเมริกัน ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากประเทศใด มีเชื้อชาติใดมาก่อน เคยเป็นคนไทยแล้วไปได้กรีนการ์ดอเมริกัน, เคยเป็นคนจีน แล้วกลายเป็นคนอเมริกัน, เคยเป็นชนผิวดำ แล้วกลายเป็นคนอเมริกัน ฯลฯ อะไรก็แล้วแต่ พวกเขาเหล่านี้ มีค่านิยมและแนวคิดไม่เหมือนอเมริกันชนดั้งเดิมที่แท้จริง ที่มองเห็น "ความเป็นสากลนิยม" ที่จะทำให้คนอเมริกันอยู่ร่วมกันได้ ดังในยุคก่อนๆ มา เขาลืมที่จะมองโลกกว้าง แล้วเห็น "ประธานาธิบดีผิวสี ชื่อ เนลสัน แมนเดลล่า" ว่าดีกว่า ปธ. ผิวสีที่ชื่อ "บารัค โอบามา" อย่างไร? เพียงเพราะเขามีความเป็นชาตินิยมไงละครับ เขาเลยยึดมั่นว่า ปธ. ของฉัน ต้องดีกว่าของใครเสมอ จุดนี้แหละ แตกต่่างอย่างยิ่งจากอเมริกันชนยุคก่อนๆ ที่เขาพร้อมเปิดใจรับและดูว่าทั่วโลกมีอะไรดีๆ บ้างและตัวเองมีข้อเสียอย่างไร เพื่อที่จะนำมาพัฒนาประเทศให้กลายเป็นแบบอย่างแก่โลก ไม่ใช่ประเทศที่ยึดอยู่ใน "ชาตินิยม" ที่คิดเข้าข้างและเห็นด้วยแค่ "ชนชาติอเมริกัน" เพียงเท่านั้น



"แผนลวง" เพื่อหักหลังกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้

เรื่องนี้ซับซ้อนครับ ลึกลับจนอดไม่ได้ที่จะต้องมา "ล้วงลึก" กัน ทำอย่างไรได้ละครับ บล็อกของผมมุ่งเน้นเรื่อง "ลับ ลวง พราง" แล้วเอามาแฉให้ประชาชนได้ตาสว่างกันเสียด้วย ก็เลยต้องทำครับ เอาละ ในเมื่อมันลึกลับและซับซ้อนมากๆ ผมก็จะอธิบายให้ "ง่ายที่สุด" เท่าที่คนไทยที่ไม่เก่งอะไร จะเข้าใจครับ


แผนการหักหลัง มีหลายขั้นตอนดังนี้

๑. หลอกให้แบ่งแยกดินแดน คือ ถ้ารัฐปัตตานีไม่แบ่งแยกดินแดนเป็นแผ่นดินเล็กๆ ยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยอยู่ ก็จะกลืนได้ยากครับ เพราะถ้าจะกลืนก็ต้องต่อสู้กับกองทัพไทยเสียก่อน ประเทศไทยก็ใหญ่และมีคนมาก ทหารย่อมไม่น้อย ทั้งยังมีพันธมิตรกับประเทศกลุ่มทุนนิยมอีกด้วย ถ้าประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตยเมื่อไร ก็จะกระทบต่ออเมริกาและประเทศกลุ่มทุนนิยมอย่างรุนแรง เพราะไทยเป็นดั่งช่องทางของทุนนิยมโลกที่จะเข้าถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีน ดังนั้น จึงต้องหลอกให้ทำ การแบ่งแยกดินแดนก่อน เมื่อรัฐปัตตานีเล็กลงแล้ว ก็จะไม่มีกองทัพที่ยิ่งใหญ่พอจะดูแลตัวเองได้อีก

๒. หลอกให้แย่งกันเป็นใหญ่ คือ หลังจากแบ่งแยกดินแดนได้แล้ว ก็หลอกให้แต่ละกลุ่มแย่งกันขึ้นเป็นใหญ่ ขั้นตอนนี้ จะไม่ต่างจากปากีสถาน ซึ่งแบ่งแยกดินแดนจากอินเดียโดยอาศัยชาวมุสลิมเข้าไปอยู่รวมกันครับ แต่ทุกวันนี้ ปากีสถานก็ไม่เคยมีความสงบสุขสมคำว่า "อิสลาม" เสียที เพราะเกิดการแก่งแย่งกันภายในครับ รัฐปัตตานีหลังจากแบ่งแยกดินแดนแล้ว ก็จะตกอยู่ในสภาพนี้ ยิงกันทุกวัน ไม่มีจุดจบครับ เพราะอะไร? เพราะแต่ละกลุ่มต่างก็มีอาวุธสงครามของตัวเอง แต่ละกลุ่มก็ต้องการอำนาจเพื่อเป็นใหญ่ แต่ละกลุ่มไม่มีกลุ่มไหนเลยที่เป็นตัวกลาง ไม่มีรัฐบาลดูแล ไม่มีใครเจรจาให้สงบศึกได้เลย นั่นเอง

๓. สร้างความชอบธรรมก้าวก่าย คือ ก่อนที่จะมีการเข้าไปก้าวก่ายกิจการภายในของรัฐปัตตานี ก็จะมีการสร้างความชอบธรรมในการเข้าไปก้าวก่ายก่อนคือ หลังจากยุยงให้แต่ละกลุ่มแย่งชิงอำนาจกันจนไม่อาจหาข้อสรุปหรือยุติลงได้แล้ว ก็จะทำตัวเป็นฮีโร่ เป็นตัวกลาง อาสาเข้าไปเจรจากับแต่ละกลุ่ม เพื่อให้ยุติเหตุความรุนแรงจากการแย่งชิงอำนาจกันนั้นๆ จุดนี้เอง ก็จะเกิดการเปิดช่องให้ประเทศที่ใหญ่กว่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของรัฐปัตตานีได้ จากนั้น ก็จะส่ง "หุ่นเชิด" ของตัวเองขึ้นครองอำนาจต่อไป

๔. การปั้นหุ่นเชิดเป็นผู้นำคนแรก คือ การใช้คนในรัฐปัตตานีเองที่ยอมก้มจำนนและยอมเป็นหุ่นเชิดให้ประเทศที่ใหญ่กว่าในการกลืนอย่างช้าๆ เมื่อได้หุ่นเชิดตัวนี้แล้ว ก็จะค่อยๆ ปั้นให้เขาได้เป็นผู้นำแห่งรัฐปัตตานีคนแรก สร้างการยอมรับแก่ประชาชนทั่วไปด้วยความเชื่อทางศาสนาเป็นต้น เช่น สร้างเรื่องราวว่าเขาคนนี้คือ ผู้ที่สวรรค์ส่งมาปกครองประเทศ เป็นต้น จากนั้น รัฐปัตตานีก็จะค่อยๆ ตกเป็นเมืองขึ้นโดยพฤตินัย โดยที่ประชาชนไม่รู้เท่าทันว่าผู้นำประเทศของเขา คือ "หุ่นเชิด" ของประเทศที่ใหญ่กว่านั้นๆ

๕. ครอบงำและกลืินกินสมบูรณ์ คือ หลังจากประชาชนได้ยอมรับ "ผู้นำหุ่นเชิด" แล้ว ก็จะเริ่มครอบงำให้ประชาชนโง่ลง ยอมจำนนโดยง่าย จนถึงขั้นยอมเชื่อไปหมด ชี้ให้หันไปซ้่่าย ไปขวา ได้หมด เมื่อถึงขั้นนี้แล้วก็จะดำเนินการขั้นตอนสุดท้ายคือ "การกลืนกินอย่างสมบูรณ์" เช่น การแสร้งทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะวิกฤติ จนต้องยอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่ใหญ่กว่านั้นๆ (ที่บงการอยู่เบื้องหลังผู้นำรัฐปัตตานีนั้น)  จุดนี้จะเหมือนประวัติศาสตร์ของเกาหลีในยุคที่ยอมเป็นเมืองขึ้นของจีน (ฮ่องเต้กลายเป็นอ๋องของจีน)

เอาละ นี่คือ แผนการ ๕ ขั้น ในการหลอก "เหล่าผู้ก่อการแบ่งแยกดินแดน" ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อหักหลังทีหลัง แต่จะต้องใช้เวลานานพอควรนะครับ มันเป็นแผนที่เดินเกมยาวทีเดียว ไม่จบง่ายๆ แต่ก็ได้ผลครับ เพราะเพียงแ่ค่เอาศาสนาอิสลามมาอ้าง ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว เหตุผลจะอธิบายก็ไม่มี เชื่อเลยครับ ก็จะสามารถหลอกให้พวกเขาก่อความไม่สงบได้แล้ว ปล่อยให้ฆ่ากันเองไปมา (คนรู้จักกันทั้งนั้น แต่กลับต้่องมาฆ่ากันเอง) สุดท้าย คนที่วางแผนอยู่เบื้องหลัง ก็นอนรอ "กลืนต่อ" อย่างสบายๆ


อนึ่ง ขณะนี้แผนการได้ดำเนินอยู่ในขั้นตอนที่ ๑ จนกว่าจะแบ่งแยกดินแดนสำเร็จก็จะดำเินินการต่อไปยังขั้นตอนที่ ๒ ได้ ช่วงนี้ก็จะต้องสร้างสัมพันธไมตรีปลอมๆ กับประเทศไทยไปก่อนแล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสามจังหวัดชายแดนใต้ คือ หน้าซื่อๆ ใสๆ ไว้ว่าฉันไม่รู้นะ ฉันไม่เกี่ยวอะไรเลยอ่ะ แบบนั้น จากนั้นก็ยืมมือคนอื่นเช่น กลุ่มค้าอาวุธ, ค้าน้ำมันเถื่อน, ค้ายาเสพติด ฯลฯ ลอบส่งเงิน, อาวุธ, ยาเสพติด  และทุกๆ อย่างที่ำจำเป็นหนุนเข้าไปเสริมความเชื่อและความหลงในการแบ่งแยกดินแดนต่อไปหล่อเลี้ยงอุดมการณ์การแบ่งแยกดินแดนต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จครับ โดยเขาจะไม่สนับสนุนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียวครับ จุดนี้คือจุดสำคัญให้สังเกตุครับ ถ้าเขาจริงใจต่อกลุ่มก่อการฯ จริงๆ เขาจะต้องให้การสนับสนุนเพีัยงกลุ่มเดียวสิครับ เมื่อแบ่งแยกดินแดนแล้วจึงจะได้เป็นผู้นำประเทศอย่างแน่นอน แต่นี่เขาไม่ไำด้ต้องการให้จบลงแบบสงบสุขเช่นนั้น เขาต้องการให้มีหลายๆ กลุ่ม เมื่อแบ่งแยกดินแดนเสร็จแล้วก็แย่งชิงอำนาจกันต่อ เพื่อให้เข้าสู่แผนการขั้นต่อไป คือ "สร้างความชอบธรรมในการก้าวก่้าย" นั่นเอง ถ้ายังเชื่อเขาเพียงเพราะเขามีศาสนาเดียวกันกับเรา ก็ลองดูง่ายๆ ครับ ชาวมุสลิมที่ตายเพราะคนมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่มีหรือไร? ไม่จริงหรอกครับ คนมุสลิมก็ถูกผู้ก่อการร้ายฆ่าตายได้เช่นกัน


สุดท้ายนี้ ใครอยากจะเป็น "ควาย" ให้เขาหลอกไปตายต่อไป ก็เชิญครับ!



วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ย้อนเกร็ดประวัติศาสตร์แห่งอารยธรรม "ผ้า" สี่ยุคสมัยที่ท่านหาอ่านที่ใดไม่ได้ ดังนี้ฯ

อารยธรรมผ้า มีมายาวนานคู่กับมนุษย์ จนเราถึงกับยอมรับว่าเป็น "หนึ่งในปัจจัยสี่" ที่จำเป็นของมนุษย์เลยทีเดียว ทว่า ความเป็นมาของผ้านั้นยาวนานเพียงใด ไม่อาจประมาณได้ ผมจึงขอแบ่งเป็น ๔ ยุคดังนี้

๑. ยุคเปลือย คือ ยุคที่ยังไม่มีผ้า เกิดขึ้นบนโลก มนุษย์อยู่เหมือนสัตว์ ไม่ปกปิดร่างกาย เปลือยเปล่า ไม่ต่างจากสัตว์ ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างความรู้สึกของการเปลือยและการไม่เปลือย แต่อย่างใดเลย

๒. ยุคอำพราง คือ ยุคที่เริ่มหาใบไม้มาร้อยเรียง ปิดบังอำพรางบางส่วนของร่างกาย แต่ยังไม่รู้จักการใช้เส้นใยถักทอเป็นผ้าผืนเพื่อนุ่งห่ม แต่ยุคนี้เริ่มรู้จักการปิดบังอำพรางร่างกายแล้วสืบทอดแนวคิดต่อไป

๓. ยุคผ้านุ่ง-ผ้าผืน คือ ยุคที่รู้จักเส้นใย, การถักทอ ทำให้ได้ผ้าขึ้นมาครั้งแรก เป็นผืนๆ และมีการนุ่งห่มทั้งผืนโดยไม่มีการตัดเย็บให้เป็นรูปแขนขา เหมือนเสื้อและกางเกงอย่างที่เรานุ่งห่มกันอยู่ในทุกวันนี้

๔. ยุคผ้าตัดเย็บ คือ ยุคที่รู้จักการตัดเย็บผ้าผืน ให้เป็นรูปร่างต่างๆ เข้ารูป, เข้าตัว ทำให้มีเสื้อ (มีแขน), มีกางเกง (มีขา), มีกระโปรง (มีเอว) ฯลฯ เกิดขึ้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นยุคสมัยใหม่ของมนุษย์โลกเลยทีเดียว

สำหรับยุค "ตัดเย็บ" นั้น ผมไม่ขออธิบายมาก เพราะเป็นยุคร่วมสมัยที่เราเป็นกันอยู่ แต่การตัดเย็บของเรายังแยกกันระหว่างผ้าท่อนบนและท่อนล่าง ไม่แน่ว่ายุคต่อไปอาจสำเร็จได้ในชุดเดียว เรียกว่า เอาแค่ชุดเดียวก็ใส่ได้ทั้งตัวไปเลย ง่าย, เร็ว, ประหยัด ฯลฯ ว่าอย่างนั้น ก็ไม่แน่นะครับ เอาละ ผมขอขยายความย้อนไปในยุคที่เีรียกว่า "ยุคผ้านุ่ง-ผ้าผืน" กันก่อนดีกว่า ซึ่งยังคงหลงเหลือให้เห็นในยุคปัจจุบันน้อยมาก เช่น การห่มผ้าสาหรีของชาวอินเดีย, การห่มผ้าจีวรของพระ, การนุ่งโสร่งของชาวพม่า, การนุ่งผ้าขาวม้าของคนไทย ฯลฯ เป็นต้น ในยุคนี้ ไม่มีการตัดเย็บผ้าเป็นรูปร่างอื่นๆ นอกจากเป็นผ้าผืินเท่านั้น แต่ใช้การ "ผูก, รัด, มัด, พัน, พับ" ฯลฯ ในการนุ่งห่มแทน จึงเรียกว่า "ผ้านุ่ง" บ้าง "ผ้าห่ม" บ้าง แตกต่างกันออกไป ที่น่าสนใจคือ "วิธีการนุ่งห่มที่ต่างกัน" เช่น ในบางวรรณะจะนุ่งห่มอย่างหนึ่ง อีกวรรณะหนึ่งจะนุ่งห่มไปอีกอย่างหนึ่ง การนุ่งผ้าแบบพับด้านหน้าแล้วปล่อยชายผาตามปกติ เช่น การนุ่งสงบของพระ เป็นการนุ่งในแบบของวรรณะกษัตริย์ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็มาจากวรรณะกษัตริย์มาก่อน แล้วใช้การนุ่งผ้าแบบนี้ ส่วนการนุ่งผ้าอีกแบบเช่น การพันชายผ้าให้แข็งแล้วแทงใต้หว่างขา เหมือนหางแล้วเหน็บไว้ด้านหลังนั้น น่าจะมาจากการนุ่งผ้าแบบวรรณะพราหมณ์ ในสมัยก่อน ฝรั่งเห็นการนุ่งแบบนี้ ก็ล้อเลียนว่าคนไทยมีหางบ้าง เป็นลิง บ้าง ฯลฯ มาสู่สมัย ร. ๕ ก็เริ่มกำหนดควบคุมให้มีการนุ่งผ้าที่ได้จากการตัดเย็บ ผสมผสานกับการนุ่งผ้าแบบผ้านุ่ง ผู้หญิงที่เคยใช้ผ้ารัดอก ก็เปลี่ยนไปใส่เสื้อแทน วัฒนธรรมการนุ่งผ้าผืนจึงค่อยๆ หายไป


อนึ่ง วัฒนธรรมการนุ่งผ้าด้วยการ "ผูก, รัด, มัด, พัน, พับ" ฯลฯ ด้วยวิธีการต่างๆ นี้ค่อยๆ เลือนหายไปแล้ว นับว่าน่าเสียเดียดายเช่นกัน เพราะคนโบราณเริ่มนุ่งผ้าจากไม่กี่ผืน แล้วพัฒนาขึ้นซับซ้อนขึ้นจนมีหลายผืน ยิ่งในตระกูลคนร่ำรวยยิ่งใช้หลายผืน (ส่วนพระพุทธศาสนากำหนดให้ใช้เพียง ๓ ผืน เพื่อความสมถะ) เช่น ผ้าโผกศีรษะ ๑ ผืน, ผ้ารัดอก ๑ ผืน, ผ้าพาดไหล่ ๑ ผืน, ผ้านุ่ง (ท่อนล่าง) ๑ ผืน, ผ้าคาดเอว (คาดเอวแล้วปล่อยชายด้านหน้าเพื่อความสวยงาม) ๑ ผืน, ผ้าคลุมไหล่ ๑ ผืน ฯลฯ จะเห็นได้ว่า รายละเอียดของการใช้ผ้าผืนที่ไม่ผ่านการตัดเป็นรูปร่างต่างๆ นี้ มีมากมายทีเดียว และน่าสนใจมากอย่างยิ่ง ปัจจุบัน หากจะให้ใครสักคนลองนุ่งโจงกระเบนแล้ว คาดว่า คงยากที่จะนุ่งได้ หรือนุ่งเป็นนะครับ ทำให้เราไม่รู้ว่าคนโบราณใช้ผ้ากันอย่างไรบ้าง? ที่พอจะเป็นก็มีเพียง ผ้าขาวม้า, ผ้าขนหนู เท่านั้น แต่ผ้าที่ใช้ประดับตกแต่งอื่นๆ ก็เลือนหายไปหมด ซึ่งนับว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีคุณค่า อันจะช่วยสร้างคุณค่าของผ้าไทยให้กลับมามีบทบาทมากขึ้นได้อีกครั้งทีเดียว ทุกวันนี้ บางครั้งเรายังเห็นคนเข้าใจผิด ไปดูรูปแกะสลักภาพหญิงโบราณ คิดว่าเขาตัดชุดเป็นเสื้อ เป็นกระโปรง แล้วเอามาออกแบบเป็นเสื้อ เป็นกระโปรง ให้นางรำ ก็มี จะดูได้ในระบำสุโขทัย ซึ่งนับว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างมากครับ เพราะยุคนั้น ยังไม่มีเสื้อและกระโปรงเกิดขึ้นเลย มีแต่ "ผ้าผืนและวัฒนธรรมการผูก, รัด, มัด, พัน, พับ" ฯลฯ เท่านั้นเอง นับว่าน่าเสียดายครับ



วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คุณคือ "อลิซ ในแดนมหัศจรรย์" ของผม

เคยอ่านหนังสือหรือดูหนังเรื่ือง "อลิซ ในแดนมหัศจรรย์" ไหมครับ ถ้าท่านไหนไม่เคยทราบจะสรุปย่อๆ ให้ฟังดังนี้ครับ อลิซ คือ ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งในครั้งวัยเยาว์เธอได้เข้าไปสู่ดินแดนมหัศจรรย์ ที่ไม่่่น่าเป็นไปได้ แล้วเวลาผ่านไป เธอโตขึ้น จึงเปลี่ยนไป เธอมีชีวิตเหมือนคนทั่วไป วันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังจะแต่งงานกับลูกชายเศรษฐีคนหนึ่งนั้นเอง เธอได้กลับไปสู่ "ดินแดนมหัศจรรย์" อีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่สามารถจดจำมันได้ เธอจึงคิดว่าเธอกำลังฝันไป เธอได้ผจญภัยต่างๆ ในดินแดนมหัศจรรย์นั้น จนผ่านพ้นไปได้ราวกับปาฏิหาริย์ เหนือจินตนการของเด็กๆ บุคคลในจินตนาการคนหนึ่ง บอกเํธอว่า "เธอจะลืมพวกเขาอีก เธอจะจำพวกเขาไม่ได้" แต่เมื่อเธอได้กลับคืนมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง เธอกลับทำกับคนที่อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ราวกับสิ่งที่เธอทำกับตัวตนต่างๆ ในดินแดนมหัศจรรย์นั้น แท้แล้ว "ดินแดนมหัศจรรย์" ที่อลิซ เข้าไปนั้น คืออะไร? ความเป็นจริงก็คือ "อีกด้านหนึ่งของโลกแห่งความเป็นจริง" นี้นั่นเอง ซึ่งมันถูกปิดบังอำพรางไว้ด้วย "ความไม่เชื่อ ความคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ หรือไม่มีอยู่จริง" เมื่อใดก็ตามที่เราก้าวข้ามผ่านสิ่งขวางกั้นนี้ไปได้เราก็จะได้เห็น "ดินแดนมหัศจรรย์" นั้น ไม่ต่างจากอลิซ  และดินแดนมหัศจรรย์นั้น ไม่ใช่ที่ไหนเลย มันก็คือ โลกของเรา คนทุกคนรอบตัวเรานี่เอง ทว่า มันจะไม่อาจปรากฏขึ้นเป็นดินแดนมหัศจรรย์ได้เลย หากเรายึดมั่นใน "เปลือกนอกที่เรามองเห็นอยู่บนโลกนี้" ต่อไป เมื่อใดที่เรากล้าก้าวข้ามผ่านความเป็นไปไม่ได้ กล้าก้าวผ่านความไม่เชื่อว่ามันมีอยู่จริง เราจะได้เห็นมัน "ดินแดนมหัศจรรย์" ที่เป็นอีกมิติหนึ่งของโลกแห่งความเป็นจริงนี้ สุดท้าย อลิซตัดสินใจเลิกล้มการแต่งงานกับลูกเศรษฐี เธอเกิดความคิดที่ดีกว่าแล้วเธอได้ทำงานในบริษัทของเศรษฐีคนนั้น นั่นคือ โลกแห่งความเป็นจริง (ในดินแดนมหัศจรรย์นั้น เธอพบใครหลายคน แต่เมื่อเธอกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว เธอกลับพบว่าพวกเขาก็คือคนรอบตัวเธอนั่นเอง แต่มีเปลือกนอกปิดบังอำพราง ตัวตนในดินแดนมหัศจรรย์เอาไว้ เช่น คนบางคนดูเปลือกนอกเป็นคนดี แต่ในดินแดนมหัศจรรย์เขาอาจเป็นตัวร้ายก็ได้) สรุป เราทุกคนล้วนเห็นและเข้าไปสู่ "ดินแดนมหัศจรรย์" นั้นได้ เมื่อเรากล้าที่จะผ่านความคิดที่ว่า "มันไม่อาจเป็นไปได้" หรือ "มันไม่จริง" เหมือนดั่งอลิซที่ผ่านมันไปได้ แล้วได้บอกแก่มหาเศรษฐีว่าเธอจะขยายกิจการออกไปจนถึงเมืองจีนเลย ทำให้เศรษฐีตกใจ คิดว่าเธออาจจะบ้าไปแล้ว แต่ว่า ความคิดของเธอก็ยอดเยี่ยมและล้ำสมัยมากพอ กล้าหาญก้าวผ่านด่านความเป็นไปไม่ไ่ด้ และทำให้เขาพอใจ


โลกของเราทุกวันนี้่ ประกอบขึ้นจากหลายมิติ แท้แล้วมันไม่มีมิิติอะไรหรอก มิติ เป็นเพียงมุมมองโลกของเรานั่นเอง เช่น เรามองโลกแต่ในมิติของวัตถุ เราก็จะเห็นโลกอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าเรามองโลกในมุมมองเหมือนอลิซ ในแดนมหัศจรรย์ เราก็จะเห็นโลกในอีกมิติหนึ่ง ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่จริง ไม่น่าเป็นไปได้ อย่างเช่น ถ้าผมจะบอกคุณว่า "มหาเทพกำลังทำสงครามกัน" บนโลกนี้ พวกคุณก็อาจบอกว่ามันน่าขำ เป็นไปไม่ได้ ผมบ้าไปแล้ว เรื่องไร้่สาระของเด็กช่างจินตนการคนหนึ่ง อะไรเช่นนั้น แต่ถ้าคุณเป็นเช่นอลิซได้ คุณก็จะเห็นและเข้าสู่ดินแดนมหัศจรรย์อย่างที่ผมบอกคุณ และคุณจะเห็นการทำสงครามของเหล่ามหาเทพทั้งหลายนั้นบนโลกแห่งนี้ และเมื่อนั้นคุณก็คือ "อลิซ ในแดนมหัศจรรย์ของผม" นั่นเอง ...



วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปัตตานี "ศูนย์กลางแห่งไฟใต้" นั่นหรือคือนครรัฐลังกาสุกะที่ยิ่งใหญ่ในอดีต?

เดิมทีก็สงสัยครับว่าเพราะเหตุใด ไฟใต้จึงรุนแรงนัก และมีเป้าประสงค์เรื่องการแบ่งแยกดินแดน แต่พอได้อ่านประวัติศาสตร์แล้วต้องตกตะลึงทันทีว่าเพราะเหตุใดจึงมีปัญหาแบ่งแยกดินแดนได้อย่างนั้น เพราะอะไรหรือครับ? เพราะ "ปัตตานี" วันนี้ ในอดีตคือ "นครรัฐลังกาสุกะ" ที่ยิ่งใหญ่มากในแถบนี้เลยน่ะสิครับ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ก็คือ "เมืองท่าที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองฮั่นและโรมัน" นั่นเอง (หากข้อมูลผิดพลาดต้่องขออภัย) มีประวัติความเป็นมาที่ชัดเจน และมีบันทึกโบราณปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์จีนเสียด้วยสิ เอาง่ายๆ ครับ สมมุติว่า จังหวัดนี้ แบ่งแยกดินแดนไป เพราะถูกหลอกให้ตัดขาดกับประเทศไทย เป็นแค่นครรัฐเล็กๆ ขาดกำลังทหารสนับสนุน ไฉนเลยจะรอดจากการถูกกลืนด้วยประเทศที่ใหญ่กว่าได้ครับ? ไม่มีทางเลย ถ้านครรัฐลังกาสุกะที่ยิ่งใหญ่เป็นของมาเลเซีย และอาณาจักรขอมที่ยิ่งใหญ่ตกเป็นของกัมพูชาอีกที ไทยเราคงไม่มีที่จะอยู่แล้ว เพราะเราจะกลายเป็น "ขโมย" ที่มายึดเอาแผ่นดินเขาไปทีหลัง (เรายึดแต่ประวัติศาสตร์ที่นับจากสมัยสุโขทัย ในขณะที่เมืองโบราณก่อนนั้นมีมากมาย) นั่นเอง เอาละ ผมไปเจอหนังเรื่องหนึ่งชื่อ Clash of empires เป็นหนังเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่นี่พอดีเลยครับ ยังไม่ได้ดู แต่แนะนำให้ลองดูกันนะครับ ไม่ทราบว่าใครสร้างหนัง แต่ดูแล้ว ไม่ใช่คนไทยเรานะครับ ซึ่งมันอาจจะมีผลต่อ "ความเข้าใจของชาวโลก" ที่มีต่อประวัติศาสตร์ของผืนแผ่นดินนี้ครับ ว่าแท้จริงแล้ว เป็นของไทยหรือมาเลเซียกันแน่ (ในอนาคตที่อาจถูกบิดเบือน) เพราะดั้งเดิมเป็นพุทธนะครับ แต่ตอนนี้ กำลังกลายเป็นอิสลามไป หากเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของมาเลเซียเพราะศาสนาเหมือนกัน จะยุ่ง


นั่นหมายความว่า เราไม่ได้กำลังจะช่วงชิงกันแค่ดินแดนเสียแล้ว แต่เรากำลังตกอยู่ในบ่วงแห่งการแย่งชิง "ประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่" พูดตรงๆ นะครับ ผมรู้สึกว่า "อาณาจักรขอมและพระเจ้าชัยวรมัน" ยิ่งใหญ่มาก พอมาอ่านประวัติศาสตร์ของ "นครรัฐลังกาสุกะ" อีกที โอโห มันยิ่งใหญ่มากๆ ครับ เพราะมันเก่าแก่มาก และโด่งดังเป็นที่รู้จักระดับโลกครับ มันคือ "ศูนย์กลางเมืองท่า" ที่เื่ชื่อมโยงระหว่างอาณาจักรจีนและอาณาจักรโรมัน สองซีกโลกตะวันออกและัตะวันตก มันสุดยอดมากครับ กลับมาดูอีกทีว่าเริ่มต้นแต่ยุคไหน คำตอบคือ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 7 ครับ ก่อนเมืองตามพรลิงค์และศรีวิชัยทราวดี เสียอีก แถมไม่ใช่แค่เก่านะครับ ทั้งเก่าทั้งดัง ทั้งสำัคัญระดับโลกทีเดียว แถมมีอายุยาวนานมาถึง 1,400 ปี นานกว่าอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยารวมกันเสียอีก โอ้ว พระเจ้า สุดยอด อะไรจะขนาดนั้น ตอนนั้น มาเลเซียยังคงเป็นป่า ยังไม่พัฒนาขึ้นเป็นเมืองอะไรมากเลยมังครับ หรือถ้าจะมีเมือง ก็ไม่เจริญเป็นที่รู้จักขนาดนี้ ทว่า ทุกวันนี้ เรารู้จัก "ปัตตานี" แต่เพียงเรื่อง "ไฟใต้และความไม่สงบ" เท่านั้นเอง เราหาได้รู้เลยว่ามันมี ประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ขนาดนี้มาก่อน ภาพลักษณ์ที่คนภายนอกเห็นมาตลอดก็คือ เป็นเมืองของชาวมุสลิม ก่อการร้าย มีแต่ความรุนแรง แต่กลับไม่มีเรื่องของความเป็นเมืองท่าศูนย์กลางที่เชื่อมโยง โลกตะวันตกและตะวันออกมาแ่ต่ครั้งโบราณ ซึ่งส่วนนี้ มันสำคัญมากครับ และที่สำคัญ ณ ที่แห่งนี้ เดิมทีเป็นพุทธศาสนามาก่อนครับ แต่เพราะกษัตริย์องค์หนึ่งได้เปลี่ยนมาเป็นมุสลิม เพราะป่วย จนต้องขอให้หมอมุสลิมรักษา แล้วต้องทำตามสัจจะเลยต้องเปลี่ยนเป็นมุสลิมทั้งหมด สุดท้าย สิ่งก่อสร้างและทุกอย่่างที่เป็นพุทธ ก็ถูกทำลายทั้งหมดครับ ไม่เช่นนั้นเราคงมีพุทธสถานโบราณไม่แพ้ "บุโรพุทโธ" แน่ๆ   (บุโรพุทโธ ของอินโดนีเซียนะครับ) และคงจะเป็นเพราะดินแดนแห่งนี้ มีคุณค่่าและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ขนาดนี้ ถึงได้เกิดเรื่องการแบ่งแยกดินแดนขึ้นมากระมังครับ ซึ่งถ้าปัตตานี แยกตัวเป็นรัฐอิสระได้ ประวัติศาสตร์แห่งผืนแผ่นดิืนนี้ ที่เคยเป็นพุทธศาสนามาก่อน ก็คงต้องสูญไปอย่างแน่นอน ...




หมายเหตุ

อาณาจักรลังกาสุกะ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อาณาจักรลังกาสุกะ (พุทธศตวรรษที่ 7–11) อาณาจักรลังกาสุกะแห่งนี้ได้ตั้งขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 7 แล้วเจริญรุ่งเรืองในพุทธศตวรรษที่ 11 ขณะที่อาณาจักรฟูนันเริ่มเสื่อมอำนาจลง อาณาจักรลังกาสุกะตั้งอยู่ทางใต้ของอาณาจักรตามพรลิงก์ในคาบสมุทรมลายู บริเวณมัสยิดแห่งกรือเซะ ในบริเวณที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างอำเภอเมืองปัตตานีกับอำเภอยะหริ่ง และบริเวณอำเภอยะรัง ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปัตตานี พวกชวาเรียก “นครกีรติกามา” มีอาณาเขตครอบคลุมถึงทางเหนือตะกั่วป่าและตรัง ทางใต้ตลอดแหลมมลายู ลังกาสุกะมีการติดต่อกับจีนใน พ.ศ. 1052 ตามจดหมายเหตุจีนระบุว่า
“เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ กษัตริย์ประทับอยู่บนกูบช้างมีหลังคาทำด้วยผ้าสีขาว แวดล้อมด้วยองครักษ์ที่มีท่าทางดุร้าย และทหารตีกลองถือธงสีต่าง ๆ ประชาชนทั้งชายหญิงไว้ผมปล่อยยาว ใส่เสื้อไม่มีแขน” อาณาจักรลังกาสุกะนี้ ถูกอาณาจักรฟูนันโจมตีในพุทธศตวรรษที่ 11 แล้วกลายเป็นเมืองขึ้นต่อมา

อาณาจักรโบราณ

ลังกาสุกะเป็นนครรัฐตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 รุ่งเรืองยาวนานถึง 1,400 ปี จึงเสื่อมสลายไป[1] ไม่ใช่เพราะถูกอำนาจใดเข้าตี หากแต่ทะเลถอยห่างตัวเมืองออกไปทุกที จนผู้คนพากันทิ้งเมือง ซ้ำโดนน้ำท่วมโคลนถมทับตัวเมืองแทบหมด เพิ่งขุดเจอซากไม่นานมานี่เอง เชื่อกันว่าคนในหมู่บ้านกาแลจินอ อ.เมืองปัตตานีปัจจุบันคือผู้สืบเชื้อสายชาวเมืองลังกาสุกะ ที่เป็นลูกครึ่งชาวจีนกับคนพื้นเมืองที่ต้องทิ้งเมืองเก่ามาอยู่ในปัตตานีเมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว
อาณาจักรโบราณยิ่งใหญ่ที่เชื่อว่ามีพื้นที่คลุมไปถึงตอนเหนือมาเลเซีย เพราะพบสิ่ง ก่อสร้างโบราณ แบบเดียวกับที่พบในปัตตานีแถวริมฝั่งแม่น้ำบูจังและปาดังลาวาส (ปากแม่น้ำลาวาส) ในรัฐเคดาห์ หนังสือเหล่านั้นเรียกอย่างจืดชืดไม่ดึงดูดใจสักนิดว่า "เมืองโบราณยะรัง" เพราะซากเมืองเก่าพบที่ อ.ยะรัง ทั้งที่มีความเก่าแก่รุ่งเรืองมาก่อน อาณาจักรศรีวิชัยและอาณาจักรทวาราวดีตั้ง 500 ปี ศรีวิชัยและทวาราวดีตั้งในพุทธศตวรรษที่ 12 ลังกาสุกะเป็นนครรัฐที่โลกตะวันตกตะวันออก รู้จักกันแล้ว ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 เมืองโบราณยะรังจึงไม่ใช่เมืองเก่าธรรมดา หากแต่เป็นเมืองท่านครรัฐยิ่งใหญ่ สมัยโบราณเก๋ากึ๊กในภูมิภาคนี้โดยแท้
เมืองโบราณที่ กรมศิลปากร กำลังขุดแต่งอยู่ที่ อำเภอยะรัง ในขณะนี้คือ ศูนย์การปกครอง อาณาจักรลังกาสุกะ ในเมื่อบันทึก ชาวอินเดียและ ชาวอาหรับ ที่เรียกเมืองนี้ว่า "ลังกาสุกะ" กับบันทึก ของชาวจีนที่เรียก "หลาง หย่า ซุ่ย" ล้วนระบุทิศทางและ ที่ตั้งตรงกันหมด น.ส.พรทิพย์ พันธุโกวิท หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ โบราณคดี ผู้ควบคุมการขุดแต่งและ บูรณะมาตั้งแต่แรกถึง 16 ปี อธิบายว่า ปัตตานีวันนี้คือ ดินแดนเกิดใหม่ เมื่อทะเลถอย ห่างฝั่งออกไปทุกที ลังกาสุกะเลยกลายเป็น เมืองภายในแผ่นดิน อยู่ห่างชายฝั่งทะเล ในวันนี้เกือบ 25 กม. ชายฝั่งบริเวณท่าเรือใหญ่ครั้งโน้น ปัจจุบันนี้คือ คลองปาเละหมู่บ้านกาแลบูซา (ท่าเรือใหญ่) หมู่บ้านเทียระยา (หมู่บ้านเสากระโดงเรือ) ต.ตันหยงลูโละ อ.เมือง ปัตตานี
ร่องรอยทางโบราณคดี ชี้ให้เห็นว่ามีลักษณะเป็นเมืองเรียงกันถึง 3 เมืองด้วยกัน ได้แก่ เมืองที่กำลังขุดอยู่ที่บ้านวัด บ้านจาเละ และบ้านปราแว (พระราชวัง) อำเภอยะรัง บ้านปราแวอยู่ริมทะเล มีลักษณะ ค่ายคูประตูหอรบตามมุมเมือง คาดว่าน่าจะเป็นประชาคม 3 แห่ง ที่อยู่ร่วมกันมากกว่าเมือง โดยรวมแล้วพื้นที่ดังกล่าวนี้ พบร่องรอยทางโบราณคดีถึงกว่า 40 แห่ง ลงมือขุดไปเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ชิ้นใหญ่ ๆ ที่กำลังขุดอยู่เป็นศาสนสถานใน ศาสนาพราหมณ์และ พุทธศาสนา ทั้งพบคำจารึกภาษาปัลลวะอินเดียโบราณและภาษาสันสกฤตด้วย บ่งบอกอย่างเด่นชัด แรกเริ่มนั้นชาวลังกาสุกะนับถือศาสนาพราหมณ์ เปลี่ยนมาถือพุทธ แล้วเปลี่ยนมาเป็นอิสลามตามลำดับ
ลังกาสุกะเฟื่องเนื่องมาจากที่ตั้งเป็นกึ่งกลางเส้นทางค้าขายโลกตะวันตกและตะวันออก เป็นศูนย์กลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและศูนย์ค้าเครื่องเทศสินค้าสำคัญของภูมิภาคนี้ ที่ดังที่สุด ได้แก่ไม้หอม และกำยาน ซึ่งอินเดีย อาหรับยันยุโรปต่างต้องการอย่างมาก น่าเชื่อว่ากำยานชั้นดีที่สุดเป็นกำยานลังกาสุกะ เพราะเครื่องหอมทำจากกำยานที่โลกอาหรับ และชาติมุสลิมใช้อย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นเครื่องหอม ที่ไม่มีแอลกอฮอล์เจือปนไม่ผิด หลักทางศาสนาที่ชื่อว่า "ไซมีส เบนโซอีน" ที่ยังใช้กันมาจนทุกวันนี้ ลังกาสุกะเป็นท่าเรือ ส่งออกที่ใหญ่มาก
ลังกาสุกะอาจเป็นอาณาจักรเดียวในโลกที่ล่มสลายไปไม่ใช่เพราะการสงครามหรือโรคระบาด หากเกิดจากทะเลถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ เมื่อไม่สามารถทำมาหากินได้เหมือนเดิม ผู้คนก็อพยพทิ้งบ้านทิ้งเมืองไปอยู่ที่อื่นกันหมด พร้อม ๆ กับอาณาจักรอื่นใกล้เคียงเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแทนที่


ศูนย์กลางอาณาจักรลังกาสุกะ

อาณาจักรลังกาสุกะเป็นอาณาจักรโบราณ มีศูนย์กลางตั้งอยู่บริเวณ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี[3] มีอาณาเขตปกครองกว้างขวางครอบคลุมคาบสมุทรมลายูตอนล่างทั้งหมดโดยพัฒนามาจากเมืองท่าเล็กๆ ของชาวพื้นเมืองจนเติบโตเป็นรัฐและมีฐานะเป็นอาณาจักรมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 เป็นศูนย์กลางการค้าและศาสนา จนได้ล่มสลายไปในต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันปรากฏร่องรอยศาสนสถานประเภทสถูปเจดีย์ขนาดใหญ่ จำนวน 33 แห่ง ในพื้นที่ประมาณ 9 ตารางกิโลเมตร

จากตำนานและจดหมายเหตุ

จากตำนาน ไทรบุรี ปัตตานี กล่าวถึงเมืองลังกาสุกะ ของพระเจ้ามะโรงมหาวงศ์หรือราชามารงมหาวังสา ต่อมาคำว่าลังกาสุกะค่อย ๆ เลือนหายไป กลายเป็นคำว่าปัตตานีดารุสสาลามเข้ามาแทนที
จดหมายเหตุราชวงศ์เหลียง (พ.ศ. 1045-1099) บันทึกไว้ว่าอาณาจักรลังกาสุกะ สถาปนาขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 7 มีอำนาจปกครองระหว่างสองฝั่งทะเล คือด้านตะวันตกจรดไทรบุรี และด้านตะวันออกที่ปัตตานีข้อความในจดหมายเหตุนี้สอดคล้องกับตำนานไทรบุรี ปัตตานี
ปอล วิดลีย์ (Paul Wheatly) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแหลมมาลายู มีความเห็นว่าตำนานไทรบุรี ฯมีลักษณะเหมือนเทพนิยาย แต่งขึ้นเมื่อชาวอินเดียเดินทางมาถึงหัวเมืองมาลายูราวพุทธศตวรรษที่ 6 และเขาแสดงความคิดเห็นไว้ว่า ลังกาสุกะ ไม่ควรไปซ้ำซ้อนกับไทรบุรีน่าจะอยู่ทางปัตตานีทั้งหมด
ดี.จี.อี. ฮอลล์ (D.G.E. Hall) ได้กล่าวถึงรัฐเก่าแก่สามรัฐในแหลมมาลายู คือรัฐหลังยะสิว (ลังกาสุกะ) ตันหม่าหลิง (ตามพรลิงก์ หรือนครศรีธรรมราช) ตักโกลา (ตะกั่วป่า) ต่อมารัฐทั้งสามนี้ตกอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรฟูนันซึ่งเป็นอาณาจักรที่มีกองเรือยิ่งใหญ่ อยู่ในทะเลจีนตอนใต้ เมื่อตกอยู่ใต้อำนาจแล้วก็รับเอาวัฒนธรรมต่างๆ มาจากอินเดีย
ต่อมาพุทธศตวรรษที่ 11 อาณาจักรฟูนันเสื่อมสลายลง รัฐต่าง ๆ ที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลก็แยกตัวเป็นอิสระ ลังกาสุกะภายใต้การนำของพระเจ้าภคทัตก็ฟื้นฟูอำนาจของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
พุทธศตวรรษที่ 14-15 ลังกาสุกะกลับตกอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรศรีวิชัย พระเจ้าราเชนทร์โจระที่ 1 แห่งอินเดีย ยกทัพเรือข้ามมายึดรัฐต่าง ๆของศรีวิชัย ลังกาสุกะก็พลอยถูกยึดไปด้วย ต่อมาอีกอาณาจักรมัชปาหิตแห่งชวากลับเข้ามามีอำนาจ และชื่อลังกาสุกะค่อยเลือนจางหายไปแสดงว่าอาณาจักรลังกาสุกะนั้นอยู่ที่ปัตตานีนี่เอง และต้องนับถือพุทธศาสนาด้วยเพราะเมื่อเกิดการขุดค้นขึ้นพบทั้งศาสนาฮินดูและพุทธศาสนา เช่น สถูปสำคัญในพระพุทธศาสนาที่อำเภอยะรัง ที่ได้บูรณะตกแต่งแล้วก็แสดงถึงดินแดนในพระพุทธศาสนา และลังกาสุกะต้องมีอายุประมาณ 1,500 ปีมาแล้ว นับว่าเก่าแก่มาก แต่พึ่งรู้จักกันจริงไม่กี่ปีมานี้

การเข้ามาของศาสนาอิสลาม

กล่าวคือ ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 10 (ประมาณ พ.ศ. 1500 เศษ) ศาสนาอิสลามได้เผยแพร่เข้าสู่ปัตตานีและปาหัง ก่อนที่จะเข้าสู่มาละกา ในช่วงนั้นกษัตริย์หรือสุลต่านเมืองปัตตานีล้มป่วย ไม่มีหมอในปัตตานีรักษาได้ เกิดการตีฆ้องร้องป่าวหาผู้รักษามีแขกปาซายจากสุมาตราชื่อเช็กสะอิ หรือ เช็กซาฟียิดดิน ได้ขันอาสามารักษาสุลต่านแต่ขอคำมั่นสัญญาว่าถ้ารักษาหายแล้ว พระองค์จะต้องเข้ารีดนับถือศาสนาอิสลาม เมื่อได้รักษาจนหายแต่เมื่อหายแล้วสุลต่านไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาเลยป่วยหนักอีก กลับมารักษากันใหม่ขอคำสัญญากันอีกกลับไปกลับมาเช่นนี้ถึง 3 ครั้ง สุลต่านเลยต้องยอมเปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาอิสลามหมอผู้รักษาได้รับการแต่งตั้งเป็น ดาโต๊ะ สะรี ยารา ฟาเก้าฮ์ (ผู้รู้ทางศาสนายอดเยี่ยม)เมื่อเจ้าเมืองเปลี่ยนศาสนาใหม่ โอรส ธิดา ขุนนาง และชาวเมืองก็เริ่มเปลี่ยนศาสนาตามเป็นศาสนาอิสลามต่อจากนั้นก็เริ่มมีการทำลาย พระพุทธรูป พุทธสถาน เทวรูป และเทวาลัย อาณาจักรที่เคยนับถือพระพุทธศาสนาอยู่หลายปีจึงมีโบราณวัตถุทางพุทธศาสนาน้อยเต็มที หรือแทบจะไม่มีเลย ก็มีพบบ้างกันที่ยะรังเมืองโบราณ {อ้างอิง}

ราชทูตลังกาสุกะ

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จีนที่จตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง มีภาพปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุราชวงศ์เหลียง หรือเหลียงชู ของจีน (พ.ศ. 1045-พ.ศ. 1106) บุคคลในภาพชื่อ อชิตะ (จีนออกเสียงเป็น อาเซ่อตัว) เป็นราชทูตจากประเทศลังกาสุกะ (จีนออกเสียงเป็น หลังหยาสิ้ว บางแหล่งเรียก หลาง หย่า ซุ่ย) มีคำบรรยายภาพว่า "เป็นคนหัวหยิกหยอง น่ากลัว นุ่งผ้า โจงกระเบน ห่มสไบเฉียง สวมกำไลที่ข้อเท้าทั้งสอง ผิวค่อนข้างดำ" โดยเดินทางไปเยือนราชสำนักจีนในปี พ.ศ. 1058 สมัยพระเจ้าอู่ตี้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียง ทางการจีนได้เขียนภาพ อาเซ่อตัว ไว้เป็นที่ระลึกพระเจ้าแผ่นดินแห่งลังกาสุกะในเวลานั้น ทรงพระนามว่า ผอเจี่ยต้าตัว หรือ ภัคทัตตเหลียงชู ซึ่งตรงกับรัชสมัย พระเจ้าภัคทัต (ประมาณพ.ศ. 1060)

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สงครามมหายักษ์ "ทอร์" ทุบสายฟ้า และการกำเนิดใหม่ครั้งใหญ่ของชาวไทย!

จากเรื่องของอธิบดีกรมป่าไม้ "ดำรงค์ พิเดช" อธิบดีคนเก่าที่ทุบอาคารรีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ถูกศาลสั่งให้รื้อถอนแล้วแต่ฝ่ายโจทย์ยังคงอยู่ในช่วงของการขอผ่อนผันสู้คดี อะไรประมาณนั้น ทำให้นึกถึงเทพองค์หนึ่งครับ แน่นอน! จะเป็นท่านใดไปไม่ได้นอกจาก "เทพทอร์" ท. ทุบสายฟ้า หรือ เทพผู้มีค้อนสายฟ้า ค้อนก็คือ อาวุธที่เวลาใช้จะต้องทุบและสายฟ้าก็คือพลังที่รวดเร็วฉับไวราวสายฟ้าฟาดจนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ผู้มีเชื้อสายครึ่งยักษ์ครึ่งเืทพน้ำแข็ง (ตามตำนาน) ตามมาด้วยการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นเองอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหลังออกจากตำแหน่งเดิมแล้ว และหลังจากออกรายการข่าวสรยุทธ์พร้อมกับคุณชูวิทย์ จึงทำให้สงสัยได้ว่า "ท่านดำรงค์ พิเดช" ท่านนี้ กำลังเป็น "หมากขุนตัวใหม่" ที่เข้ามาทำหน้าที่แทน "คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ในจังหวะที่หมากขุนของฝ่ายค้าน กำลังขาดไป และไม่มีใครที่เหมาะสมและยืนหยัดยืนยันแน่วแ่น่ชัดเจนอย่างนี้อีกแล้วว่า "ใครทำผิด พร้อมลงโทษตามกฏหมาย" เอาละ ลองมาดูหมากนี้ที่กำลัง "ถูกปั้น" กัน ว่าเขากำลังเตรียมการณ์อะไรกันอย่างลับๆ บ้าง ทำไม ทั้งๆ ที่เป็นพรรคเล็ก แ่ต่มั่นใจได้มากขนาดนั้น ท่ามกลางการส่งสัญญาณทางการเมืองของคุณชูวิทย์ ว่าควรมาร่วมพรรคกันดีกว่า แต่เขาก็ยืนยันที่จะเดินหน้าต่อไป เพราะอะไร? เพราะเขามีพลังฟ้าหนุนหลังไงครับ มาดูกันดีๆ ครับ


อย่างแรก ผมใช้จิตสัมผัสส่องดูแล้ว เห็นพลังของพ่อขุนรามฯ อยู่กับคุณดำรงค์ พิเดชด้วย นับว่าไม่ใช่ธรรมดาทีเดียว ชั้นที่สองมีพลังของเทพธอร์ เทพแห่งค้อนสายฟ้าอยู่อีก ยิ่งไม่ธรรมดาไปใหญ่ ชั้นที่สาม มีพลัง "ฟ้า" คุ้มครองอยู่ แต่ขาดพลังดินเกื้อหนุน หมายความว่า คนผู้นี้ มีแววขึ้นเป็นนายกไทยได้เหมือนกัน แต่้ถ้าขึ้นเป็นนายกแล้ว จะทำให้เกิดการปะทะกันครั้งใหญ่ของพลังฟ้าดิน เพราะตัวเขาเองนับว่าเป็นตัวแทนของพลังฟ้า แต่กลับไม่มีพลังดินเกื้อหนุนมากพอ (เมื่อเทียบกับพรรคของคนเสื้อแดงที่มีพลังจากคนรากหญ้าหนุนอยู่ตลอด) สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ การได้ขึ้นไปมีอำนาจโดยพลัง "ฟ้าส่ง" แต่พลังดินไม่หนุน หรือหนุนได้ไม่มากพอ เพราะเวลากระชั้นชิด มีำจำกัด จำต้องเดินหน้าทำกิจเร่งด่วนแล้ว พลังดินที่มีมากในกลุ่มคนเสื้อแดง ก็จะปะทะกับพลังฟ้าที่มาจากคุณดำรงค์ พิเดช ผู้ซื่อตรง ทำงานตรงไปตรงมาและไม่สนใจ ไม่แคร์ความรู้สึกใคร (อันนี้จะทำให้ดูเหมือนคนเลือดเย็นได้ เพราะเทพธอร์มีสายเลือดครึ่งหนึ่งมาจากเทพน้ำแข็งครับ) สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ การปะทะกันของมวลชนคนเสื้อแดงที่ปกป้องคุณทักษิณ อยู่ และพลังฟ้าของคุณดำีรงค์ พิเดช ที่จัดการทุกอย่างตรงไปตรงมาตามกฏหมาย โดยไม่สนใจใคร ไม่สนความรู้สึกของใคร ไม่แคร์ใครทั้งนั้น ถ้าคุณยังนึกภาพไม่ออกว่าจักรวาลกำลังออกแบบโลกนี้ไปอย่างไร ให้นึกถึงคำๆ นี้ครับ "ส้มตำมนุษย์" ซึ่งมีวิธีปรุงไม่ยาก เริ่มจากฝ่ายคุณทักษิณ ก็เอามวลชนมาเป็น "โล่ห์กำบัง" ตัวไว้ คอยปกป้องตัวเองไว้โดยตลอด ฝ่ายคุณดำรงค์ พิเดชก็จะใช้ค้อนสายฟ้าทุบอย่างไม่มีเยื่อใยหรือความรู้สึกส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง (แบบตรงไปตรงมาตามกฏหมาย ว่างั้นเหอะ) มันจะเกิดอะไรขึ้นละครับ ก็ "ส้มตำมนุษย์" ไง ปวงชนทั้งหลายจะถูกทุบ ถูกตำ ถูกขยำขยี้ บี้่จนเละ แล้วไปเกิดใหม่ซะ อะไรประมาณนั้น อ้อ ไม่ึถึงขั้นตายทางสังขารหรอกนะครับ แต่จะตายใน ตายทางใจ เหมือนคนที่หมดอาลัยตายอยากได้ เหมือนคนที่สร้างฝันไว้สวยหรูว่าจะฮุบป่าเขาใหญ่ วางแผนแนบเนียนไว้อย่างดี แล้วก็ก่อสร้างรีสอร์ทสวยหรูรอไว้ กะจะเอาเมียน้อยมาฟันสักสิบคน แต่ที่ไหนได้ จู่ๆ ก็โดนทุบเละเทะเป็นเศษอิฐ เศษหินซะอย่างนั้น ใจมันก็สลายได้เหมือนกันครับ เข่าอ่อนได้เหมือนกัน นี่ละ "ส้มตำมนุษย์"


และต้องไม่ลืมว่านี่เป็น "สงครามของยักษ์สองเผ่า สองสายพันธุ์" นะครับ คือ ๑. ยักษ์อสูร พลังงานเก่า ซึ่งมักโกงกิน กินบ้านกินเมือง ครองอำนาจอยู่มานานแล้ว ใครก็แตะไม่ได้ คนต้องยอมจำนน ให้ยักษ์มันกิน กลืนกินไปทั้งจิตวิญญาณ กลายเป็นพวกเดียวกัน คือ "โกงเหมือนกัน" ถึงอยู่รอด (ทางสังขาร แต่ทางจิตวิญญาณ ไม่รอดแล้วครับ ความเป็นมนุษย์มันตายไปแล้ว) และ ๒. ยักษ์น้ำแข็ง พลังงานใหม่ ที่ส่งตรงมาจากฟ้าเบื้องบน สายพันธุ์นี้่ไม่มีโกงกิน ทำงานซื่อตรง แต่คนไทยอาจไม่ชอบเพราะเลือดเย็นไปนิด ก็เพราะว่าเขามีเชื้อสายเทพน้ำแข็งอยู่ครึ่งหนึ่ง นั่นเอง เอาละ ตอนนี้ ยักษ์ก็ยึดอำนาจ ยึดประเทศไทยได้หมดแล้ว ที่เหลือยักษ์สองเหล่า ก็จะต้องปะทะกันเองละครับ ยักษ์พลังงานใหม่ หรือยักษ์พลังงานเก่าจะอยู่รอดต่อไปได้ ลองไปเอาหนังเรื่อง "ยักษ์วัดแจ้ง กับยักษ์วัดโพธิ์" ที่ตีกันจนเกิดเป็น "ท่าเตียน" ขึ้นมาดู ว่ากันว่ายักษ์ทั้งสองถูกสาปให้กลายเป็นหิน รอจนกว่าจะถึงวาระคนโกงกินบ้านเมืองมาถึง ยักษ์จะพ้นคำสาปแล้วมาปราบคนโกงกินครับ (ถ้าข้อมูลผิดต้องขออภัย) อีกอย่างคำทำนายของฝรั่งที่ดังมากๆ ก็มีอยู่ท่อนหนึ่งว่า "ยักษ์หินที่ถูกสาป จะลุกขึ้นมาอารวาด" หรืออย่างไรนี่แหละครับ ก็อย่าไปว่ายักษ์เขาผิดเลยนะ ถ้าไม่มีเหตุ ก็ไม่มีผลหรอกครับ และก็อย่าไปหวังว่ามันจะจบดีสวยหรูครับ งานนี้ "เละเป็นส้มตำ" แน่





วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การปฏิวัติโดยทหาร ก็เป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยได้?

หลังจากการปฏิวัติรัฐบาลทักษิณเกิดขึ้นมา มีคำถามว่า การปฏิวัตินี้เป็นประชาธิปไตยหรือไม่? หลายคนโดยเฉพาะฝ่ายเสื้อแดงมองว่า "ไม่เป็นประชาธิปไตย" เพราะมองว่าคำว่า "ประชาธิปไตย จะต้องหมายถึงการเลือกตั้งเท่านั้น" ซึ่งผมกำลังจะบอกว่า เป็นการตีวงแคบไป ในการให้นิยามของประชาธิปไตย อันจะส่งผลให้ประชาธิปไตยขาดความยืดหยุ่นในภายหลังได้ ยิ่งไปกว่านั้น ประชาธิปไตย ไม่ใช่สมการที่จะเขียนเครื่องหมายว่าเท่ากับ "การเลือกตั้ง" ได้ อีกทั้ง การเลือกตั้ง ก็อาจไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ไำด้ ยกตัวอย่างเช่น การเลือกตั้งที่เกิดจากนายทุน เอาเงินหาเสียงมากๆ สารพัดวิธี ส่งผลให้คนส่วนใหญ่หลงไปชั่วขณะทั้งสื่อโฆษณา, ประชาสัมพันธ์, การลดแลกแจกแถม ฯลฯ เช่นนี้ผมไม่นับว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ขอเรียกว่าเป็น "ทุนนิยมอธิปไตย" คืออำนาจไม่ไ่ด้มาจากประชาชนอย่างแท้จริง แต่มันมาจากอำนาจของทุนต่างหาก ผู้มีทุน ใช้เงินทุนครอบงำประชาชนได้ ประชาชนก็อ่อนแอหลงไปกับเครื่องมือต่างๆ ซึ่งผู้มีทุนใช้ครอบงำประชาชน อย่างนี้่ จะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้อย่างไร? เป็นได้เพียงประชาธิปไตยจอมปลอม คำว่า "ประชาธิปไตย" จะเกิดขึ้นได้ เมื่อประชาชนอยู่ในภาวะเป็นตัวของตัวเอง คิดได้ด้วยตัวของเขาเอง ไม่ใช่ถูกครอบงำโดยอะไรๆ จนไม่เป็นตัวของตัวเองเช่น ถูกครอบงำโดยสื่อที่นายทุนใช้เงินซื้อหามา หรือจัดสรรหามาอย่างนั้นเรียกว่า "ทุนนิยมอธิปไตย" ไม่ใช่ประชาธิไตยดังที่ผมได้กล่าวมาแล้ว


ทีนี้ กลับมาดูต่อว่า "การปฏิวัติโดยทหาร" จะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร? ได้ครับ ถ้ามันเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้งหลาย โดยไม่มีการครอบงำใดๆ คือ ประชาชนเป็นตัวของตัวเอง, คิด และตัดสินใจได้อย่างเสรีเต็มที่ เช่น ในการปฏิวัติทักษิณนั้น ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย ไม่ได้คัดค้าน แต่หลังจากนั้นจึงมีกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งถูกครอบงำโดยสื่อของนายทุน รวมตัวกันต่อต้านทางการแสดงความคิดเห็น อนึ่ง พึงแยกแยะด้วยว่าการปฏิวัติทักษิณในครั้งนั้น นับเป็นประชาธิไตยจริง แต่หลังจากได้ยกอำนาจให้แก่รัฐบาลชุดต่อไปแล้วกลับไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน อันนี้ นับว่า "การได้มาซึ่งอำนาจของรัฐบาลนั้น" ยังไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เมื่อรัฐบาลชุดนั้นยอมลาออก จึงนับว่าได้ทำสิ่งที่สอดคล้องกับประชาธิปไตยแล้ว ดังนั้น การปฏิวัติกับการยกอำนาจให้รัฐบาลชุดต่อไปนั้น จึงไม่อาจพ่วงกันเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ได้ทั้งหมด เช่น การปฏิวัติอาจได้รับการยอมรับ เพราะจัดการรัฐบาลที่ประชาชนไม่ต้องการ นับว่าเป็นวิถีประชาธิปไตยได้ แต่เมื่อยกอำนาจให้ตัวเองเมื่อไร มันก็อาจไม่ใช่ประชาธิปไตยอีกต่อไป เพราะคนส่วนใหญ่อาจจะไม่ยอมรับ เป็นต้น ทว่า มีคำถามเกิดขึ้นว่าแล้วในกรณีที่คนแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ก็มี, กลุ่มที่เห็นด้วย ก็มี และกลุ่มที่เฉยๆ กลางๆ ก็มี อย่างนี้แล้วจะนับว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างชอบธรรมได้อย่างไร? คำตอบก็คือ นับได้ตราบเท่าที่ยังไม่มีการประท้วงจนสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองนั่นแหละ เช่น รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ได้มาจากการปฏิวัติเมื่อลงจากอำนาจไปเพื่อไม่ให้บ้านเมืองวุ่นวายก็นับเป็นประชาธิปไตยได้ แต่เป็นประชาธิปไตยที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการปฏิวัติ นั่นเอง


ดังนั้น เราจึงควรกลับมาทบทวนความหมายของคำว่า "ประชาธิปไตย" ในมุมที่กว้างขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่ามันไม่จำเป็นหรอกที่จะต้องยึดโยงกับการเลือกตั้งเสมอไป อีกประการ การเลือกตั้งก็อาจไม่ใช่ประชาธิปไตยก็ได้ อาจเป็นเพียงทุนนิยมอธิปไตย เช่น การเลือกตั้งหลายๆ ครั้งในอเมริกา จะเห็นว่ามีการใช้่เงินซื้อสื่อครอบงำประชาชนมาก และประชาชนก็อ่อนไหวไปกับสื่อ ตัดสินใจด้วยข้อมูลมากมายที่ล้วนได้จากสื่อ แต่มิได้มาจากความคิดของตัวเองจริงๆ เรียกว่าในอเมริกา เงินซื้ออำนาจได้ ถ้าใช้เงินอย่างถูกวิธี ซึ่งในการตีความหมายของประชาธิปไตยนี้สำคัญมาก เพราะอะไร? เพราะมันจะส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการหยิบใช้เครื่องมือทางการเมืองต่างๆ ด้วย เช่น ถ้ายึดมั่นมากว่าการปฏิวัติจะต้องไม่ใช่ประชาธิปไตยเสมอไป ก็จะทำให้ไม่อาจใช้เครื่องมือปฏิวัติโดยทหารได้ ทำให้ต้องเสียเลือดเนื้อของประชาชนจำนวนมากแทน หรือทำให้บ้านเมืองวุ่นวายอย่างหนักและยาวนานแทนก็ได้ หรือแม้แต่การตีความจำกัดวงแคบแต่ว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ก็อาจจะส่งผลให้ "ระบอบทุนนิยมอธิปไตย" แฝงเร้นกายเข้ามาแทนที่ประชาธิปไตยได้อย่างแนบเนียนก็ได้ ดังนั้น จึงเกิดคำถามขึ้นอีกว่า "แล้วระบบกษัตริย์เป็นประชาธิปไตยหรือไม่?" คำถามนี้ตอบไม่ยาก ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ถูกอะไรครอบงำ มีความคิดได้อย่างอิสระเสรีจะเห็นว่าอย่างไร นั่นเอง ทว่า ปัจจุบันนี้ สภาวะที่เรียกว่า "ประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ถูกอะไรครอบงำ มีความคิดของตัวเองได้อย่างอิสระเสรีนั้น" เป็นสิ่งที่หาได้ยากทีเดียว เพราะส่วนใหญ่จะถูกสื่อครอบงำได้ง่ายๆ ดังนั้น ประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงเกิดได้ยากเย็นยิ่ง ภายใต้สถานการณ์เ่ช่นนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นมวลชนคนเสื้อเหลือง หรือมวลชนคนเสื้อแดง ก็ล้วนถูกครอบงำด้วยสื่อที่แตกต่างกันไปทั้งสิ้น ไม่ได้มีความคิดเป็นของตัวเองอย่างอิสระอย่างแท้จริง เช่นนี้ก็ไม่พ้นวังวนของ "ทุนนิยมอธิปไตย" เช่นเคย



วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพหรือลอยแพประชาชนครั้ังใหญ่?

นโยบายพัฒนา "อนามัย" ขึ้นเป็นโรงพยาบาล ดูผิวเผินเหมือนว่าดี แต่ใส้ในถ้าไม่ดีจริง สุดท้าย จะกลายเป็นการหลอกลวงประชาชน เพื่อเอาคนไข้ไปลอยแพครั้งใหญ่ อย่างไรหรือ? ผมจะอธิบายต่อไปนี้่ครับ


ในกรณีที่ึคิดว่าโรงพยาบาลปกติ ต้องรองรับคนไข้ที่มาด้วยบัตรทองรักษาทุกโรค (ของฟรี) ทำให้มีคนไข้มาก จนล้นโรงพยาบาล อีกทั้งเป็นภาระต้นทุนค่ายาที่ใช้จ่า่ยมากเกินจำเ็ป็นอีกด้วย ก็เลยต้องการลดภาระโรงพยาบาล ด้วยการพัฒนา "อนามัย" ให้ยกระดับขึ้นเป็น "โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ" ฟังดูดี ถ้าทำได้สำเร็จจริงนะครับ อย่างแรก คำว่า "โรงพยาบาล" นั้น ต้องมีหมอจริงๆ ครับ เช่น หมอนวดแผนโบราณที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้องน่าเืชื่อถือแล้วว่าทำหน้าที่นวดแผนโบราณได้จริง, หมอสมุนไพรไทยที่ผ่านการรับรองแล้วว่ามีมาตรฐานการรักษาจริง ฯลฯ ทั้งหมดนี้ ยังต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างดี และมี "จรรยาบรรณ" ในวิชาชีพแพทย์อย่างยิ่ง เช่น เรียนนวดน้ำมันมา ก็นวดแต่น้ำมัน จะไม่นวดอย่างอื่น ไม่ใช่อยู่ๆ เอายาอะไรไม่รู้มาแอบแฝงขาย หรือให้ผู้ป่วยทดลอง รับประทาน ผู้ป่วยต้องกลายเป็นหนูลองยา ไปโดยไม่รู้ตัว อย่างนี้ ไม่ได้ ผิดจรรยาบรรณการแพทย์ ซึ่งการทำแบบนี้ สุ่มเสี่ยงมากที่ประชาชนจะถูกหลอก เพราะเข้าใจผิดไปว่าอนามัยคือโรงพยาบาล คงมีหมอเหมือนโรงพยาบาลปกติที่รักษาโรคโดยใช้เครื่องมือของหมอแผนปัจจุบันได้จริง ทั้งๆ ที่อาจไม่ได้จริง เช่น ผมเห็นหมออนามัยบางคน จบอนามัยศาสตร์ (เรียน ๔ ปี) ไม่ได้จบแพทยศาสตร์ แล้วพอคนในท้องถิ่นเข้าใจว่าเป็นหมอ เ้ข้าใจว่าอนามัยคือโรงพยาบาล เขาก็เลยได้่ช่อง แอบเปิดคลีนิกรักษาโรคเฉยเลย ซึ่งเขาไม่มีใบประกอบโรคศิลป์แบบแพทย์นะครับ ไม่อาจเิปิดคลีนิกได้ ยิ่งกว่านั้น "วัยรุ่นใจแตกที่หาโรงพยาบาลทำแท้งไม่ได้" ก็อาศัยคลีนิกเหล่านี้แหละครับ "มาทำแท้งเื่ถื่อน" เพราะเกิดช่องว่าง ช่องโหว่ ที่คนเข้าใจผิดในคำว่า "โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ" อย่างไรละครับ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เกิดขึ้่นจริงแล้ว ไม่ใช่ไม่มีอยู่จริง ไม่เท่านี้ แม้แต่คนที่ไม่จบอะไรเลย ไปทำงานเป็นคนทำความสะอาดอนามัย อยู่ๆ ก็ฝันหวานอยากเป็นหมอบ้าง ก็พยายามให้ได้เป็นครับ ไม่ว่าอะไรเลย ถ้าเขามีใจอยากช่วยคนจริงๆ อยากรักษาโรคคนจริงๆ ผมก็ทำครับ ผมทำกับข้าวรักษาโรค แต่ไม่เอาอย่างอื่นมารักษาโรค เพราะผมมีความรู้แต่เรื่องอาหารเท่านั้นครับ เช่น เวลาเปลี่ยนฤดู ป้าเริ่มจะเ็ป็นหวัด ผมเอาดอกแีคไปให้ป้าต้มกิน, เวลาป้าเริ่มมีไข้เล็กๆ ผมรีบทำกับข้าวร้อนๆ รสเผ็ดจัด เต็มไปด้วยพริก, กระเทียม ฯลฯ ขับน้ำมูกและหวัดครับ, เวลาแม่ท้องไม่ดี ผมก็เอามะระมาต้มให้แม่กิน, เวลาแม่ธาตุไม่สมดุล ขาดๆ เกินๆ ผมก็ตุ๋นยาจีนให้แม่กิน ผมทำอย่างนี้ แ่ต่ไม่ทำอย่างอื่น เพราะผมไม่ได้เรียนมาว่ายาแผนปัจจุบันนั้นใช้อย่างไร ผมก็ไม่ใช้ในสิ่งที่ผมไม่ได้เรียน ไม่ได้ผ่านการสอบและการรับรองอย่างถูกต้องมาครับ แต่มีคนอีกมากทีเดียว ที่อยากเอาชีวิตมนุษย์เป็นหนูลองยาตัวเอง ตัวเองไม่รู้จักยาสมัยใหม่ดีพอ แ่ต่ชอบใช้มัน ไม่เท่านั้น ไม่ได้อยากรักษาชีวิตคนจริงๆ หรอก คนแถวบ้านป่วย ก็ไม่สนใจรักษาหรือดูแล แต่พอเห็นหมอมีตำแหน่งสูง เป็นใหญ่ มีเงินเดือนดี ก็เลยอยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็น อย่างเขาบ้างครับ อันนี้ มันเกิดขึ้นแล้ว เพราะนโยบายฯ ไปกระตุ้นเขาครับ


เดี๋ยวนี้ คนที่ไม่สนใจเรียน ไม่แสวงหาความรู้ แต่พอแก่ตัวแล้ว อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากแ่ย่งชิงตำแหน่งดีๆ งานดีๆ เงินเดือนเยอะๆ เอาทางลัด ไม่ได้มีจรรยาบรรณ ไม่ได้มีใจอยากช่วยคนจริงๆ ไม่ได้มีความรู้จริง ฯลฯ พวกนี้ เริ่มแพร่ระบาดเต็มบ้านเต็มเมืองแล้วครับ ไปทุกวงการ ทุกท้องถิ่น แก่งแย่งกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง, อำนาจ, เงินเดือน ฯลฯ เห็นแล้วน่าอนาถ ประเทศชาติมีคนแบบนี้มาก เข้ามาอยู่ เข้ามาครองอำนาจ คุณเชื่อไหม? แม้แต่นายกอบต. เดี๋ยวนี้มีผู้หญิงอายุน้อยๆ ไม่มีประสบการณ์ใดๆ เลย ก็อยากเป็นนายก อบต. ไปสมัครแข่งกับเขาแล้ว อายุมากกว่าผมปีเดียวเอง ผมยังไม่อยากจะแย่งอะไรกับเขาเลย (แต่บางทีคนเก่งมาก เก่งเกินไป ก็อาจเป็นภัยได้มากเหมือนกันนะครับ) ผมอยากจะขอเรียกยุคนี้ว่า "ยุคโชว์ห่วย" มีแต่คนที่อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากโชว์ แต่ความสามารถ คุณงามความดีไม่ถึงระดับ มาแก่งแย่งกันทั้งนั้น คนดีๆ เก่งๆ ผมเชื่อครับว่ายังมีอยู่ในสังคมไทยอีกมาก แ่ต่เขาไม่ได้มีนิสัยอยากได้ อยากมี อยากเป็น เห็นอำนาจวางอยู่ ไม่มีใครเอา ไม่ดูว่าตัวเองเหมาะสมไหม ก็รีบแก่งแย่งไขว่คว้าเอาแล้ว ทั้งๆ ที่คุณสมบัติยังไม่ถึงด้วยซ้ำ ไม่มีความละอายแก่ใจบ้างหรือไรหนอ?



วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

อีกขั้นของการพัฒนาสู่ประเทศพาณิชยกรรม ได้อย่่างไร?

ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่จะจมปลักอยู่แต่การเป็นประเทศเกษตรกรรมอย่างเดียว (แต่ก็ไม่ใ่ช่ว่าเราจะทอดทิ้งการเกษตรไปทั้งหมด ก็หาไม่) และไม่เหมาะสมที่จะก้าวขึ้นเป็นประเืทศอุตสาหกรรม (เพราะจะทำให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อม แล้วภัยพิบัติตามมา) แต่ประเทศไทยเหมาะสมที่จะก้าวขึ้นเป็นประเทศพาณิชยกรรมด้วยปัจจัยเกื้อหนุนต่างๆ โดยเฉพาะไทยเป็นเส้นทางขนส่งสินค้า (Logistic) จากประเทศจีนไปยังพม่า, ลาว, กัมพูชา ฯลฯ สภาพเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับประเทศสิงคโปร์ในสมัยโบราณที่เคยเป็นเมือง ท่า ทางผ่านของเส้นทางการขนส่งสินค้าทางทะเล ส่งผลให้ประเทศสิงคโปรค์เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน แต่ทว่า ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง และได้รับการพัฒนาให้ก้าวไปข้างหน้า แม้แต่สิงคโปร์เองก็จะจมปลักอยู่แต่ประเทศพาณิชยกรรมไม่ได้อีกต่อไป สิงคโปร์จะต้องพัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นนักลงทุนใหญ่ของอาเซี่ยน หรือ Bank of AEC ในขณะเดียวกันไทยก็ต้องก้าวไปสู่การเป็นประเทศพาณิชยกรรมเช่นกัน ด้วยการวางตำแหน่งของประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียนเช่นนี้ จะช่วยให้เกิดความแตกต่างกันของแต่ละประเทศ ไม่แข่งขันกันมากเกินไป และจะสามารถทำให้ทั้งไำทยและอาเซียนทั้งหมดจะเจริญก้าวหน้าต่อไปร่วมกันได้ ทั้งนี้ ผลจากการเปิดเสรีอาเซียนนั้นเอง จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างของเศรษฐกิจเลยทีเดียว (Economic structure change) แบ่งได้เป็นสามกลุ่มใหญ่ดังนี้

๑. กลุ่มนายทุนใหญ่กลุ่มเก่า ที่ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแสวงหาต้นทุนที่ต่ำกว่า
๒. กลุ่มนายทุนเล็กกลุ่มใหม่ ที่เน้นเจาะตลาดบน ขายสินค้าราคาแพง แต่คุณภาพดี เน้นแบรนด์ดังๆ
๓. กลุ่มนายทุนซื้อมาขายไป ซึ่งจะรับสินค้าต้นทุนต่ำจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามากินกำไรเ็ป็นทอดๆ

นี่คือ กลุ่มนักธุรกิจสำคัญๆ ของไทยในอนาคต ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป ซึ่งหลังจากเปิดเสรีอาเซียนแล้ว จะส่งผลกระทบต่อนักธุรกิืจไทยแต่เดิมอย่างยิ่ง เช่น กลุ่มนายทุนใหญ่กลุ่มเก่า ที่ไม่ยอมย้ายไปตั้งฐานการผลิตที่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อทำต้นทุนให้สามารถแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านได้ กลุ่มนี้ ก็จะประสบปัญหาอย่างมาก สุดท้าย ถ้าไม่ออกจากตลาดการแข่งขันนี้ไป ก็ต้องล้มละลายไปเองในที่สุด เพราะไม่ยอมปรับตัว นั่นเอง, กลุ่มนายทุนเล็กกลุ่มใหม่ (SMEs) ที่ไม่อาจจะสร้างตราสินค้าและคุณภาพในตลาดระดับบนได้ ก็จะไม่อาจขายสินค้าในราคาต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าของประเทศเพื่อนบ้านได้ และจะประสบปัญหาไม่ต่างจากกลุ่มแรก, กลุ่มนายทุนซื้อมาขายไป (Trader) ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนไปซื้อสินค้าต้นทุนต่ำจากประเทศเพื่อนบ้านยังคงซื้อสินค้าจากสายการผลิตเดิมๆ ก็จะประสบปัญหา ราคาสินค้า แพงกว่าของประเทศเพื่อนบ้าน และไม่อาจดำีรงอยู่ในตลาดต่อไปได้เช่นกัน


อนึ่ง อย่าลืมว่าเราได้เห็น "ความล่มสลายของกลุ่มประเทศยูโร" กันมาแล้ว อันเกิดจากการผูกโยงเงินเข้าด้วยกัน ส่งผลให้ค่าเงินไม่อาจเปลี่ยนแปลง, ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ของแต่ละประเทศได้ คราวนี้ เรารวมกลุ่มกันขึ้นเป็นอาเซียนบ้าง แม้ว่่าจะไม่มีการใ้ช้เงินสกุลเดียวกัน แต่การเปิดเสรีการค้า ไม่มีภาษี ก็จะส่งผลกระทบต่อ "เครื่องมือในการปรับฐานต้นทุนสินค้า" ได้ กล่าวคือเมื่อก่อนถ้ามีชาวจีนเอาผักราคาถูกมาขาย เพราะผลิตได้้ต้นทุนต่ำกว่า พอผ่านกำแพงภาษีก็มีราคาสูงขึ้น ทำให้ไม่อาจรบกวนดุลยภาพของตลาดในประเทศแต่เดิมได้ แต่พอกลายเป็นเขตการค้าเสรี ไม่มีภาษีแล้ว ของถูกๆ ก็จะไหลทะลักเข้ามาในประเทศ มาแข่งกับของในประเทศที่ราคาเท่าเดิม คือ แพงกว่า สุุดท้าย ก็จะส่งผลกระทบให้ผู้ผลิตในประเทศไทย ไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าที่มาจากต่างชาติได้ นี่คือ "ผลจากรัฐบาลไม่มีเครื่องมือเป็นภาษี" หลังจากเปิดเขตการค้าเสรีแล้ว ดังนั้น เพื่อปรับตัวให้ทันกับปัญหานี้ ประเทศไทยซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว, พม่า, กัมพูา ฯลฯ จึงต้องปรับตัวหลายอย่าง เพราะเมื่อตลาดได้รวมกันกลายเป็น "ตลาดอาเซียน ตลาดเดียว" แล้ว จะส่งผลให้ "ดุลยภาพตลาด" คือ ราคาสินค้าและปริมาณสินค้าที่ลูกค้าต้องการ กลายเป็น "มาตรฐานเดียวกันทั้งอาเซียน" ประเทศใดที่มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า ก็เสี่ยงที่จะต้องพบอุปสรรคในการแข่งขันกับมาตรฐานราคาที่ต่ำกว่า เรียกว่า การเปิดเสรีการค้านี้ ให้ผลดีกับประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนามากกว่า เพราะพวกเขามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า แต่จะมีปัญหาอย่างยิ่งในประเทศที่พัฒนามากกว่า เพราะมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า นั่นเอง อนึ่ง ผลกระทบนี้ จะเป็นผลเสียต่อนักลงทุน แต่จะเป็นผลดีต่อผู้บริโภค ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว หากนักลงทุนได้รับผลกระทบมาก ก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้ เมื่อนั้น แม้แต่ผู้บริโภค ก็ไ้ด้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนี้



วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

เขาพระวิหารเป็นของไทย ไม่ใช่ของกัมพูชา

สืบเนื่องมาจาก "กรณีพิพาทเขาพระวิหาร" ระหว่างไทยและกัมพูชา ผมได้ฟังข่าวแล้วงงมากถึงมากที่สุด คือ เขาสรุปว่า "ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา" ส่วน "พื้นที่โดยรอบ..ตรม." เป็นของไทยซึ่งมันเป็นไปไม่ไ่ด้ที่ประเทศสองประเทศจะมีกรรมสิทธิ์เหลือมซ้อนกันอย่างนี้ "ตัดสินแบบนี้ไม่ไ่ด้ ได้จบ" กล่าวคือ เขาสรุปการตัดสินคดีไปว่า "พื้นที่โดยรอบเป็นของประเทศไทย" แต่ "ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา" อ้างเอาจาก "สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส" ซึ่งหลักฐานนี้ไม่อาจใช้ได้แล้วครับ เพราะอะไร? เพราะ "ฝรั่งเศส" ไม่ใช่คู่กรณีในคดีนี้ สัญญาจึงเป็นอันสิ้นสุดลงด้วย ถ้าฝรั่งเศสยังคงยึดครองกัมพูชาอยู่ และรัฐบาลกัมพูชาทำตามอำนาจของฝรั่งเศส สัญญาฉบับนี้ นับว่ายังใช้ได้อยู่ครับ แต่เมื่อกัมพูชาไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสแล้ว "สัญญาที่ฝรั่งเศสทำกับไทย" ย่อมเป็นอันสิ้นสุดลงด้วย อันเป็นผลให้ "ตัวปราสาทพระวิหาร" ต้องตกเป็นของไทย ไม่ใช่ด้วยอ้างอิงตามสนธิสัญญาที่สิ้นสุดไปแล้ว แต่อ้างอิงตาม "แผนที่ซึ่งไทยมีอำนาจในพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารนั้น" (สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ถือเป็นโมฆะแล้ว)


พูดแล้ว ชาวบ้านบางคนอาจไม่เข้าใจ อธิบายง่ายๆ อย่างนี้ครับ คือ กัมพูชาอ้างว่าไทยทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศสไว้ แล้วส่งผลให้ไทยต้องยอมยกปราสาทพระวิหารให้ฝ่ายฝรั่งเศส ต่อมา กัมพูชาปลดแอกออกจากอำนาจการปกครองของฝรั่งเศสแล้ว ดังนั้น กัมพูชา ซึ่งไม่ใช่คู่กรณีในสัญญานั้นๆ ไม่ใช่ไทย ไม่ใช่ฝรั่งเศสเลย ดังนั้น จะมาอ้างเอา "สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส" ยกขึ้นอ้าง "หาได้ไม่" อุปมา เหมือนสัญญาของคนรุ่นพ่อทำไว้ พอถึงรุ่นลูก พ่อตายไปแล้ว สัญญาย่อมไม่มีผลผูกพันลูกด้วย หรือถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด "สิ้นสภาพตามกฏหมาย" ไปแล้ว ไม่ว่าจะตาย, ล้มละลาย, องค์กรถูกยุบ หรือหมดอำนาจในการปกครองประเทศอาณานิคม ก็ตาม "สนธิสัญญา" นั้นๆ ย่อมสิ้นสุดลงไปด้วย ตามกัน รัฐบาลใหม่จะนำสนธิสัญญาเก่า ที่ทำไว้โดยประเทศอื่น ยกขึ้นอ้าง ต่ออีกประเทศหนึ่งนั้น "หาได้ไม่" คือ ไม่มีผลทาง กฏหมายใดๆ เลย นั่นเอง กรณีคู่สัญญาเป็น "ประเทศต่อประเทศ" ก็ต้องดูว่า "ความสิ้นสุดไปของอำนาจในการปกครองประเทศ" นั้น สิ้นสุดลงเมื่อไร ถ้าอำนาจของฝรั่งเศสในการปกครองประเทศกัมพูชาสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้น สนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับไทย ก็ต้องสิ้นสุดลงด้วย และ "การที่ ร.๕ ยกดินแดนให้แ่ก่ฝรั่งเศส" นั้น ก็ถือว่า "สิ้นสุด" ดังนั้น "ประเทศกัมพูชา ยังต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของไทย ดังเดิม ยกเว้นว่า กัมพูชาจะขอต่อไทยเพื่อเป็นประเทศเอกราช แล้วประเทศไทยยอมยกให้แล้ว ประเทศกัมพูชาจึงจะเป็นประเทศราช มีอิสรภาพเป็นของตนได้ (ก่อนสมัย ร.๕ ประเทศกัมพูชาเ็ป็นส่วนหนึ่งของไทยแต่ ร. ๕ ได้ยกดินแดนส่วนนี้ให้แก่ฝรั่งเศสไปครับ เมื่อฝรั่งเศสยอมสละอำนาจเหนือดินแดนนี้ไปแล้ว ดังนั้น สนธิสัญญาระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ย่อมสิ้นสุดลงด้วย ทำให้ "ดินแดนของประเทศกัมพูชา" ย่อมต้องตกเป็นของประเทศไทยตามเดิม ก่อนสนธิสัญญานั้นๆ นั่นคือ สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศสเป็น "โมฆะ" นั่นเอง


ดังนั้น ตัวปราสาทพระวิหารจะเป็นของใคร ก็ต้องดู "เขตดินแดน" เป็นสำคัญ ซึ่งเขตดินแดนนั้นทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันชัดเจนว่า "ตัวปราสาทพระวิหาร" อยู่ในเขตดินแดนของไทย ดังนั้น จึงไม่มีการคิดเลยเถิดไปถึงเรื่องการพัฒนาเขาพระวิหารร่วมกัน เพราะเป็นกรรมสิทธิ์ของไทยโดยถูกต้องสมบูรณ์ครับ ทว่า เมื่อรัฐบาลไทยรุ่นก่อนๆ ยอมรับใน "สนธิสัญญา" ไปแล้วนั้น หาได้ส่งผลต่อ "รัฐบาลใหม่" ด้วย เพราะรัฐบาลใหม่มิได้ทำสัญญาหรือยอมรับ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ารัฐบาลเก่าทำเรื่องผิดพลาดไป แล้วรัฐบาลใหม่ซึ่งมีอำนาจมาได้ด้วยตนเอง มิใช่ลูกหลานของรัฐบาลเก่า ที่รับมอบอำนาจสืบๆ กันมา ดังนั้น ย่อมมีอำนาจของตนเองที่จะกระทำการณ์อย่างอิสระ และไม่ขึ้นกับรัฐบาลเก่า ดังนั้น จะแก้ไขสิ่งที่รัฐบาลชุดเก่าทำผิดพลาดไว้ ไม่ยอมรับการทำสิ่งผิดพลาดของรัฐบาลชุดก่อน ย่อมไม่ผิดแปลกแต่ประการใด



เส้นทางขนส่งสินค้าที่ดีที่สุดในเขตการค้าเสรีอาเซียน (The best logistic of AEC)

เมื่ออาเซียนกลายเป็นแหล่งตลาดและการลงทุนที่น่าสนใจ สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางการเงินและนักลงทุน, พม่า-ลาว-กัมพูชา กลายสามเหลี่ยมอุตสาหกรรมต้นทุนต่ำ (แรงงานราคาถูก), ไทยจึงกลายเป็น "เส้นทางขนส่งสินค้าที่ดีที่สุด" (The best logistic of AEC) เช่น เส้นทางเชื่อมโยง พม่า-ไทย-ลาว-จีน ที่ลัดสั้นที่สุด จากพม่าผ่าน "ตาก" ไปสุโขทัย-อุตรดิตถ์-ลาว-จีน หรือ จากพม่าผ่าน "ตาก" ไปสุโขทัย-พิษณุโลก-ลาว-จีน สองเส้นทางที่ลัดสั้นมากๆ (ผ่านไทยเพียงสามจังหวัด สั้นกว่าเส้นด่านกาญจนบุรี) ยิ่งตอกย้ำ "จุดยืนที่แตกต่าง" (Government Positioning) ของไทยแต่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียน และการเปิดด่านนี้เอง จะส่งผลให้เกิดการไหลเวียนของสินค้าจากทั้ง ๔ ประเทศสำคัญๆ คือ พม่า-ไทย-ลาว-จีน ที่มีสินค้า "ราคาถูก" จาก พม่า-ลาว-จีน จำนวนมากไหลเข้ามาในอนาคตอย่างแน่นอน ส่วนไทยนั้นต้นทุนสูงขึ้นไปแล้ว จำต้องเลือกตลาดบนและผลิตสินค้ามาตรฐานสูงอย่างเดียวเท่านั้น จึงจะขายในราคาที่สูงกว่าตามต้นทุนที่สูงกว่า และเป็นที่ยอมรับของตลาดได้ เส้นทางนี้นับว่า "น่าสนใจมากที่สุดครับ" เพราะลัดสิ้นที่สุด ยิ่งตอนนี้ราคาน้ำมันสูงขึ้นใครก็ต้องการเส้นทางการขนส่งสินค้าที่ลัดสั้นที่สุด "จริงไหมครับ"    ดังนั้น การเดินเกมนี้ของ "นายกปู" ต้องขอยกนิ้วให้ครับ "เต็ม ๑๐๐" เอาไปเลย ยอดเยี่ยมครับ ที่เหลือก็จะลงงานจริงกันละ โดยเฉพาะเรื่องการขยายถนน ทำให้เป็นมาตรฐานรองรับรถบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ได้ การวางแนวเส้นทางคู่ขนาน เช่น มีเส้นขนส่งสินค้าแล้ว มีเส้นทางการท่องเที่ยวคู่ขนานไปด้วยไหม? เพราะต่างชาติไม่ได้มาค้าขายอย่างเดียว นักท่องเที่ยวก็จะมาด้วยคู่กันครับ ซึ่งเส้นทางนี้มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจไม่แพ้เส้นทางอื่นๆ เลย เช่น ภูเขา, น้ำตก, ธรรมชาติ ในอุทยานภูหินร่องกล้า ก็ดี อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยที่สมบูรณ์มาก (เพราะไม่ถูกพม่าเผาเมืองเหมือนอยุธยา) และเป็น "มรดกโลก" เสียด้วย มีแหล่งวัฒนธรรมโบราณที่น่าสนใจศึกษาไม่แพ้วัฒนธรรมล้านนาหรืออื่นๆ เช่น เตาเผาสังคโลก, หมู่บ้านทำเครื่องเงินเครื่องทอง, งานทอผ้าซิ่นตีนจก, ต้นกำเนิดประเพณีลอยกระทง, โบราณสถานอันเกี่ยวเนื่องในสมัยสมเด็จพระนเรศวร (พิษณุโลก) ทั้งยังมีของดีเมืองอุตรดิตถ์ คือ ผลไม้ต่างๆ ทั้งทุเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย ที่อุดมสมบูรณ์คล้ายเป็นเมืองจันทบุรีสำหรับภาคเหนือตอนล่างเลยทีเดียว เรียกว่าไม่ใช่น้อยๆ นะครับ ของดีและน่าสนใจในบริเวณนี้ แม้ว่าจะเ็ป็นเส้นทางสั้นๆ ก็ตาม แต่เพราะมันสั้นนี่ละครับ เวลา "จัดตารางเส้นทางเดินรถทัวร์" มันง่าย ทำได้ในแพคเก็จ ๓ วัน คือ สามวัน-สามจังหวัด-สามประเทศ-สามรสชาติ ไปเลย คือ แพคเก็จสามวันนี้ ท่านจะได้ไปสามจังหวัด (ตาก-สุโขทัย-และอุตรดิตถ์หรือพิษณุโลก เลือกเอา) สามประเทศ คือ พม่า-ไทย-ลาว คือ พาไปชมด่านผ่านแดนและสินค้าสองฝั่งด้วย สามรสชาติคือ ๑. ชมธรรมชาติ ๒. ชมอุทยานประวัติศาสตร์ ๓. ชมแหล่งวัฒนธรรม นี่ไงละครับ มันง่ายสำหรับจัดแพคเก็จทัวร์ให้ดูคุ้มค่า และง่ายต่อการเดินทางสามวัน ซึ่งเส้นทางนี้ ไม่ต้องผ่านป่าเขามากเหมือนในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ข้อดีของภาคเหนือตอนล่าง อยู่ตรงนี้แหละ ผมถึงบอกว่ามันเป็นเส้นทางคู่ขนานไปได้ ทั้งการค้าขายและการท่องเที่ยวครับ เพียงแต่รองบพัฒนาเท่านั้นเอง


ผมมองว่่าการที่เราจะทำให้จุดหนึ่งจุดใดน่าสนใจมากขึ้นไปได้ เป็น "ตลาดใหม่" ได้ เราก็ต้องเริ่มจากจุดเล็กๆ นี่แหละครับ เราจะทำตลาดอาเซียนเชื่อมโยงจีนและอาจจะต่อไปยังอินเดียด้วยแต่เราก็ต้องเริ่มต้นจาก "ไทย-ลาว-พม่า" นี่แหละ ก่อนอื่นใดเลย เมื่อสามประเทศมีพลังน่าสนใจแล้ว เดี๋ยวก็ค่อยๆ ดึงดูดให้มีประเทศที่สี่, ห้า, หก ฯลฯ มาเอง และที่น่ายินดีอีกก็คือ "เราทำเอง" ไม่ใช่การหยิบยืมมือคนอื่น ประเทศอื่นมาทำ เราควบคุมเองได้ทั้งหมด ไม่มีพันธสัญญาหรือประสงค์ือื่นแอบแฝงมา นะครับ หลายครั้งในการพัฒนาประเทศๆ ที่กำลังพัฒนามักได้รับเงินช่วยเหลือจากต่างชาติ แต่อย่าคิดว่าดีนะครับ ทุกอย่างย่อมมีต้นทุน, มีจุดประสงค์ และไม่มีของฟรีในโลกหรอกครับ เขาเอาเงินมาให้เราพัฒนา ก็ต้องมีการตักตวงคืนไปในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ตอนนี้ ไทยเรากู้เงินมาเยอะ เพราะเรามีทองคำสำรองในคลังมาก ตอนแรกก็เอาไปลงทุนแบบระยะสั้น หมุนเศรษฐกิจโดยไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่โอเคอาจเพราะต้องใช้ช่วยเศรษฐกิจในระยะสั้น นั่นเอง ตอนนี้ โอเคมากขึ้นแล้ว คือ เริ่มได้เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นผลงานชัดเจนในรัฐบาลชุดนี้ คือ "ยกระดับประเทศไทยให้เป็น The best logistic of AEC นั่นเอง ถือว่า "ใช้ได้สอบผ่านครับ"




วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

หมากสื่อรัก วัฒนธรรมหมากที่หลายท่านอาจเข้าใจผิด?

การกินหมากเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย ซึ่งถูกห้ามในสมัย ร. ๕ ก่อนนั้น การกินหมากจึงเป็นเรื่องปกติ ทว่า วัฒนธรรมการกินหมากนั้น มีรายละเอียดความเป็นมาอย่างไรบ้าง? หลายท่านคงจะเห็นในชาวชนบทหรือในหนังบ้างนะครับ แต่ดั้งเดิมนั้น เขามีวิธีกินหรือความเชื่อในเรื่องการกินหมากกันอย่างไร?


อย่างแรก การกินหมากปกติเป็นเรื่องของผู้หญิงนะครับ คือ เขาเชื่อกันว่ากินแล้วฟันสวย ปากแดง อะไรแบบนั้น แต่ผู้ชายก็กินได้ครับ แต่เขาจะไม่ค่อยติดหมากกันนักเพราะไม่ใช่วิสัยของผู้ชาย กล่าวคือ หมากนั้นปกติ เขาจะใช้กินเวลาว่่างๆ พูดคุยกันในวงสนทนาของพวกผู้หญิงเสียส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าผู้ชายจะกินหมากด้วยครับ แต่ปกติ ผู้ชายไม่ค่อยมีเวลานั่งกินหมากกันแบบนั้น จะมีเรื่องนอกบ้านให้ทำมากกว่าจะมานั่งกินหมากเข้าวงสนทนากันนะครับ ทีนี้ ด้วยผู้ชายปกติจะไม่ค่อยกินหมากนี่เอง ถ้าได้ลองกินครั้งแรก ก็จะรู้สึกแย่ทีเดียว เพราะหมากมันมีรสฝาดและขม ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดค่านิยม "ลองใจคนรัก" ด้วยหมากครับ คือ แกล้งให้ผู้ชายที่มาชอบ กินหมากดู แล้วสังเกตุดูว่าเขาจะปฏิเสธไปเลย คายทิ้งแบบไม่มีเยื่อใย หรือว่าอดทนความ "ขมขื่นปนฝาด" นั้นได้ ถ้าเขายอมทนเคี้ยว ยอมกิน ทั้งๆ ที่ไม่เคยกินเลย ก็มีนัยยะว่า "เขาจะรักจริง" นั่นเอง ดังนั้น เขาจึงใช้หมากในการส่งให้คนที่รักหรือกำลังสนใจกันอยู่ แบบไม่พูดถามกันตรงๆ นะครับ อนึ่ง ถ้าผู้ชายกินหมากได้ตามปกตินี่ การลองใจแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ คือ มันจะไม่อาจบอกได้ว่าเขาจะยอมกล้ำกลืนฝืนทนกับรสชาติที่ขื่นขมและฝาดนั้นหรือไม่? เพราะถ้าเขากินหมากได้ มันก็จะไม่รู้สึกแบบนั้นไงครับ คือ อย่างไรก็กินได้ ไม่ว่าจะรักหรือไม่รักผู้หญิงคนนั้น ดังนั้น เขาจึงไม่ให้ผู้หญิงห่อหมากให้ผู้ชายกินแบบไม่คิด เขาจะให้หมากผู้ชายกินก็เฉพาะกรณีที่จะลองใจคนรัก ก็เท่านั้น ปกติไปห่อหมากส่งให้กันนี่ ไม่ไ่ด้นะครับ ทีนี้ ฝ่ายชายก็มีวิธีลองใจผู้หญิงบ้าง ด้วยการ "ไปขอหมากผู้หญิงกิน" ครับ คือ ถ้าผู้หญิงมีใจหรือเปิดใจบ้าง ก็จะห่อหมากให้กิน แต่ถ้าเขาไม่ชอบ เขาก็จะไม่ห่อหมากให้กินครับ แล้วเด็กๆ นี่จะยังไม่กินหมากนะครับ มันฝาดและขมเกินไปสำหรับเด็ก ผู้หญิงจะเริ่มหัดกินหมากเมื่อเริ่มเข้าวัยสาว นั่นคือ จุดเริ่มต้นของการเริ่มเข้าสังคมแบบผู้หญิงๆ นะครับ ส่วน "พระ" และนักบวช ก็ไม่ได้นิยมกินหมากกันทั้งหมด ผมมาตกใจและแปลกใจที่พระสมัยนี้ชอบกินหมากให้ปากแดง งงดี? ยิ่งเวลาเห็นผู้ชายนั่งเรียบร้อย จับเครื่องหมากเข้าห่อทีละนิด ห่อเรียบร้อยสวยงาม ทำของกินอันเล็กๆ ได้ ยิ่งแปลกใจใหญ่ (ปกติ ไม่ใช่วิสัยผู้ชายที่จะมานั่งหยิบจับของเล็กๆ นั่งห่อของกินอะไรแบบนั้นครับ) ถ้าเห็นผู้หญิงกินหมากเืพื่อเข้าสังคม ส่วนผู้ชายกินเหล้าเพื่อเข้าสังคม อันนั้น ผมไม่แปลกใจ


อย่างหนึ่งที่อยากให้เราๆ ท่่านๆ ทราบเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยโบราณคือ คนไทยจะไม่สื่อสารทุกเรื่องอย่างเปิดเผยนะครับ บางเรื่องจะสื่อสารโดย "อวัจจนะภาษา" ไม่ใช่การพูดตรงๆ ครับ โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกทางใจ รักใครชอบใคร อะไรแบบนั้น จะไม่พูดออกมาตรงๆ แม้แต่ผู้หญิงนี่ จะจ้องตาผู้ชายแบบไม่หลบสายตาเลย ก็ไม่ได้ครับ มันผิดปกติของยุคนั้น ผู้หญิงไทยโบราณจะต้องมี "ความเหนียมอาย" อยู่เยอะมาก ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็น "ผู้หญิงร่าน ใจกล้าหน้าด้าน" ไปเลย เวลาผู้ชายมองก็อย่ามองจ้องตอบ  ให้หลบสายตา อย่างมากถ้าจะสื่อรัก ก็ให้มองแค่หางตาแล้วหลบไปเท่านั้นเอง แล้วมันจะกลายเป็นเสน่ห์ของผู้หญิงที่ทำให้ผู้ชายยิ่งอยากเข้าใกล้ อยากติดตามครับ แต่เดี๋ยวนี้จะไม่มีแล้ว ผู้ชายจ้องตาผู้หญิงๆ ก็จ้องตาตอบ จ้องกันเขม็ง แถมบางทีผู้หญิงจ้องก่อน หรือจ้องกลับแบบไม่ลดละเลย อันนี้ เป็นของใหม่นะครับ ไม่ใช่แบบผู้หญิงไทยโบราณ ลองไปดูนะครับ คนไทยโบราณรักกันนานยั่งยืนทีเดียว ทนทานทายาท แต่คนไทยเรายุคนี้ "รักง่ายหน่ายเร็ว" ขนาดไหน ต่างกันจริงๆ ไม่มีอะไรผิดหรือถูกหรอกนะครับ เป็นความไม่เที่ยง เปลี่ยนไปตามยุคสมัยเท่านั้นเอง แต่เล่าให้กันฟังเป็นเกร็ดเล็กๆ เท่านั้นว่าอะไรที่ทำให้เราคบกันได้ไม่นาน มันเำพราะอะไร? ผู้หญิงไทยเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน? ทำไมมีรักไม่ยั่งยืน!



วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

ซามูไร VS นินจา

ซามูไร กับ นินจา นั้น เรามักเข้าใจสับสนและจำผิด คิดว่าเหมือนกัน จริงๆ แล้วไม่เหมือนกันเลยนะครับ คืออย่างนี้ "ซามูไร" ก็คือ "องครักษ์" ที่ทำหน้าที่อย่างเปิดเผย และมีหมู่คณะหลายๆ คน เยอะกว่าพวกนินจา เวลาทำงานก็ไปเยอะครับ ไปทีเป็นหมู่คณะเลย และซามูไร จะไม่ได้มีแต่กษัตริย์นะครับ ในบางประเทศ "องครักษ์" นั้น เขาไว้ใช้เรียกเฉพาะผู้ที่อารักขากษัตริย์นะครับ แต่ในประเทศญี่ปุ่น ระบบกษัตริย์จะอ่อนแอลงมาก ก่อนยุคเมจิหรืออย่างไรไม่ทราบ (หากผิดต้องขออภัย) กษัตริย์ก็เริ่มมีอำนาจเทียมๆ ผู้ที่มีอำนาจแท้จริงคือ "โชกุน" ที่มีกำลังกล้าแข็งกว่าแต่โดยฐานะและการยอมรับแล้ว ไม่อาจขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ เขาก็จะอยู่ในฐานะโชกุนเท่านั้น เหมือน "ท่านอ๋อง" ในประเทศจีนอะไรแบบนั้น แล้วเขาก็เริ่มมีองครักษ์ส่วนตัวกัน ตระกูลใครตระกูลมัน มีได้มีไป เอ็งมี ข้ามีบ้าง แข่งกันมีไป แข่งกันซ่องสุมกำลังไม่มีใครห้ามได้ เพราะกษัตริย์อ่อนแอครับ แต่เขามีวัฒนธรรมอยู่อย่างว่า "ซามูไรก็คือซามูไร" จะต้องอยู่อย่างซามูไร จะไปทำหน้าที่เป็นทหาร คือ ตั้งกองทัพรบกันเลย จากโชกุนตระกูลหนึ่งกับตระกูลหนึ่งนั้น จะไม่เหมาะสมครับ เขาต้องมีวัฒนธรรมของซามูไรคุมไว้ เรียกว่า่ "วิถีซามูไร" ไม่งั้นมั่ว ไม่งั้นได้กลายเป็นยิ่งกว่าสามก๊กแน่ครับ เพราะโชกุนมีกี่ตระกูลละครับ เยอะแยะ ครองกันคนละแคว้น หลายแคว้น แต่ละแคว้นก็มีหลายตระกูล แต่ละตระกูลที่ไม่มีระดับถึงโชกุล ก็ดันมีพรรคพวกซามูไรอีก อ้่าว ตายละ ถือดาบกันเต็มบ้าน เต็มเมือง ถ้าไม่มีการล้อมกรอบบ้าง ได้ฆ่ากันตายไม่เว้นแต่ละวันแน่ เขาจึงต้องมีการควบคุมที่เคร่งครัดมากครับ เหมือนการมีปืนในครอบครองนั่นแหละ ถ้าไม่ควบคุมก็ได้นองเลือดสิครับ


ทีนี้ มาดูฝั่ง "นินจา" บ้าง เขาก็คือ "นักฆ่า" นั่นเอง ซึ่งจะกระทำการโดยลับๆ เพราะว่ามีนักฆ่านี่แหละ ก็เลยต้องมีองครักษ์หรือซามูไรมาคอยคุ้มกันโชกุนไงละครับ นินจาจะมีวิถีที่แตกต่างจากซามูไรมาก แบบตรงข้ามกันเลย ในขณะที่ซามูไรเปิดเผย มีตำแหน่ง มีเงินเดือน และมีพรรคพวกมาก แต่นินจาจะไม่มีเงินเดือน ไม่มีตำแหน่ง เปิดเผยตัวตนไม่ได้และเวลาทำกิจ "มักทำคนเดียว" น้อยนักที่จะประสานงานเป็นทีมครับ เพราะมันคล่องตัวกว่า และนินจาแต่ละคน ก็มีวิธีฆ่าคนแบบเฉพาะที่ต่างกันไป มันเลยทำงานเป็นทีมได้ยากหน่อย แต่ก็มีเป็นทีมเหมือนกันครับ เช่น งานฆ่าคนสำคัญแค่ ๑ คน แต่ต้องผ่านด่านซามูไรเป็นร้อยคน นินจาบางคนต้องแปลงกาย ปลอมตัวเป็นผู้หญิงเข้าไปครับ สมัยนั้นก็เป็น "เกอิชา" ไงครับ เกอิชานี่เดิมเป็นผู้ชายครับ ผู้หญิงไม่มีใครเขาทำงานนี้กัน ต่อมา พอยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้หญิงถึงกล้ามาทำงานเป็นเกอิชา รู้สึกว่าจะหลังปฏิรูปเมจิมังครับ ถึงเริ่มมีเกอิชาผู้หญิง ก่อนนั้นก็ผู้ชายหมดเลย และก็มี "นินจา" ปลอมตัวเป็นเกอิชาเยอะมาก เพื่อเข้าถึงตัวคนสำคัญๆ ให้ได้ไงครับ นั่นละ แล้วก็หาวิธีฆ่าแบบเงียบๆ ลับๆ ไม่มีใครรู้หรอกครับว่านินจาฆ่าคนอย่างไร รู้อีกทีก็ตายแล้ว แถมงงว่า ตายได้อย่างไร เป็นอะไรตายวะ? มันบอกไม่ได้หรอกครับ บอกไปก็เป็นภัยแก่นินจา เขาทำงานลับๆ วิชาของเขาก็ลับ ไม่บอกกันง่ายๆ ที่แปลกคือ เขาไม่ค่อยใช้อาวุธปกติฆ่ากันหรอกครับ ส่วนอาวุธลับ พวกอาวุธซัดนั้น เขามีไว้ก็เพื่อฉุกเฉิน เวลาความแตก โดนจับได้ แล้วต้องเอาตัวรอด เขาจึงจะสู้เพื่อเปิดทางหนีให้ตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ใช้พวกอาวุธซัดนั้น ฆ่าศัตรูเป้าหมายของเขาจริงๆ หรอก เพราะคนจะตายนี่ "มันตายได้หลายวิธี" แหละครับ เรียกว่า ที่อยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกันเนี่ย ไม่มีใครรู้หรอกว่า "ใครเป็นนินจา" เพราะพวกนินจาก็อยู่ปะปนกับคนเหมือนคนปกติ นั่นแหละ นั่นคือ วิธีการซ่อนตัวที่ดีที่สุด ยิ่งกว่านั้น "ซามูไร" บางคนก็เป็นนินจาด้วย (ลอบฆ่าคนอื่นลับหลังด้วย) และแม้แต่โชกุนบางคน ก็เป็นนินจา ก็มี! ส่วนนินจาที่ถูกจับได้แล้วก็ต้องตาย ไม่ก็ไปอยู่ป่าหาที่หลบซ่อนตัว เพราะเขารู้แล้ว มีหมายจับแล้ว อยู่ร่วมกับสังคมปกติไม่ได้ครับ ซึ่งก็มีเหมือนจะยุคหนึ่ง ที่เขากวาดล้างนินจากัน ก็จัดการพวกที่หนีไปหลบซ่อนตัวในป่า นั่นแหละ แต่พวกที่ยังไม่ถูกเปิดเผยตัว ยังอยู่ร่วมกับสังคมคนปกติ "ยังมีอยู่มากมายเลยครับ" น่ากลัวไหมละ!



วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

ผู้หญิงถูกข่มขืน ก็มีความสุขจริงไหม?

เรื่องสืบเนื่องมาจากข่าวการข่มขืนในประเทศอินเดีย ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งแม้กระทั่งในรถโดยสารและแม้ว่าจะมีผู้โดยสารอยู่มากก็ตาม จึงทำให้เกิดความสงสัยขึ้นว่า ผู้ชายคิดอย่างไรกับการข่มขืนผู้หญิง และผู้หญิงที่ถูกข่มขืนมีความสุขอย่างที่ผู้ชายหลงเชื่อกันหรือไม่? เราลองมาล้วงลึกกันดูนะครับ


อย่างแรก ควรเข้าใจเรื่องสรีระของผู้ชายและผู้หญิงก่อนว่าไม่เหมือนกันแน่นอน ในการมีเพศสัมพันธ์ เพราะความสุขที่ผู้ชายรู้สึุกนั้น มาจากการล่วงล้ำภายในร่างกายของผู้อื่น และร่างกายของผู้ชาย ไม่ได้ถูกล่วงล้ำด้วยเลย ดังนั้น แม้ผู้ชายถูกข่มขืนบ้าง ผู้ชายอาจไม่ได้รู้สึกแย่อะไรนัก เพราะอย่างไรเสียก็ไม่ถูกล่วงล้ำภายใน (ยกเว้นกรณี ถูกผู้ชายด้วยกันข่มขืนและมีการล่วงล้ำภายในร่างกาย) ส่วนผู้หญิงนั้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์ แน่นอนว่าผู้หญิงจะถูกล่วงล้ำภายในร่างกายอยู่แล้ว ผมอยากให้คุณเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงง่ายๆ อย่างนี้ครับ เวลาคุณชอบกินอะไร คุณกินแล้วอร่อยก็มีความสุข ใช่ไหม? อ่ะ นั่นอุปมาเหมือนความสุขที่ผู้หญิงเต็มใจมีเพศสัมพันธ์ แต่ถ้าคุณไม่ต้องการละ สมมุติ คุณถูกล้วงคอให้อาเจียนเอาสิ่งไม่ดีออกมา คุณจะรู้สึุกแย่แค่ไหน? เมื่อคุณไม่ต้องการให้ "สิ่งแปลกปลอมใดๆ ล่วงล้ำไปภายในร่างกาย" ยิ่งกว่านั้น ถ้าคุณกินปลาแล้วก้างติดคอละ แม้คุณจะเอาก้างออกได้แล้ว คุณก็ยังวิตกกังวลยังรู้สึกไม่ดีต่อไปอีกยาวนานเลย นั่นแหละ ที่ผมจะอธิบายให้คุณเข้าใจง่ายๆ ว่าผู้หญิงไม่ไ่ด้มีความสุขที่ถูกข่มขืน การถูกล่วงล้ำร่างกายเป็นทุกข์มากกว่าสุข เป็นธรรมชาติของร่างกายสิ่งมีชีวิตที่จะมีการป้องกันตัวเองจากการถูกคุมคามจากสิ่งแปลกปลอมภายนอก เช่น เชื้อโรคและสิ่งใดๆ ก็ตาม และร่างกายจะมีการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ ด้วย เช่น การไอหรือจาม เพื่อขับเอาสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ ออกไป หรือบางรายอาจมีอาการแพ้อย่างรุนแรง เกิดขึ้นได้ นั่นแสดงถึงภาวะของร่างกายที่ไม่ต้องการให้สิ่งแปลกปลอมเข้ามารุกล้ำภายในร่างกาย ยกเว้นว่า ร่างกายจะได้รับการเรียนรู้มาว่าสิ่งนั้นดีต่อร่างกาย เช่น การกินอาหารที่ครั้งแรกเราอาจไม่ได้รู้สึกชอบมันนัก เช่น เด็กที่เริ่มหัดกินผัก แต่พอมีความรู้สึกที่ดีต่อมันแล้ว ก็จะสามารถเปิดรับมันเข้าไปได้อย่างมีความสุข ดังนั้น หากผู้หญิงไม่เต็มใจที่จะมีเพศสัมพันธ์ เช่น ยังไม่พร้อมที่จะมีเพศสัมพันธ์แม้ว่าเขาจะเป็นสามีของตนเองที่แต่งงานอย่างถูกต้องก็ตาม แต่ถ้าเขาไม่พร้อม  เขาก็จะรู้สึุกแย่ ที่ถูกกระทำ ถูกล่วงละเมิด ถูกล่วงล้ำร่างกายเช่นนั้น ไม่เพียงเท่านั้น ความรู้สึกที่แย่เหล่านั้น ยังคงตามหลอกหลอนผู้หญิงที่ถูกข่มขืนไปอีกนาน เหมือนเวลาที่คุณแพ้หรือไม่ชอบอะไร แล้วกลับถูกบังคับให้รับสิ่งนั้นๆ เข้าสู่ร่างกายๆ ของคุณอาจจะต่อต้าน ด้วยการสร้างสารแอนติบอดี้ เพื่อต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ ถ้ามากเกินไป ก็ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ ถึงขั้นแพ้รุนแรงได้ คุณลองคิดดูสิว่า คนที่แพ้ต่อสิ่งแปลกปลอม หรือร่างกายไม่ยอมรับสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ ยังแย่แค่ไหน? การถูกข่มขืนก็จะรู้สึกแย่ไม่ต่างกัน แต่ในกรณีนี้ ผู้หญิงจะเครียดและวิตกกังวลมากขึ้นไปอีก เพราะชีวิตจริงของเขา ยังต้องเผชิญหน้ากับอะไรอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการครหานินทา, การถูกปฏิเสธจากสังคมและคนรัก, การไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม จนกระทั่งถึงเรื่องปัญหาการตั้งครรภ์และการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ นั่นคือ สิ่งที่ผู้หญิงต้องแบกรับและคิดมาก หลังจากถูกข่มขืนตามมา ดังนั้น ผู้หญิงจึงไม่ได้มีความสุขเลยเมื่อถูกข่มขืน แม้ว่าจะเป็นการถูกสามีที่แต่งงานถูกต้องตามกฏหมาย ข่มขืน ก็ตาม และไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม


หวังว่าบทความเรื่อง "ผู้หญิงถูกข่มขืน ก็มีความสุขจริงไหม?" จะช่วยไขความจริงให้กระจ่าง ล้วงความลับที่ผู้ชายไม่เข้าใจ และผู้หญิงก็ไม่อาจอธิบายได้ ให้ผู้ชายได้เข้าใจผู้หญิงกันบ้างนะครับ จบ!